ตั้งครรภื ตังท้อง มีลุก เรื่องยา ต้องเลี่ยงช่วงแม่ท้อง


1,051 ผู้ชม


สำรวจ ยา ต้องเลี่ยงช่วงแม่ท้อง

 ตั้งครรภื ตังท้อง มีลุก เรื่องยา ต้องเลี่ยงช่วงแม่ท้อง

 

 

          ก่อนที่เวลาจะเดินหน้าไปถึงจุดหมายปลายทางของการคลอด เชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายย่อมต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีกของคุณแม่ โดยเฉพาะเรื่องยา ปกติคุณหมอไม่แนะนำให้กินยาโดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรก เพราะเป็นระยะที่มีการสร้าง และพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ยาบางชนิดอาจไปขัดขวางจนส่งผลร้ายต่อลูกอย่างคาดไม่ถึง อยากรู้ใช่ไหมว่ายาใดบ้างที่ต้องระวังให้ดี เรามีบัญชียาสารพันชนิดที่ส่งผลกับชีวิตลูกมาฝากค่ะ

 

สำรวจชนิดยา ค้นหาความเสี่ยงภัย

 

ยารักษาความดันโลหิต


Nifedipine :  ใช้กรณีที่อาการรุนแรงแล้วใช้ยาอื่นไม่ได้ผล ยาอาจยับยั้งการคลอดได้ ควรหลีกเลี่ยงระยะใกล้คลอด

 

Enalapril :  ไตรมาส 2-3 ยาอาจทำให้ทารกผิดปกติ มีความดันโลหิตต่ำ รุนแรง ไตทำงานบกพร่อง ควรหลีกเลี่ยง

 

Atenolol :  ถ้าใช้ในไตรมาสแรกทารกอาจมีภาวะรูท่อปัสสาวะเปิดใต้องคชาติ ถ้าใช้ในไตรมาส 2-3 อาจทำให้น้ำหนักตัวทารกน้อย

 

Amlodipine :  ยังไม่มีข้อสรุปความปลอดภัย แต่ก็ไม่ควรใช้ในขณะตั้งครรภ์

 

Propranolol :  การใช้ในไตรมาสที่ 2-3 ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยควรหลีกเลี่ยง

 

Verapamil :  หากจำเป็นให้ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ในระยะใกล้คลอด เพราะยาอาจมีผลคลายกล้ามเนื้อมดลูกได้

 

 

ยาขับปัสสาวะและลดความดัน

 

Acetazolamide :  ยาโรคหัวใจกลุ่มขับปัสสาวะ : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในไตรมาสแรก

 

Furosemide :  อาจทำให้รูท่อปัสสาวะทารกเปิดใต้องคชาติ ควรหลีกเลี่ยงในไตรมาสแรก

 

Spironolactone :  ควรหลีกเลี่ยง ยกเว้นผู้ที่มีโรคหัวใจร่วมด้วย

 

Hydrochlorothiazide (HCTZ) :  แม่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน มีความดันโลหิตต่ำ ทำให้ทารกเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ถ้าใช้ในระยะใกล้คลอด อาจทำให้คลอดช้า ควรหลีกเลี่ยง

 

Amiloride + HCTZ (Moduretic) :  ถ้าใช้ในไตรมาสแรกจะเสี่ยงทารกอาจเสียชีวิตจากการที่แม่มีความดันโลหิตต่ำ ถ้าใช้ระยะใกล้คลอดอาจทำให้มดลูกไม่บีบตัว ทำให้คลอดช้า ไม่ควรใช้

 

 

ยาฆ่าเชื้อ

 

Chloramphenicol :  แม่ที่ได้รับในระยะท้ายอาจทำให้ลูกเกิดภาวะขาดออกซิเจน ควรระวังการใช้ในขนาดสูง

 

