เรื่องราวที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้คือความประทับใจในการไปท่องเที่ยวภาค เหนือ เมื่อต้นปี 2550 ซึ่งตรงกับงานราชพฤกษ์ ที่จัดระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 - 31 มกราคม 2550 การเดินทางโดยรถทัวร์ของบริษัทนำเที่ยวแห่งหนึ่ง โดยกำหนดการเดินทางนั้นวันแรกจะไปถึงที่จังหวัดเชียงรายก่อน สำหรับการเดินทางนี้พวกเราไปกันทั้งหมด 13 คน รวมคนในรถอีกทั้งหมดก็เกือบ 50 คน ในระหว่างการเดินทางจะมีไกด์นำเที่ยวสองคน คนแรกเป็นคนไทยชื่อพี่สามารถ คนที่สองเป็นคนเวียดนามชื่อคุณซาง แต่พูดไทยได้คล่องแถมยังร้องเพลงเพราะอีกด้วย พี่ๆ ไกด์ทั้งสองมักจะนำประสบการณ์ของการเดินทางไปในทริปส์ต่าง มาเล่าให้พวกเราฟังตลอดการเดินทาง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เบื่อเลย จนรู้สึกว่าอยากไปเป็นไกด์อย่างพี่เค้าจังเลย เพราะได้ไปเที่ยวหลายๆที่ พี่ๆ เค้าแซวพวกเราว่าปกติในการเดินทางไปเที่ยวจะมีแต่ สว. แต่ตอนนี้มีแต่ สส. ตอนแรกพวกเราฟังก็เริ่มงงกันว่า โห รถบริษัทนี้ได้รับเกียรติขนาดนั้นเลย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ คำว่า สว. ในที่นี้หมายถึงสูงวัย และ สส. หมายถึง สาวๆๆ ค่ะ พวกเราเลยอดยิ้มกันไม่ได้ เล่นชมกันซึ่งๆ หน้า พอรถขับออกจากกทม. พวกเราก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยวกับคณะทัวร์ พอตกกลางคืนพวกเราก้อเลยพักผ่อน พอถึงตัวเมืองเชียงราย พี่ๆ ไกด์ก็บอกให้เราตื่น ไปล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน เพราะต้องเปลี่ยนไปนั่งรถตู้แทนเพื่อไปยังภูชี้ฟ้า ที่ อ.เทิง จ.เชียงราย แต่ไม่มีใครอาบน้ำหรอก(เพราะอากาศหนาวมาก น่าจะประมาณ 5 องศาเซลเซียส) ทุกคนทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ ก็ขึ้นรถ เพื่อจะไปเปลี่ยนเป็นรถตู้ รถตู้เริ่มพาพวกเราออกเดินทาง สองข้างทางมืดสนิทและทางก็แคบมาก สำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญเส้นทางและการขับรถอาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ (เตือนไว้ก่อนนะคะ) พอถึงที่ภูชี้ฟ้า จะมีน้องๆ เด็กๆชาวเขามาขายถุงมือ พวกเราช่วยกันซื้อคนละคู่ เพราะว่าหนาวมากจริง ๆ นะคะ ขาแทบจะก้าวไม่ออก ในขณะนั้นดิฉันบอกกับเพื่อนๆ ว่าคงไม่ขึ้นไปหรอกเพราะหนาว แล้วก้อไกลมากด้วย สองข้างทางมืดสนิท แต่เพื่อน ๆ ก็ช่วยกันกล่อมให้ดิฉันขึ้นไป ทุกคนให้กำลังใจฉันจนต้องยอมขึ้นไปบนภูชี้ฟ้าด้วย ระหว่างทางที่เดินขึ้นไปเหมือนจะหายใจไม่ออก ทางเดินมืดมาก จนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือส่องไฟเป็นจุด เพื่อให้พวกเราเดินทางสะดวกขึ้น แต่กว่าจะขึ้นไปถึงขาแทบจะไม่มีแรงเดิน