พิษณุโลก : บทความที่น่าสนใจ เที่ยวป่าหน้าฝน


697 ผู้ชม



เที่ยวป่าหน้าฝน

โดย...คุณแม่อุอุ

                    เนื่องด้วยภูมิลำเนาของสามีที่รักอยู่ที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งห่างจากอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าไปเพียงไม่กี่สิบกิโล ครอบครัวของเราจึงมีโอกาสขึ้นไปท่องเที่ยวบนภูหินฯได้บ่อยครั้ง ซึ่งอย่างน้อยก็คงบ่อยกว่าคนภาคกลางทั่วๆ ไป ขึ้นชื่อว่า “ภูหินร่องกล้า” เชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงนิยมไปเที่ยวกันในช่วงหน้าหนาว หรือตั้งแต่เดือนธันวาคม ไปจนถึงกุมภาพันธ์ เรียกได้ว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของการเที่ยวภู ไม่ว่าจะเป็น ภูกระดึง (ภูยอดนิยมตลอดกาล) ภูสอยดาว หรือภูชี้ฟ้า สังเกตจากปริมาณรถที่วิ่งผ่านทางอำเภอนครไทย ในช่วงวันหยุดยาว ในทุกๆ สิ้นปี ขบวนรถนักท่องเที่ยวจะยาวเป็นขบวน และแทบไม่ขาดช่วง ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ตลอดปีได้ ชาวบ้านก็คงยินดี รายได้คงได้ไหลมาเทมาอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าเป็นนอกฤดูท่องเที่ยว ถนนจะเงียบมาก นานๆทีจึงจะมีรถชาวบ้าน รถอีแต๊ก อีแต๋น วิ่งผ่านสักคัน เข้าเรื่องกันดีกว่า ก่อนที่สมองจะพานิ้วมือ ให้มันเคาะแป้นไปเรื่อยเปื่อย กว่าจะรู้สึกตัวหน้าจอคงเละเทะ เป็นโจ๊กถุงสิบบาท ที่เทมามีแต่น้ำใสจ๋องแจ๋ง หาเนื้อแทบไม่ได้ 
                    ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราอาศัยลางานต่ออีก 1 วัน วางแผนกันยกครอบครัว รวม 4 ชีวิต เดินทางผ่านที่ราบและเทือกเขา เพื่อกลับสู่มาตุภูมิของคุณสามีที่รัก เดินทางมาถึง ก็พักผ่อน และปล่อยให้ปู่กับย่าได้ใกล้ชิดกับหลานวัยซนทั้งสองเสียก่อน เพราะนั่นคือจุดสิ้นสุดของการรอคอย ของทั้งสองท่าน วันถัดมาเราจึงลงมติและเห็นพ้องต้องกันทั้ง 4 เสียง ว่าน่าจะขึ้นไปเที่ยวภูหิน กันอีกสักรอบ บรรดาญาติบางท่านก็ท้วงติงด้วยความเป็นห่วงว่ารถเก๋งเล็ก วีออส อย่างเราจะขึ้นไหวหรือ เนื่องจากเคยมีรถบางคันที่ขึ้นไม่ไหว ถึงขนาดจอดตายกลางทางเลยทีเดียว แต่ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม สามีที่รักและดิฉัน ก็ตอบโดยพ้อมเพรียงกันว่า ได้แน่นอน ถึงเป็นวีออส เครื่อง 1.5 ลิตร แต่หัวใจเป็นโฟร์วีล ออฟโรดจ๊ะ  ว่าแล้วหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ไล่ต้อนเด็กๆ ให้อาบน้ำแต่งตัว และ ต้อนกันขึ้นรถไม่รอช้า