Clarithromycin :  งดใช้ถ้าไม่จำเป็นหรือใช้ยาอื่นรักษาเชื้อแบคทีเรียแทน ควรหลีกเลี่ยงในระยะตั้งครรภ์ครั้งแรก

 

Ciprofloxacin :  อาจทำให้ข้อต่อกระดูกทารกผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงในไตรมาสแรก ใช้ยาอื่นที่ปลอดภัยกว่าแทน

 

Erythromycin :  ฮอร์โมนในปัสสาวะแม่อาจลดลง ลูกแรกเกิดน้ำหนักน้อย อาจแท้ง ระวังการใช้ไตรมาสแรก

 

Fluconazole :  ไม่ใช้ต่อเนื่องในไตรมาสแรก อาจทำให้ทารกผิดปกติ แม้ใช้น้อยแล้วเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็ควรระวัง

 

Norfloxacin และ Ofloxacin : งดใช้ในไตรมาสแรก หรือใช้ยาต้านจุลชีพกลุ่มอื่นที่ปลอดภัยกว่า

 

Tetracycline :  งดใช้ในช่วงตั้งครรภ์ 5-6 เดือนขึ้นไป เพราะกระดูกและฟันที่กำลังสร้างตัวผิดปกติ ฟันเปลี่ยนสี ทารกพิการแต่กำเนิด และเป็นพิษต่อตับแม่

 

Metronidazole :  งดใช้ยารักษาโรคติดเชื้อของแม่เพราะอาจทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด อาจทำให้แท้งในไตรมาสแรก

 

Indomethacin :  งดใช้ยารักษาโรคข้อกระดูกอักเสบติดต่อกันนานเกิน 48 ชั่วโมง หรือหลังอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยเฉพาะระยะใกล้คลอด เพราะอาจทำให้ทารกผิดปกติ คลอดช้า

 

 

ยาลดไข้

 

Aspirin :  ไม่ควรใช้ขนาดสูงต่อกันนาน เพราะระบบเลือดแม่ลูกอาจผิดปกติได้ งดใช้ไตรมาส 3 เมื่อใกล้คลอด เพราะจะยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือดของลูกในครรภ์ แม่ลูกเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ เลือดไหลไม่หยุดและคลอดช้า

 

Oseltamivir (Tamiflu) :  ให้ใช้ยารักษาไข้หวัดใหญ่ชนิด A นี้ได้ ถ้าพิจารณาแล้วไม่ทำให้แม่และลูกเกิดความเสี่ยง

 

 รู้ทันยา : ยาแก้ไข้หวัดมักประกอบด้วยยาลดไข้พาราเซตามอล ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก โดยทั่วไปไม่มีอันตราย ถ้าใช้นานควรปรึกษาแพทย์ ไม่ซื้อยาชุดตามร้านขายยา เพราะอาจมียาแก้แพ้อักเสบบางอย่าง และสเตียรอยด์ปนมาด้วย

 

 

ยาแก้ปวด ลดอักเสบ

 

Diclofenac :  ไม่ควรใช้ไตรมาสสุดท้าย ระยะใกล้คลอด เพราะจะทำให้คลอดช้า ไตทารกทำงานบกพร่อง

 

Tramadol :  แม้ตัวยาไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ก็ไม่ควรใช้ในช่วงตั้งครรภ์ต้นๆ

 

Morphine sulfate :  ใช้ ในไตรมาส 1 และ 2 ได้บ้างแต่ห้ามใช้ติดต่อกันนาน หรือใช้ในไตรมาสสุดท้าย ถ้าใช้ต่อเนื่องกันนานใช้ขนาดสูงใกล้คลอด จะทำให้กดการหายใจของทารกได้

 

Hyoscine-N-butylbromide :  ใช้ลดการปวดเกร็งท้องให้แม่ได้แต่งดเมื่อใกล้คลอด เพราะทำให้ลูกหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

 

Mefenamic acid :  ห้ามใช้ในไตรมาส 3 โดยเฉพาะระยะใกล้คลอด

 