พอไปถึงที่หมาย มีคนมาถึงก่อนเราอีก แถมยังอายุมากกว่าเรายังขึ้นมาถึงเลย ดูเวลาเกือบตีสี่แล้ว รออีกนิดพระอาทิตย์คงจะขึ้นแล้ว และแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ขณะนั้นความสว่างก็มาแทนที่ความมืด พอพระอาทิตย์ทาทับขอบฟ้า แสงสีแดงของดวงตะวันอยู่ตรงยอดภู สวยงามมาก สมกับคำว่าภูชี้ฟ้าจริงๆ ทุกคนไม่พลาดสิ่งสำคัญ ต่างก็เรียบถ่ายรูปกันเพราะกลัวว่าเพราะอาทิตย์จะลอยไปไกลกว่า พวกเราได้ถ่ายรูปกับเด็ก ๆ ชาวเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันทุกคน ต่อจากนั้นเดินทางไปยังวัดร่องขุ่น พอไปถึงที่วัด พวกเราทุกคนต้องตกตะลึงในความงามของวัดมาก เพราะมองไปทางไหนของวัดจะเป็นสีขาว และมีลวดลายวิจิตรงดงามมาก พวกเราพากันไปไหว้พระในโบสถ์และเดินชมงานและของที่ระลึกภายในวัด จากนั้นเดินทางต่อไปยังสามเหลี่ยมทองคำ พากันซื้อของฝาก เดินซื้อของกินจนอิ่มหนำสำราญ ตกเย็นก็เข้าที่พักที่โรงแรมในตัวเมืองเชียงราย ทุกคนพากันพักผ่อน นอนหลับเพราะเหนื่อยจากเที่ยวมาทั้งวัน แล้วพรุ่งนี้ยังต้องเตรียมตัวไปเดินงานราชพฤกษ์อีก พอตื่นเช้าขึ้นมาออกเดินทางอีกครั้ง ไปยังน้ำพุร้อนธรรมชาติ ลองเอาไข่ลงไปต้มดู พวกเราก็เลยได้กินไข่ต้มกัน อิ่มอาหารเช้า หลังจากนั้นไปยังงานราชพฤกษ์ พอไปถึง สถานที่และบรรยากาศสวยงามเหมือนอยู่ต่างประเทศเลย ภายในงานคนเยอะมาก ต้องต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟนำเที่ยว เพราะว่าเดินไม่ไหว มันกว้างมาก การบริการของรถไฟนำเที่ยวจะดีมากคือ จะจอดให้เราลงในสถานีที่เราต้องการจะลง เราก้อพากันเดินลงไปเที่ยวตามจุดต่างๆ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ หอคำหลวง เรือนกล้วยไม้ พืชเมืองร้อน พืชเมืองหนาว และ การจัดดอกไม้ของแต่ละประเทศ พวกเราต่างคนต่างเดินถ่ายรูป ทำให้แต่ละคนเกิดพลัดหลงกัน แต่ก็ไปเจอกันที่จุดนัดหมาย เมื่อถึงเวลากลับพวกเราต่างรู้สึกว่าวัน เวลามันช่างรวดเร็วเสียจริงๆ แต่นับว่าประเทศไทยเราจัดงานได้ยิ่งใหญ่มาก และก็หวังว่าจะมีงานที่มีคุณค่าอย่างนี้อีกครั้งในโอกาสต่อๆ ไป ทุกคนต่างก็ไม่อยากกลับ รถทัวร์พาเราออกเดินทางจากเชียงใหม่กลับสู่กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ ในการไปเที่ยวครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณประเทศไทยที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัททัวร์ พี่ๆไกด์นำเที่ยวทุกคน โชเฟอร์ใจดี ที่พาแวะปั๊มตลอดทาง เพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือตลอดการเดินทาง และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือขอบคุณครอบครัว ที่เป็นธนาคารเคลื่อนที่ตลอดทริปส์นี้ค่ะ |