อากาศเปลี่ยนแปลง ห่วงลูกเป็นภูมิแพ้
โดย : พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี (กุมารแพทย์)
แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต และไม่ใช่โรคติดต่อ เพียงแต่พบเยอะและพบบ่อย แต่ก็มักจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก
ทำไมเด็กสมัยนี้จึงเป็นภูมิแพ้อากาศกันค่อนข้างเยอะคะ เห็นเพื่อนลูกหลายคนก็เป็น แม่เขาดูกังวลมากเลย บางคนก็พาไปรักษาหลายที่ ไม่หายสักที อยากทราบว่าเกิดจากอะไรคะ
ส่วนใหญ่แล้ว ภูมิแพ้ทางเดินหายใจมักจะไม่ค่อยพบในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่จะพบเด็กเลยวัยสัก 3 ขวบไปแล้ว ในเด็กเล็ก ๆ จะพบภูมิแพ้อาหารหรือภูมิแพ้ผิวหนังมากกว่า ดังนั้นก็จะพบได้ว่า เด็กหลาย ๆ คน มีภูมิแพ้ทั้ง 3 อย่างเลย คือตอนเล็ก ๆ อาจมีภูมิแพ้ผิวหนังก่อน โตมาสักหน่อยค่อยมีภูมิแพ้อาหาร ทานอาหารบางอย่างไม่ได้ พอวัยสัก 3 ขวบขึ้น จึงค่อยแสดงอาการของภูมิแพ้ทางเดินหายใจ แต่บางคนก็มีอาการแค่อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอยู่ที่ตัวเด็กเองค่ะ
...ส่วนสาเหตุของภูมิแพ้ หลัก ๆ เลยก็คือพันธุกรรม จากสถิติเราพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่มีภูมิแพ้ จะพบโอกาสที่ลูกมีภูมิแพ้ด้วยถึง 70 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว สาเหตุต่อมาคือเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก ทั้งความเป็นอยู่ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ซึ่งนั่นทำให้พบว่า แนวโน้มของโรคนี้ที่เป็นในเด็กนับวันจะเพิ่มมากขึ้น
...ส่วนหนึ่งเข้าใจว่า เพราะเด็กไทยสมัยนี้ไม่แข็งแรงเหมือนสมัยก่อน อาจเพราะเด็กอยู่กับธรรมชาติน้อยลง ไม่ค่อยเจอต้นไม้ ไม่ได้วิ่งเล่นในสวนสาธารณะ ไม่ได้สัมผัสกับอากาศดี ๆ อย่างในต่างจังหวัด นอกจากนี้เด็กไทยสมัยนี้ก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อยู่แต่บ้าน ห้างสรรพสินค้า หรือเล่นเกม เล่นคอมพิวเตอร์ บ้างก็อยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งมีสารก่อภูมิแพ้สะสมจำนวนมาก นั่นเป็นคำตอบว่า ทำไมเด็กบางคน พ่อแม่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ แต่เด็กกลับเป็น
เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าลูกเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้ คือลูกชายมักจะจามบ่อย และมีน้ำมูก บางทีก็มีอาการคันตาร่วมด้วย ให้ลูกทานยาแก้หวัดแล้ว ก็เป็น ๆ หาย ๆ
อาการที่สังเกตได้ คือ เด็กจะจามบ่อย ๆ มีน้ำมูกค่ะ ซึ่งจะเป็นน้ำมูกใส ๆ ต่างกับน้ำมูกเวลาเป็นหวัดซึ่งจะมีสีข้น เป็นวิธีสังเกตอย่างหนึ่งว่าเด็กเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้ทางเดินหายใจ แต่หลัก ๆ ให้ดูที่ความถี่ ถ้าจามบ่อย ๆ คันจมูกบ่อย ๆ หรือบางรายมีคันตาด้วย แล้วเป็นนานก็สงสัยได้ว่าเด็กอาจเป็นภูมิแพ้ ยิ่ง ถ้ามีอาการรุนแรงมาก เช่น ต้องอ้าปากหายใจบ่อย ๆ เจ็บคอบ่อย ๆ นอนกรน เหนื่อยง่าย ไอบ่อย ๆ หายใจแล้วมีเสียงวี๊ดในปอด อย่างนี้ควรรีบพาลูกมาให้คุณหมอตรวจค่ะ เพื่อจะได้แนะนำวิธีดูแลตนเองต่อไป