Ibuprofen :  ใช้ในไตรมาส 1-2 ได้ แต่ห้ามใช้ในไตรมาส 3 ระยะใกล้คลอด เพราะอาจทำให้คลอดช้า

 

Colchicine :  งดใช้ยารักษาข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ ส่วนผู้ชายอาจทำให้จำนวนอสุจิลดลง บางรายงานชี้ว่ายาอาจมีผลให้อสุจิกลายพันธุ์ ทำให้เกิดความผิดปกติในทารก เช่น เกิด Down’s syndrome ได้

 

Methotrexate :  งดใช้ยารักษาโรคข้ออักเสบหรือสะเก็ดเงินเพราะจะกดการทำงานของไขกระดูกทารก เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้ายาตกค้างอยู่ในร่างกายนาน ทำให้ทารกผิดปกติได้ แม้จะหยุดใช้หลายปีก็ตาม

 

 รู้ทันยา : ยาแก้อักเสบ เป็นยาที่ใช้กันบ่อย แม้เจ็บคอเพียงเล็กน้อย หรือเป็นหวัดก็อาจซื้อมากินแล้ว ที่จริงไข้หวัดมักเกิดจากเชื้อไวรัสการใช้ยามักไม่ได้ผล นอกจากเสียเงินยังอาจทำให้ดื้อยา จึงไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ผู้หญิงทั้งที่ท้องหรือไม่ได้ท้อง ถ้าใช้ยานี้บ่อยจะทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา โดยมีอาการตกขาวและคันช่องคลอดมากอีกด้วย

 

 

ยาแก้ไอ

 

Bromhexine : ยังมีข้อมูลจำกัด ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในไตรมาสแรก

 

Diazepam : ถ้าใช้ในไตรมาสที่ 1 ทารกอาจปากแหว่ง เพดานโหว่ไตรมาส 2 ระบบเลือดและหัวใจอาจผิดปกติ ถ้าใช้ต่อเนื่องนานใช้ขนาดสูงช่วงใกล้คลอด อาจทำให้กล้ามเนื้อทารกอ่อนแรง เซื่องซึม ไม่ดูดนม เกร็ง สั่น ท้องเสีย

 

Actifed : ควรงดใช้ไตรมาสแรก มีรายงานว่ายาแก้แพ้อากาศนี้อาจทำให้ระบบหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ และแท้งได้

 

ยาแก้ไขชนิดที่ไม่มีไอโอดีน : ไม่ควรใช้เลย เพราะอาจทำให้ทารกเกิดอาการคอพอก และมีอาการผิดปกติทางสมอง

 

 รู้ทันยา : อาการไออาจมีสาเหตุจากการกินยาบางอย่างหรือเป็นอาการเรื้อรังของโรคทางเดิน หายใจ ยาจิบแก้ไอ หรือระงับอาการไอที่ดีที่สุด คือ น้ำอุ่น การใช้ยาอม เช่น ยาอมมะแว้ง สามารถลดอาการไอได้ แต่สตรีมีครรภ์หรือเด็กเล็กก็ไม่ควรใช้ยานี้จิบแก้ไอ

 

 

ยาฆ่าเชื้อรา

 

Ketoconazole :  ใช้ได้ถ้าจำเป็น โดยเฉพาะแม่ที่ติดเชื้อเอช ไอ วี เพื่อป้องกัน รักษาการติดเชื้อราในช่องคลอด

 

Itraconazole :  ควรงดใช้ เพราะอาจมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

 

Griseofulvin :  งดใช้ ถ้าใช้ในไตรมาสแรกอาจทำให้ทารกผิดปกติมากกว่าไตรมาส 2-3 เช่น หัวใจผิดปกติ ถ้าเป็นแฝดอาจแยกตัวได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะถ้าใช้ภายใน 20 วันแรกหลังตกไข่

 

 

ยาลดกรด

 

