นอกจาก ยางพารา เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกสูง สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศถึงปีละ 1.48-2.05 แสนล้านบาทแล้ว ยางพารายังเป็นไม้ปลูกที่มีส่วนช่วยลด ภาวะโลกร้อน ได้อีกด้วย โดยมีประสิทธิภาพการ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าชเรือน กระจกได้ไม่น้อยกว่าระบบของไม้ป่าเขตร้อน สวนยางพาราช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไร? จริงหรือไม่? กรมวิชาการเกษตรมีข้อมูลยืนยัน นายจิรากร โกศัยเสวี รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ยางพาราเป็นไม้ยืนต้น ที่ช่วยสนับสนุนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศที่เหลือ อยู่ประมาณร้อยละ 30 ทั้งยังเป็นพืชอนุรักษ์ ดินและน้ำที่สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ ซึ่ง จากผลการศึกษาวิจัยของศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา พบว่าต้นยางพาราสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ไม่น้อยกว่า 1.72 เมตริกตัน/ไร่/ปี ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางกว่า 14.35 ล้านไร่ คาดว่าจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้ปีละไม่น้อยกว่า 16.54 ล้านเมตริกตัน ขณะเดียวกันยังพบว่า ยางพาราสามารถสร้างมวลชีวภาพไม่น้อยกว่า 5.68 เมตริกตัน/ ไร่/ปี ทิ้งเศษซากใบและเศษไม้เป็นแร่ธาตุหมุนเวียนในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1.12 เมตริกตัน/ไร่/ปี และการที่มีระบบปลูกพืชเป็นแถวขวางแนวการลาดเทของพื้นที่ สามารถช่วยป้องกันการไหลเซาะพังของดินโดยเฉพาะสภาพพื้นที่มีความลาดเอียงและลาดชันที่ปลูกยางแบบขั้นบันได จะช่วยลดปัญหาการพังทลายของดินได้ นอกจากนี้ยางพารายังเป็นพืชปลูกที่ใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีป้องกันกำจัดโรค แมลงและวัชพืชน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับไม้เศรษฐกิจชนิดอื่น ถือเป็นการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ด้าน นายอารักษ์ จันทุมา นักวิชาการเกษตร ระดับชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา กรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การปลูกยางพาราถือเป็นการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากธรรมชาติ และถูกเก็บไว้ในต้นยางเพื่อสร้างผลผลิตน้ำยางและ เนื้อไม้เพราะตลอดอายุปลูกและเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่น้อยกว่า 25 ปี จากงานวิจัยพบว่า ลำต้นยางพาราอายุ 9 ปี ช่วยเก็บคาร์บอนได้ 8.3 เมตริกตัน/ไร่ ลำต้นยางอายุ 12 ปี เก็บคาร์บอนได้ 10.9 เมตริกตัน/ไร่ อายุ 18 ปี เก็บคาร์บอนได้ 15.2 เมตริกตัน/ไร่ และลำต้นยางอายุ 25 ปี เก็บคาร์บอนได้ 22 เมตริกตัน/ไร่ ขณะที่สวนยางพาราอายุ 25 ปี ช่วยเก็บสารคาร์บอนได้ 43 เมตริกตัน/ไร่ และ ให้มวลชีวภาพได้ประมาณ 49 เมตริกตัน/ไร่ เมื่อนำยางพาราไปผลิตยางล้อรถยนต์และนำไม้ยางพาราไปทำเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์หรือใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น ถือเป็นการยืดเวลาการคืนสารคาร์บอนสู่บรรยากาศได้นานนับสิบปีด้วย ส่วนสวนยางอายุน้อยหรือสวนยางอ่อนที่มีการปลูกพืชคลุมดิน พืชตระกูลถั่ว ที่มีระบบรากสามารถตรึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้ประหยัดพลังงานในการผลิตและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการใส่ปุ๋ยเคมีได้ หากเกษตรกรมีการปลูกพืชแซมและพืชร่วมระหว่างแถวต้นยาง เช่น ข้าว พืชไร่ พืชผักต่าง ๆ อาทิ ผักพื้นบ้าน ผักเหลียง ผักหวาน หวาย สละ ระกำ ไพล กะวาน ดีปลี ย่านาง ขิง ข่า และไม้ดอกไม้ประดับ เช่น หน้าวัว ดาหลา และกล้วยไม้ รวมทั้งการ ปลูกแฝก นอกจากจะช่วยเก็บรักษาความชื้น เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และป้องกันการชะล้างของหน้าดินแล้ว ยังทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมอีกด้วย ยางพาราเป็นพลาสติกธรรมชาติที่ผลิตจากพืช มีกระบวนการผลิตที่สะอาดประหยัดพลังงาน 7-10 เท่า น้อยกว่าการผลิตยางเทียมพลาสติกสังเคราะห์ที่ได้จากฟอสซิล น้ำมันดิบ โดยยางธรรมชาติใช้พลังงานผลิต 16 จิกกะจูลล์/ เมตริกตัน ขณะที่ยางสังเคราะห์ใช้พลังงานผลิต 110-174 จิกกะจูลล์/เมตริกตัน ขณะที่การผลิตยางแผ่นดิบใช้กรดอินทรีย์ เช่น กรดฟอร์มิค หรือกรดน้ำส้มสายชู ทำให้ยางจับตัวและของเสียที่เหลือจากการทำยางแผ่นมีปริมาณไม่มากเทียบเท่ากับของเสียที่ทิ้งจากการซักล้างในครัว ....นี่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของสวนยางพาราแบบ 2 คุณค่าทั้งสร้างรายได้แถมรักษ์สิ่งแวดล้อม งานนี้... เกษตรกรยิ้มแป้นเลย..เพราะมีส่วนช่วยลดโลกร้อนแบบไม่รู้ตัว. |