เชียงราย-ความเหมือนที่แตกต่าง


712 ผู้ชม


เชียงราย-ความเหมือนที่แตกต่าง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการมาเยือนเชียงราย ซึ่งนับเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของเมืองไทย ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย ธรรมชาติ สถาปัตยกรรม ประเพณี วัฒนธรรม และงานเทศกาล แต่ความแตกต่างจากการท่องเที่ยวครั้งก่อน ตรงที่เราได้ไกด์เป็นคนพื้นที่ และได้เพื่อน ใหม่ของทริปนี้อีกหลายคน


วัด ร่องขุ่น เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องกล่าวถึง เมื่อมาถึงเชียงราย กระพริบตาแรกที่ได้เห็นจากมุมด้านข้างของทางเดินเข้า ก็สะดุดกับประติมากรรมเชิงศีลธรรม สีแดงสดตัดกับอุโบสถสีขาว กระพริบตาถัดมาจะพบกับความอลังการของอุโบสถสีขาวสะอาดตาท่าม กลางพื้นหญ้าสีเขียวและพื้นฟ้าสีคราม ขณะเดินเข้าไปในอุโบสถจะพบกับข้อคิดในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะจิตกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ กระพริบตาอีกครั้งจะพบกับความอลังการของห้องน้ำสีทองอร่ามตา นอกจากนั้นยังได้เยี่ยมชมห้องแสดงภาพของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชื่อดังที่เป็นเจ้าของงานสร้างศิลป์เพื่อแผ่นดินนี้ ส่วนที่พลาดเสียไม่ได้เลยคือ หอศิลป์ที่ติดอยู่กับร้านค้าชุมชนหมู่บ้านร่องขุ่น เราจะได้เห็นรายละเอียดของภาพเขียนที่ไม่สามารถจะบรรยายความสวยงามได้หมด ด้วยปลายปากกา และอาหารแนะนำที่น่าสนใจของที่นี่ คือ หมูยอเห็ดหอม ที่อร่อย เนื้อนุ่ม ราคาเป็นกันเอง
หัวค่ำวันแรกได้มาสักการะ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ด้วยธูป เทียน และดอกไม้สีสันแปลกตา ก่อนจะกลับไปเติมพลังพัก ผ่อนได้เดินเที่ยวที่ ไนท์ บาซ่าร์ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้า มีของหลากหลายให้เลือกสรร เลือกซื้อ รวมถึงของพื้นเมือง ของที่ระลึก เครื่องประดับ ผ้าม่าน ผ้าลาย ของตกแต่งบ้านที่ทำจากไม้ที่น่าสนใจ แต่เสียดายที่อากาศไม่เป็นใจ...ฝนตกซะแล้ว


ยามเช้าของวันที่สอง ท่ามกลางหมอกเหมย และกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ดอยตุง ( เหมยเป็นความหมายเดียวกับหมอก ที่ไกด์และ เพื่อนของเราบอกมา ) เป็นความรู้สึกแตกต่างที่ผู้คนไม่แออัดเหมือนช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปีใหม่ ถนนหนทางยังคงสงบเงียบน่าดึงดูดให้ไป ถึงจุดหมายปลายทางของดอยตุงเร็วๆ ได้แรงเติมพลังของมื้อเช้าที่ร้านกาแฟดอยตุง ที่แทบไม่ต้องรอต่อคิวยาวเหยียดเหมือนที่เคยเจอ พวกเราเลือกที่จะเข้าชมเพียง สวนแม่ฟ้าหลวง ที่เดียวจาก 3 สถานที่คือ หอพระราชประวัติ และพระตำหนักดอยตุง ค่าเข้าชมรวมทั้งสามที่ 150 บาทต่อคน ยกเว้นเด็กที่ความสูงต่ำกว่า 120 เซนติเมตร และไม่พลาดกับการชมสวนแม่ฟ้าหลวง ที่ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ละลาน ตาด้วยสีสันของไม้ดอก ไม้ประดับต่างๆ ขนาดไม้ดอกใหญ่ และพันธ์ไม้ที่ไม่ค่อยได้เห็นทั่วไปอย่าง รองเท้านารี แต่ความเหมือนที่คงอยู่คือ ประติมากรรมรูปเด็กต่อตัว ที่ตั้งเด่นอยู่กลางสวน