Allopurinol :  ใช้ได้ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่าหรือโรคที่เป็นอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตแม่และลูกในครรภ์

 

Antacid :  ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ขนาดสูงๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน

 

Magnesium hydroxide :  ใช้ได้ แต่ไม่ควรใช้ขนาดสูงๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน

 

Omeprazole :  งดใช้ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ครึ่งแรกเพราะเคยพบว่าเสี่ยงต่อทารก

 

 รู้ทันยา :  ยาลดกรดที่มีส่วนผสมแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์มาก อาจทำให้คุณแม่ท้องเสีย เป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง

 

 

ยาขยายหลอดเลือด

 

Cinnarizine :  งดใช้ถ้าไม่จำเป็น ไม่ใช้ยาต้านฮิสตามีนนี้ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติของกระจกตาได้

 

Salbutamol :  อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ แม่มีความดันโลหิตต่ำรุนแรง เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้เฝ้าระวังใกล้ชิด

 

Theophylline ยาขยายหลอดลม :  การใช้ในไตรมาสสุดท้ายระยะใกล้คลอด อาจทำให้ทารกมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว

 

 

ยารักษาเบาหวาน

 

Glibenclamide และ Glipizide :  ทารกอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถ้าแม่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่คงที่ ควรงดใช้ชนิดกินหันไปใช้ Insulin แทนจนกว่าจะคลอด

 

Metformin :  ไม่ พบว่ายาทำให้เกิดอันตรายโดยตรงต่อทารกในครรภ์ แต่เนื่องจากยาอาจให้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในแม่ได้ไม่ดีนัก ไม่ควรใช้ ใช้ Insulin จะปลอดภัยกว่า

 

 รู้ทันยา :  ยา รักษาเบาหวานถ้าเป็นชนิดฉีดอินชูลินใช้ได้ ไม่มีอันตราย แต่ถ้าเป็นชนิดกินอาจทำให้น้ำตาลในเลือดของทารกต่ำ และเคยมีรายงานว่ายากกลุ่มนี้ทำให้ทารกพิการได้

 

 

ยารักษาอาการชัก

 

Phenobarbital :  ถ้าใช้ในไตรมาส 1 และ 3 อาจทำให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด เลือดไหลไม่หยุด หากจำเป็นให้ใช้น้อยที่สุดเพื่อควบคุมการชักของแม่

 

Phenytoin :  ควร งดใช้เพราะยาอาจทำให้กะโหลกศีรษะใบหน้าทารกผิดปกติ นิ้ว เล็กมือไม่สมบูรณ์ ปากแหว่ง เพดานโหว่ หัวใจผิดปกติ แต่ถ้าขาดยาแล้วชัก แม่ลูกอาจเป็นอันตรายก็ได้ ใช้ได้แต่ต้องระวังให้ดี

 

Carbamazepine :  งดใช้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ โดยเฉพาะไตรมาสแรก ควรให้โฟเลทเสริม หากใช้ในไตรมาสสุดท้ายควรให้วิตามินเค หรือติดตามภาวะเลือดออกในทารกด้วย

 

 รู้ทันยา :  ส่วนใหญ่ยากันชักมักทำให้ทารกเกิดความพิการมีใบหน้าผิดปกติ จมูกแบน ตาห่าง หนังตาตก บางชนิดอาจทำให้เลือดของทารกแข็งตัวช้า

 

 

ยารักษาโรคผิวหนัง

 

Dapsone :  ต้องระวังการใช้ยานี้รักษาโรคเรื้อน โรคทางผิวหนัง มาลาเรียและนิวโมเนียจากการติดเชื้อ เพราะอาจทำให้ระบบเลือดผิดปกติ ต้องติดตามใกล้ชิดระหว่างใช้ยา

 

Clofazimine :  อาจมีผลให้ทารกและน้ำคร่ำมีสีเขียว ซึ่งก็หายเป็นปกติได้แต่อาจใช้เวลานาน  ถ้าจำเป็นให้ใช้ยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำ แต่ก็ไม่ควรใช้ในไตรมาสแรก

