ทฤษฎีวิวัฒนาการกับหลักฐานเท็จ.


767 ผู้ชม

ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานจากซากฟอสซิลที่ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมาสนับสนุนเรื่อง “คนครึ่งลิง” ที่สื่อและวงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะยัดเยียดให้คนเชื่อมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้พวกนักทฤษฎี



    ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานจากซากฟอสซิลที่ชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมาสนับสนุนเรื่อง “คนครึ่งลิง” ที่สื่อและวงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการพยายามจะยัดเยียดให้คนเชื่อมาอย่างไม่หยุดหย่อน ถึงแม้พวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการจะวางท่ายืนถือแปรงสร้างรูปภาพสิ่งมีชีวิตตามจินตนาการของตัวเองขึ้นมา แต่ความจริงก็คือภาพเหล่านี้ไม่มีซากฟอสซิลใดที่แก้ปัญหาสำคัญให้พวกเขาได้
 
ดังนั้น วิธีการที่น่าสนใจวิธีหนึ่งซึ่งคนพวกนี้ใช้ในการที่จะเอาชนะปัญหานี้ก็คือการสร้างฟอสซิลที่พวกเขาไม่สามารถพบได้ขึ้นมา มนุษย์พิลท์ดาวน์ ซึ่งเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการนี้

มนุษย์พิลท์ดาวน์ : กระดูกกรามลิงอุรังอุตังและกระโหลกมนุษย์


     ชาร์ลส ดอว์สัน นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงและนักขุดหาซากฟอสซิลสมัครเล่นได้ออกมากล่าวว่าเขาได้พบกระดูกกรามและเศษชิ้นส่วนหัวกระโหลกมนุษย์ในเมืองพิลท์ดาวน์ประเทศอังกฤษใน ค.ศ.1912 ถึงแม้ว่ากระดูกกรามจะเหมือนของลิงมากกว่า แต่ฟันและกระโหลกก็เหมือนกับของมนุษย์ ตัวอย่างเหล่านี้ได้ถูกปิดป้ายบอกว่าเป็น “มนุษย์พิลท์ดาวน์”
 
    กล่าวกันว่ากระดูกเหล่านี้มีอายุ 5 แสนปีและได้ถูกนำมาแสดงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงการวิวัฒนาการของมนุษย์ในหลายพิพิธภัณฑ์ เป็นเวลากว่า 40 ปีที่เรื่องราวของ “มนุษย์พิลท์ดาวน์” ได้ถูกนำมาเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้น ตลอดจนได้มีการอธิบายความหมาย การวาดภาพและการนำเอาฟอสซิลไปแสดงเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อยืนยันถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ มีวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่เขียนถึงเรื่องนี้ไม่น้อยกว่า 500 เรื่อง เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น (Henry Fairfield Osborn) นักศึกษาซากยุคหินผู้มีชื่อเสียงได้กล่าวว่า “…เราจะต้องจดจำไว้เสมอว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่แปลกประหลาดมากมาย และนี่เป็นความน่าทึ่งอย่างหนึ่งที่มีการพบเกี่ยวกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้านี้…” ในขณะที่เขากำลังเยี่ยมพิพิธภัณฑ์อังกฤษใน ค.ศ.1935

    ใน ค.ศ.1949 นายเคนเนธ โอคลีย์ (Kenneth Oakley) จากแผนกโบราณวัตถุยุคหินของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้พยายามใช้วิธีการ “ทดสอบทางฟลูโอรีน”ซึ่งเป็นการทดสอบใหม่เพื่อกำหนดอายุของฟอสซิลเก่าแก่บางอย่างกับมนุษย์พิลท์ดาวน์ ผลของการทดสอบเป็นที่น่าตื่นเต้น ระหว่างการทดสอบปรากฏว่ากระดูกกรามของมนุษย์พิลท์ดาวน์ไม่มีฟลูออรีนใดๆอยู่เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันได้ถูกฝังมาไม่กี่ปีนี้เอง หัวกระโหลกซึ่งมีฟลูออรีนอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็แสดงว่ามันมีอายุไม่กี่พันปี