ดอยช้างมูบ สวนรุกชาติแม่ฟ้าหลวง ที่มีชื่อเสียงเรื่องกุหลาบพันปี และดอกป็อปปี้บาน แต่เรายังได้มากกว่าที่ได้ยินมาอีกคือ ได้ สัมผัสไอความเย็นที่รายล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธ์ ที่หาดูได้ไม่ง่ายนักอย่าง กล้วยไม้ดินที่ดอกบานสะพรั่ง สร้อยระย้า แปรงล้างขวด กุหลาบพันปีลูกผสมและเดื่อขน พวกเราโชคดีที่มีคุณลุงซึ่งทำงานที่นี่กว่า 10 ปีอาสาเป็นไกด์โดยที่พวกเราไม่ได้ตั้งตัว แนะนำความรู้ใหม่ๆ ของดอยช้างมูบที่เราไม่เคยรู้มาก่อนอย่างชื่อของพันธ์ไม้ต่างๆ มุมถ่ายรูปที่สวยงาม ประวัติความเป็นมาของต้นกุหลาบพันปี ( ต้นจริง ) เขตแดนรอยต่อประเทศไทยกับพม่า และจุดสูงสุดของเมืองเชียงรายซึ่งมีความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 830 เมตร
พระธาตุดอยตุง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากดอยช้างมูบ สองข้างทางเดินบันไดขึ้นจะเรียงรายด้วยระฆัง ได้ไปสักการะพระธาตุซึ่งเป็นกระดูก ไหปลาร้าเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า ด้วยธูป เทียน และดอกคำมั่นสัญญา เสียดายที่พระธาตุอยู่ในช่วงที่บูรณะจึงได้ชื่นชมความสวยงามของ ที่แห่งนี้ได้ไม่เต็มที่ ในระหว่างเส้นทางกลับจากพระธาตุจะได้เห็นแนวเขาดอยนางนอน สังเกตดีๆจะเห็นขุนเขาทอดตัวคล้ายผู้หญิงนอนเหยียด ยาว ( ถ้าทริปนี้ไม่มีไกด์แนะให้ดู คงจะไม่รู้จักดอยนี้แน่ๆ ) ตามเส้นทางมาแวะแม่สายทำใบผ่านแดนชั่วคราวคนละ 40 บาทเพื่อข้ามไปเยี่ยมชมตลาดขนาดใหญ่ฝั่งพม่า มีสารพัดอย่างให้ได้ เลือกซื้อ และทุกสิ่งอย่างสามารถต่อราคาได้แน่นอน แต่แนะนำว่าต้องระมัดระวังในการเดินเที่ยว เนื่องจากเราเป็นคนต่างบ้าน ต่างเมือง ต่าง วัฒนธรรมด้วย และไม่ลืมที่จะเก็บบันทึกภาพ เหนือสุดยอดแดนสยาม ตามรายทางใกล้ค่ำได้แวะสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นชาย แดนไทย-ลาว-พม่า ส่วนอาหารมื้อเย็นที่เชียงของของวันนี้ ได้คุณแม่ของไกด์นำเสนอ ข้าวซอย อาหารชาวเหนือที่อร่อยติดลิ้นไปอีกนาน
สายๆของอีกวันที่อิ่มจนพุงกางกับเมนูที่ไม่เคยได้ลิ้มลองจากที่ไหน หมูปั้นชุบไข่ทอด ก่อนออกเดินทางไปดอยผาตั้ง ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของดอยผาหม่น ยังเป็นภูเขาของทิวเขาหลวงพระบาง ซึ่งกั้นอาณาเขตไทยกับลาว แทนแม่น้ำโขงที่แยกตัวไปไหลอยู่ในดินแดนลาว ดอยผาตั้งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ ม้ง และเย้า ถ้ามาในช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม จะเห็นดอกพญาเสือโคร่งและดอกเสี้ยวบานสะพรั่ง ไปทั่วแนวเขา เดินเรียกเหงื่อตามไกด์อาสาตัวน้อย ( เด็กนักเรียนชาวเขา ) พบกับ ผาบ่อง ประตูสยามสู่ลาว ป่าหินยูนาน ช่องเขาขาด ที่ สามารถมองเห็นลำน้ำโขง ประเทศลาว องค์พระและทิวทัศน์ขุนเขาบวกกับถนนคดเคี้ยวอันสวยงาม ลงจากดอยผาตั้งได้ชิมและอุดหนุนของ ขึ้นชื่อของดอยผาตั้งที่มีทั้งชารสดี บ๊วยซากุระ บ๊วยสามรส ท้อ ไวน์รสเยี่ยม ตามเส้นทางประมาณ 24 กม.