 

 

 ยาเบ็ดเตล็ด  

 

Chlorpheniramine ยาแก้แพ้ :  เด็กที่เกิดมาผิดปกติ เช่น มีนิ้วเกินหูและตาผิดปกติพบว่าแม่เคยใช้ในไตรมาสแรก ถ้าใช้ชั่วคราวไม่ส่งผลมากนัก ถ้าใช้ติดต่อกันนานทำให้เกล็ดเลือดต่ำ ลูกที่เกิดมาอาจมีเลือดไหลผิดปกติ

 

Ergotamine + Caffeine :  ทำให้มดลูกหดตัว แท้ง คลอดก่อนกำหนด ถ้าใช้บ่อยขนาดสูง จะขัดขวางการไหลเวียนเลือดสู่ทารกงดใช้ยาแก้ปวดศีรษะกลุ่มที่มีเออโกตามีน เพราะทำให้มดลูกบีบตัวทำให้แท้งคลอดก่อนกำหนดได้

 

Digoxin ยารักษาโรคหัวใจล้มเหลว :  ควรระวังขนาดที่ใช้ หากใช้เกินขนาดจะเกินขนาดจะทำให้ทารกที่เกิดมาเสียชีวิตได้

 

Dimenhydrinate ยาแก้คลื่นไส้ วิงเวียน เมารถ :  ใช้ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงแบบฉีด เพราะยาทำให้มดลูกบีบตัวมาก หลีกเลี่ยงการใช้ยาในระยะ 2 สัปดาห์ก่อนคลอดด้วย

 

Doxycycline ยารักษาสิว :  หลีกเลี่ยงโดยเฉพาะตั้งครรภ์ครึ่งหลัง ซึ่งมีการสร้างกระดูกและฟันของตัวอ่อน ควรติดตามดูผลการทำงานของตับในแม่ที่จำเป็นต้องได้รับยาด้วย

 

Gemfibrozil ยาลดไขมันในเลือด :  ทำให้ทารกปากแหว่ง เพดานโหว่ ควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะไตรมาสแรก

 

Lorazepam ยานอนหลับ :  ยาผ่านรกทำให้ทารกผิดปกติแต่กำเนิดได้ ถ้าใช้ตามแพทย์สั่งไม่เป็นไร แต่ไม่ควรซื้อใช้เอง ถ้าใช้สูงจนติด ลูกที่เกิดจะหายใจไม่ดี เคลื่อนไหวช้าคล้ายคนติดยา ชักกระตุก ทำให้ลูกมีเลือดออกผิดปกติ

 

Misoprostol ยาป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ :  อาจทำให้แท้ง หากไม่แท้งก็ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด

 

Pyridostigmine bromide (Mestinon) ยารักษาโรคกล้ามเนื้อ :  ยาผ่านรกไม่ได้ หรือผ่านได้น้อยมาก ไม่พบว่าทำให้ทารกผิดปกติ จึงให้ใช้ได้ แต่ระวังการใช้รูปแบบฉีดระยะใกล้คลอด อาจทำให้คลอดก่อนกำหนด

 

Bisacodyl ยาระบาย :  ควรเลือกใช้สารที่ออกฤทธิ์ให้อุจจาระจับตัวเป็นก้อนนิ่ม (เช่น เมล็ดแมงลัก) หรือยาที่มีฤทธิ์เพิ่มแรงตึงผิว (เช่น ยาระบายแมกนีเซีย) ก่อน จะปลอดภัยกว่า

 

Proctosedyl ยาเหน็บริดสีดวง :  ใช้ได้แต่ก็ไม่ควรมาก และไม่ใช้ต่อเนื่องนานเกิน 7 วัน

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
https://www.motherandcare.in.th/

ฉบับเดือนตุลาคม 2551

อัพเดทล่าสุด