การศึกษาถึงขั้นตอนของเวลาด้วยวิธีการทางด้านฟลูออรีนได้เปิดเผยให้เห็นว่ากระโหลกมีอายุเพียงไม่กี่พันปีเท่านั้น


    นอกจากนี้แล้วยังเป็นที่ชัดเจนว่าฟันในกระดูกกรามที่เป็นของลิงอุรังอุตังนั้นได้ถูกนำมาใส่ไว้และเครื่องมือโบราณที่ถูกค้นพบได้กับฟอสซิลก็เป็นการลอกเลียนแบบที่ถูกเหลาให้แหลมด้วยการใช้เหล็ก หลังจากที่ทำการการวิเคราะห์รายละเอียดแล้ว เรื่องที่ถูกกุขึ้นมานี้ก็ได้ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชนใน ค.ศ.1953


   กระโหลกดังกล่าวเป็นของมนุษย์ที่มีอายุ 500 ปี และกระดูกขากรรไกรก็เป็นของลิงใหญ่ที่ตายเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนฟันก็ได้ถูกนำมาจัดเรียงไว้ในกรามหลังจากนั้นเป็นการเฉพาะและข้อต่อต่างๆก็ได้ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกันเพื่อให้เหมือนกับของมนุษย์ หลังจากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้ถูกทาด้วยโปแตสเซียมไดโครเมตเพื่อให้มันดูเก่าย้อนยุค สิ่งที่ได้ถูกทาไว้เหล่านี้ได้เริ่มหายไปเมื่อถูกจุ่มลงไปในกรด เลอโกรชาร์ลซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่เปิดโปงการสร้างหลักฐานเท็จนี้ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจต่อสถานการณ์นี้ได้กล่าวว่า “หลักฐานร่องรอยที่สร้างขึ้นนี้เห็นได้ชัดจนต้องตั้งคำถามว่ามันลอดจากการสังเกตไปได้อย่างไร?” หลังจากนั้นมนุษย์พิลท์ดาวน์ก็ถูกย้ายออกไปจากพิพิธภัณฑ์ที่มันได้ถูกนำมาแสดงไว้เป็นเวลากว่า 40 ปี

มนุษย์เนบราสกา : ฟันหมู

ใน ค.ศ.1922 เฮนรี แฟร์ฟิลด์ ออสบอร์น ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกันได้ประกาศว่าเขาได้พบฟอสซิลฟันกรามที่ใช้ขบเคี้ยวซี่หนึ่งในเนบราสกาตะวันตกใกล้เป็นของยุคพลีโอซีน กล่าวกันว่าฟันนี้มีลักษณะของทั้งมนุษย์และลิงใหญ่คล้ายมนุษย์ ดังนั้นจึงได้เริ่มมีข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นซึ่งทำให้บางคนอธิบายว่าฟันนี้เป็นของสัตว์ลำตัวตั้งตรงและบางคนก็อ้างว่ามันใกล้เคียงกับของมนุษย์


ซากฟอสซิลซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการโต้แย้งกันอย่างกว้างขวางนี้ได้ถูกเรียกว่า “มนุษย์เนบราสกา” และยังมีการตั้ง “ชื่อทางวิทยาศาสตร์” เสียยืดยาวด้วย


มีหลักฐานหลายอย่างให้การสนับสนุนออสบอร์นและโดยอาศัยฟันเพียงซี่เดียวนี้เองที่ได้มีการสร้างหัวมนุษย์เนบราสกาและวาดภาพร่างกายขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์เนบราสกายังได้ถูกวาดภาพให้มีภรรยาและลูกๆอยู่กันเป็นครอบครัวในสภาพตามธรรมชาติอีกด้วย


ภาพวาดเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากฟันเพียงซี่เดียว วงการนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้ให้ความเชื่อถือใน “มนุษย์ผี” นี้จนถึงขนาดที่ว่าเมื่อวิลเลียม ไบรอัน นักศึกษาค้นคว้าคนหนึ่งได้คัดค้านการตัดสินโดยอาศัยแค่ฟันเพียงซี่หนึ่ง เขาก็ต้องถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง


    ใน ค.ศ.1927 ได้มีการพบส่วนอื่นๆของโครงกระดูก จากชิ้นส่วนต่างๆที่ได้ถูกค้นพบใหม่นี้ ฟันดังกล่าวมิได้เป็นของมนุษย์และก็มิได้เป็นของลิงใหญ่ด้วย แต่มันเป็นของหมูป่าอเมริกันชนิดหนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว วิลเลียม เกรกอรีได้ประกาศเรื่องความผิดพลาดเรื่องนี้ในบทความของเขาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์โดยยืนยันว่ามันไม่ใช่ลิงใหญ่และก็ไม่ใช่มนุษย์ หลังจากนั้น เรื่องราวของมนุษย์เนบราสกาและครอบครัวก็ต้องถูกขจัดออกไปจากงานเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนการอย่างกุลีกุจอ

โอตา เบงกา : ชาวอาฟริกาในถ้ำ

    หลังจากที่ดาร์วินได้ออกมาอ้างไว้ในหนังสือเรื่อง The Descent of Man (ลูกหลานของมนุษย์) ว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงใหญ่ เขาก็เริ่มค้นหาซากฟอสซิลมาสนับสนุนข้ออ้างนี้ อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีวิวัฒนาการบางคนก็เชื่อว่า “สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งลิง” จะต้องพบได้ไม่เพียงแต่ในฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตในส่วนต่างของโลกด้วย ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 การค้นหา “ตัวเชื่อมต่อที่ยังมีชีวิต”ได้นำไปสู่เหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นซึ่งเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของชาวปิ๊กมี่คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าโอตา เบงกา

   โอตา เบงกาถูกจับตัวไว้ใน ค.ศ.1904 โดยนักศึกษาค้นคว้าทฤษฎีวิวัฒนาการในคองโก โดยภาษาของเขาแล้ว ชื่อของเขาหมายถึง “เพื่อน” เขามีภรรยาหนึ่งคนและลูกสองคน เขาถูกจับล่ามโซ่ใส่กรงไว้เหมือนกับสัตว์และถูกนำตัวมายังสหรัฐ ที่นั่นเขาได้ถูกนักวิทยาศาสตร์นำมาแสดงต่อหน้าสาธารณะในงานเซนต์หลุยส์เวิร์ลแฟร์พร้อมกับลิงเผ่าพันธุ์อื่นและได้ถูกแนะนำให้คนที่มาเข้าชมว่าเป็น “ตัวเชื่อมต่อที่ใกล้ชิดที่สุดกับมนุษย์” หลังจากนั้นอีกสองปี พวกเขาก็นำโอตา เบงกา ไปยังสวนสัตว์บรองซ์ในนิวยอร์คซึ่งที่นั่นเขาได้ถูกนำไปแสดงภายใต้ชื่อว่า “บรรพบุรุษโบราณของมนุษย์” พร้อมกับลิงชิมแปนซีสองสามตัวและลิงกอริลล่าที่มีชื่อว่าดินาห์หนึ่งตัวและลิงอุรังอุตังที่ถูกเรียกว่าโดฮังอีกหนึ่งตัว ดร.วิลเลียม ที. ฮอร์นาเดย์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ซึ่งเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการได้กล่าวปาฐกถายืดยาวว่าเขาภูมิใจที่ได้มี “รูปแบบที่เปลี่ยนสภาพ”เช่นนี้ไว้สวนสัตว์ของเขาและปฏิบัติกับโอตา เบงกาเหมือนกับเขาเป็นสัตว์ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากโอตา เบงกาไม่สามารถที่จะทนต่อการปฏิบัติที่เขาได้รับได้ ในที่สุด เขาจึงฆ่าตัวตาย


มนุษย์พิลท์ดาวน์, มนุษย์เนบราสกา, โอตา เบงกา….ความอื้อฉาวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านักทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เคยลังเลที่จะใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ใดๆก็ได้เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของพวกตน

 ขอบคุณ www.muslimthai.com

อัพเดทล่าสุด