Past Simple Tense |
การใช้แบบที่ 1
ใช้กับการกระทำที่ทำสมบูรณ์ในอดีต โดยการกระทำนั้นเริ่มในอดีต และจบไนอดีต บางครั้งผู้พูดอาจไม่ได้บอกออกมาว่าเหตุการณ์นั้นทำไปเมื่อไหร่ แต่จริงๆแล้วเขาทราบเวลาที่แน่นอนที่การกระทำนั้นเกิดขึ้น
เช่น
- I saw a movie yesterday.
ฉันดูภาพยนตร์เมื่อวานนี้ - I didn't see a movie yesterday.
ฉันไม่ได้ดูภาพยนตร์เมื่อวานนี้ - Last year, I traveled to Japan.
ปีที่แล้วฉันเดินทางไปญี่ปุ่น - Last year, I didn't travel to Japan.
ปีที่แล้วฉันไม่ได้เดินทางไปญี่ปุ่น - She washed her car.
หล่อนล้างรถของตัวเอง - She didn't wash her car.
หล่อนไม่ได้ล้างรถของตัวเอง
การใช้แบบที่ 2
ใช้กับการกระทำหลายอย่างที่สมบูรณ์ไปหมดแล้ว โดยเราจะใช้ Past simple เพื่อบอกการกระทำต่างๆ ทำทำเสร็จแล้ว การกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นตามๆ กันมาเป็นลำดับ
เช่น
- I finished work, walked to the beach, and found a nice place to swim.
ฉันทำงานเสร็จ เดินไปชาดหาด แล้วก็พบสถานที่ที่ดีสำหรับการว่ายน้ำ - He arrived at the airport at 8:00, checked into the hotel at 9:00, and met the others at 10:00.
เขามาถึงสนามบินตอน 8 โมง เช็คอินเข้าโรงแรมตอน 9 โมง และก็เจอกับคนอื่นๆตอน 10 โมง
การใช้แบบที่ 3
ใช้กับช่วงเวลาหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงในอดีต ช่วงเวลานั้นๆเป็นช่วงเวลาของการกระทำที่กินเวลานาน มักมีคำว่า for เพื่อบอกระยะเวลาว่าเหตุการณ์กินเวลานานเพียงใด เช่น for two year (เป็นเวลาสองปี), for five miniutes (เป็นเวลาห้านาที), all day (ตลอดทั้งวัน), all year (ตลอดทั้งปี)
เช่น
- I lived in Brazil for two years.
ฉันอยู่ในบราซิลเป็นเวลาสองปี (เวลาไม่ได้อยู่ที่บราซิลแล้ว) - Shauna studied Japanese for five years.
โชนาเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นเวลาห้าปี (ตอนนี้ไม่ได้เรียนแล้ว) - They sat at the beach all day.
พวกเขานักอยู่ที่ชายหาดตลอดทั้งวัน (ตอนนี้ไม่ได้นั่งที่นั่นแล้ว) - We talked on the phone for thirty minutes.
พวกเราคุยโทรศัพท์กันเป็นเวลาสามสิบนาที่ (ตอนนี้วางหูไปแล้ว) - How long did you wait for them?
We waited for one hour.
คุณรอเขาอยู่นานแค่ไหน?
พวกเรารอเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง (ตอนนี้ไม่ได้รอแล้ว)
การใช้แบบที่ 4
ใช้กับนิสัยที่ทำเป็นประจำในอดีต ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว บางครั้งอาจมีความหมายเหมือนกับการใช้คำว่า used to (เคย) ดังนั้นถ้าเราต้องการเน้นว่าสิ่งที่พูดเป็นนิสัยที่ทำอยู่เป็นประจำในอดีต เราจะใช้คำต่อไปนี้ในประโยคที่ใช้ Past Simple ด้วย เช่น always (เป็นประจำ), often (บ่อยๆ), usually (โดยปกติ), never (ไม่เคย), when I was a child (ตอนที่ฉันเป็นเด็ก), when I was younger (ตอนที่ฉันอายุน้อยกว่านี้)
เช่น
- I studied French when I was a child.
ฉันเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสตอนที่ฉันเป็นเด็ก - He played the violin.
เขาเล่นเปียโน (ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้ว) - She worked at the movie theater after school.
หล่อนทำงานที่โรงหนังหลังเลิกเรียน (ตอนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว) - They never went to school, they always skipped.
พวกเขาไม่เคยไปโรงเรียน พวกเขาโดดเรียนอยู่เป็นประจำ
ระวัง ถ้าเรานำอนุประโยค When ... มาขึ้นต้นประโยค เราต้องใช้เครื่องหมายคอมม่าก่อนขึ้นประโยคหลัก
อนุประโยค คือ ส่วนขยายประโยคที่มีประธานและกริยา แต่ยังเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ อนุประโยคบางประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า when เช่น When I dropped my pen ... (เมื่อฉันทำปากกาตก) หรือ When class began ... (เมื่อการเรียนเริ่มต้น) อนุประโยคแบบนี้เราเรียกว่า อนุประโยค when (when clauses)
เช่น
- When I paid her one dollar, she answered my question.
เมื่อฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์ หล่อนตอบคำถามของฉัน - She answered my question, when I paid her one dollar.
หล่อนตอบคำถามของฉัน เมื่อฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์
ที่ครูสอนการใช้อนุประโยค When ก็เพราะว่า อนุประโยค When มักวางอยู่หน้าประโยคเมื่อทั้งอนุประโยคและประโยคหลักอยู่ใน Past Simple ประโยคตัวอย่างข้างบนทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือนกัน คือ ฉันจ่ายเงินก่อน แล้วหล่อนค่อยตอบคำถามของฉัน แต่สำหรับประโยคตัวอย่างต่อไปนี้จะมีความหมายที่ต่างออก กล่าวคือ หล่อนตอบฉันก่อน จากนั้นฉันค่อยให้เงิน (ให้สังเกตวิธีการใช้ when ในประโยค)
เช่น
- I paid her a dollar, when she answered my question.
ฉันจ่ายเงินให้หล่อนหนึ่งดอลล่าร์ เมื่อหล่อนตอบคำถามของฉัน