                    หลังจากลุ้นกันเล็กน้อยว่ารถจะขึ้นไหวไหม เพราะเจอคำขู่มาเยอะ แต่ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของคุณสามี ก็พาพวกเรามาจนถึงที่ทำการของอุทยานฯ หลังจากแวะเต้นแร้งเต้นกากันที่จุดชมวิวมาแล้ว เมื่อมาถึงอย่างแรกที่รู้สึกได้คือ อากาศที่เย็นสบาย อุณหภูมิราวๆ 25 องศา สบายกว่าข้างล่างเยอะเลยทีเดียว และบรรยากาศที่เงียบสงบ ก้มมองดูเครื่องบอกเวลาพกพาบนข้อมือ (ก็นาฬิกาข้อมือนั่นแหละ เรียกให้มันดูเท่ๆ ไปอย่างนั้นเอง) ก็พบว่าเหลือเวลาอีก ราวๆ ชั่วโมงกว่า ก่อนจะถึงเวลาอาหารกลางวัน เลยตัดสินใจเดินเที่ยวตามเส้นทาง เพื่อชมสำนักอำนาจรัฐ ที่หลบภัยทางอากาศ ผาชูธง ลานหินปุ่ม เริ่มต้นเดินจากที่จอดรถ ก็เริ่มค้นพบความงามของป่าหน้าฝนที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ในทุกๆพื้นที่จะมีดอกไม้ป่าสีต่างๆ ออกดอกประชันความงามอย่างไม่มีน้อยหน้ากันเลยทีเดียว แค่ภาพแรกที่ได้เห็นก็ยังติดตราตรึงใจ ความงดงามของเหล่าพรรณไม้ สีของดอกไม้ที่ดูเด่นขึ้นเพราะตัดกับสีเขียวของใบไม้และหญ้ามอสเล็กๆที่ขึ้น คลุมพื้นที่ต่างๆ ทำให้พวกเราอดที่จะเคลิบเคลิ้มจนคิดว่ากำลังอยู่ในฉากภาพยนตร์เรื่องใด เรื่องหนึ่ง

                    เมื่อตื่นจากภวังค์ เพราะเจ้าจอมซน 2 ตัวคอยปลุกให้เดินต่อไป อีกจุดหนึ่งที่เพิ่งจะได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสก็คือ หลุมหลบภัยทางอากาศ ซึ่งเมื่อ 30 ปีก่อนเคยมีพวกทหารม้ง ใช้อาศัยหลบภัยจากการทิ้งระเบิด มีลักษณะเป็นช่องหิน ซอกหลืบ บางจุดเป็นช่องหินที่เดินทะลุมาออกอีกด้านได้ ซึ่งภายในค่อนข้างมืด จนเจ้าจอมซนต้องคอยดึงแขนให้เดินเร็วๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ยังแอบเสียวไม่ได้ ต้องคอยเช็คว่ารูปที่ถ่ายได้ มีคนอื่นปลอมปนมาหรือเปล่า ซึ่งก็โชคดีที่ไม่มี และเนื่องด้วยเป็นถ้ำหินและสภาพอากาศช่วงหน้าฝน ผนังหินบางช่วงจึงมีมอส และเฟิร์นต้นเล็กๆ ขึ้นคลุมเหมือนว่าปูด้วยวอลล์เปเปอร์สีเขียวเลยทีเดียว

                   หลัง จากนั้นเราเดินไปตามทางเดิน ผ่านลานเอนกประสงค์ ซึ่งมีปืนต่อสู้อากาศยานตั้งอยู่ ผ่านจุดชมวิวบนหน้าผาสูง มองเห็นผาชูธงอยู่ด้านข้าง และท้องฟ้ากว้างอยู่ด้านหน้า แล้วจึงเคลื่อนขบวนไปเยี่ยมผาชูธง ซึ่งยังคงมีธงชาติไทยโบกสะบัดให้ได้ภาคภูมิใจในดินแดนเกิด แล้วสุดท้ายจบลงที่ลานหินปุ่ม ซึ่งแต่งแต้มด้วยดอกไม้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ในช่องหินด้านล่าง หลังจากนั่งพักผ่อนทอดหุ่ย บนปุ่มหินธรรมชาติ ที่มีรูปร่างหลากหลาย บางก้อนก็ดูเหมือนโซฟาตัวเล็กๆ เจ้าจอมซนจึงไม่บ่นว่าแต่ประการใด เหลือบมองดูเวลาอีกที อ้าว ... เที่ยงกว่าแล้ว เลยพากันเดิมกลับ แม้ว่าช่วงเดินกลับจะมีฝนตกมาพรำๆ และท้องเจ้ากรรมก็ร้องและออกอาการ จนจะเป็นลมก็ตาม แต่ในคณะก็ไม่มีใครปริปากบ่น แม้แต่เจ้าจอมซนทั้งสองก็ตาม สุดท้ายเราก็เดินจนมาถึงที่จอดรถโดยสวัสดิภาพ ทุกคน รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้น ราวสองชั่วโมงกว่าๆ
                   ทริปนี้เราได้เปิดตาและเติมพลังให้กับชีวิตอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะกลับสู่โลกแห่งความจริง แม้ว่าใจจะไม่อยากกลับก็ตาม และที่จะไม่ลืมเลย คือ เราต้องหาเวลากลับมาเยี่ยมเหล่าดอกไม้นานา ในหน้าฝนหน้าเป็นแน่... จะไปด้วยกันไหมคะ ?

อัพเดทล่าสุด