...อย่างไรก็ดี แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต และไม่ใช่โรคติดต่อ เพียงแต่พบเยอะและพบบ่อย แต่ก็มักจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก เช่น เด็กบางคนเป็นเรื้อรัง ทำให้ต้องหยุดเรียนบ่อย รบกวรการเรียน บ้างเกิดปมด้อย กลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจ เป็นเด็กสมาธิสั้น บางรายทรมานจากจมูกอักเสบ จากไซนัสอักเสบ ทำให้นอนไม่หลับ กลายเป็นเด็กเซื่องซึมไม่ค่อยพูดกับใคร เป็นต้น
เราสามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ให้ลูกตั้งแต่ในครรภ์ได้หรือไม่
ทางพันธุกรรมคงป้องกันได้ยากค่ะ แต่ก็มีวิธีป้องกันบ้าง คือ มีการวิจัยจากหลาย ๆ ประเทศแล้วว่า หลังเด็กเกิดมาแม่ที่ให้นมลูกจะทำให้โอกาสที่เกิดภูมิแพ้ในเด็กลดลง ดังนั้น ก็จะมีการรณรงค์ให้แม่ได้ให้นมลูกด้วยตนเอง แต่สำหรับบางรายที่ให้นมลูกไม่ได้ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เดี๋ยวนี้ก็มีนมสูตรที่ช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ในเด็กออกมา ก็สามารถให้ลูกทานได้ ขณะเดียวกัน แม่ที่ตั้งครรภ์ก็ควรงดสูบบุหรี่ รวมไปถึงสถานที่มีควันบุหรี่ หรือควันต่าง ๆ ตลอดจนสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ และดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง หมั่นทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วนและเพียงพอ เหล่านี้จะช่วยลดโอกาสเกิดภูมิแพ้ให้กับลูกได้ค่ะ
...แต่ที่กล่าวมานี้ก็ไม่เสมอไปนะคะ บางรายแม้แม่จะดูแลทั้งตนเองและเขาอย่างดีแล้ว เด็กก็มีโอกาสที่จะเกิดภูมิแพ้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเข้าใจนะคะ เราไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
การช่วยเหลือลูกที่เป็นภูมิแพ้จะทำได้อย่างไร สามารถรักษาให้หายขาดได้เลยหรือไม่ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ปัจจุบันเราสามารถตรวจว่าเด็กมีภูมิแพ้หรือไม่ ได้โดยการหยดน้ำยาลงบนผิวของเด็ก แล้วเอาเข็มสะกิด เพื่อดูแอ๊คชั่นที่ผิวหนังของเขา จะทำให้ทราบได้ว่าเขาแพ้สารชนิดใด และอีกวิธีคือ การเจาะเลือดไปตรวจ ก็จะทำให้ทราบผลเช่นเดียวกัน
...ส่วนการรักษาหลัก ๆ ก็จะเป็นการให้ยาบรรเทา เช่น ยาทานหรือยาพ่น ซึ่งเมื่อไหร่ที่เขามีอาการ เขาก็จะสามารถใช้ยาช่วยได้ทันที จะทำให้อาการค่อย ๆ เบาลง และดีขึ้น และหมอก็จะให้การแนะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตให้กับเด็ก ซึ่งถ้าเขาทำได้ดี คือ พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่มีสารก่อภูมิแพ้ เขาก็อาจไม่ต้องใช้ยา จึงอยากให้คุณแม่สบายใจว่า ภูมิคุ้มกันของเด็กนั้นยังเปลี่ยนแปลงได้ไม่เหมือนผู้ใหญ่ โอกาสที่ภูมิแพ้ของเขาจะหายได้เองนั้นจึงมี โดยเฉพาะถ้าหากเขาได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
...สิ่งที่คุณแม่ควรจะทำก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเขา โดยการปลูกฝังให้เด็กได้ออกกำลังกาย ได้เล่นกีฬากลางแจ้ง รวมทั้งทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ นอกจากนี้ ก็ต้องจัดสถานที่ให้เขาได้อยู่อย่างเหมาะสม โดยควรเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท และไม่เป็นที่สะสมสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่สำคัญ ควรจัดเตรียมยาให้เขาให้พร้อมเสมอ เผื่อหากอาการกำเริบ จะได้ช่วยเหลือได้ทันค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.motherandchild.in.th/
ฉบับเดือนสิงหาคม 2552
ขอขอบคุณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์