จากดอยผาตั้งถึงภูชี้ฟ้า ที่บรรยากาศแตกต่างจากที่เคยสัมผัส กับความเงียบสงบ เสมือนกับเป็น หมู่บ้านของชาวเขาจริงๆ ความรู้สึกที่แตกต่างอีกคือ ดอกเสี้ยวที่บานขาวสะพรั่งตามถนนหนทาง บนพื้นที่ว่างไม่ได้แออัดไปด้วยเต้นท์ของ บรรดานักท่องเที่ยว ร้านโรตี ร้านกาแฟ ร้านขายของ ร้านอาหารยามค่ำที่ไม่ต้องรอคิวยาว ส่วนเวลาการเตรียมตัวขึ้นภูชี้ฟ้าของเช้าตรู่อีกวัน เริ่มต้นเวลา 6 โมงเช้าซึ่งแตกต่างกับครั้งก่อนคือช้ากว่าชั่วโมงเศษ และการเดินทางเท้าขึ้นภูประมาณ 300 เมตรโดยใช้อีกเส้นทางจากเดิม ซึ่งจะเห็นยอดภูคล้ายหัวสิงโตกำลังอ้าปากมาแต่ไกล ทำให้มีแรงฮึดอยากจะถึงยอดภูเร็วๆ ผู้คนรอบข้างบางเบา เดินกันกระจัดกระจาย ไม่ได้ เบียดเสียด รีบเร่งเช่นเดียวกับช่วงเทศกาลปีใหม่ พอถึงยอดภูจะเห็นรอบๆเต็มไปด้วยสลิงกั้นเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมามีข่าว อุบัติเหตุของนักท่องเที่ยวถึงแก่ชีวิต และยังมีเจ้าหน้าที่ยืนกันประปรายตามจุดที่ดูจะอันตรายเป็นพิเศษ พร้อมกับป้ายบ่งบอกอันตรายนับๆ แล้วจำนวนไม่น้อยทีเดียว แต่ความเหมือนที่ยังคงอยู่ก็มีเด็กชาวเขาที่รอมาชักภาพกับนักท่องเที่ยว และอากาศแสนบริสุทธิ์สดชื่น เย็นฉ่ำ กับแสงแรกแห่งวันท่ามกลางทะเลหมอก พร้อมทิวทัศน์สุดสายตา ความสวยงามบนภูชี้ฟ้านี้ยังดึงดูดชนะอุปสรรคของความยากลำบากบวกกับ ระยะทางให้มาถ่ายทำโฆษณาบางชิ้น ณ.สถานที่จริงของอัสนี-วสันต์ ขาลงจากภูยังได้เต็มอิ่มกับธรรมชาติ แนวเขา ทะเลหมอกอีกมุม และปลายทางยังมีร้านของที่ระลึกของชาวเขาอีกด้วย

อัพเดทล่าสุด