ท้าลมหนาว หกสาวตะลุยเขาค้อ
โดย ... แก๊งลูกหมูเรียกมดตะนอย
เมื่อฝนปลายเดือนตุลาคมเริ่มเบาบาง และลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนเริ่มก่อตัว หกสาวนักเดินทางก็เริ่มรวมตัวถามหาทริปเที่ยวรับลมหนาวกันทันที แม้จะมีความคิดหลากหลาย แต่สุดท้ายทุกคนก็ลงความเห็นว่า อยากไปเที่ยวภูเขา สูดอากาศบริสุทธิ์กัน แล้วที่ไหนหล่ะ ที่สามารถไปได้โดยไม่ต้องลางาน ค่าใช้จ่ายไม่สูง ไม่อันตราย และได้บรรยากาศการเที่ยวภูเขา หลังจากช่วยกันค้นหาไปตามเว็บไซต์ต่างๆ ก็ได้ข้อสรุปว่า ไป เขาค้อ กันดีกว่า ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 400 กม. สามารถไปกลับเสาร์ อาทิตย์ได้โดยไม่เหนื่อยมากนัก ถนนหนทางดีสามารถขับรถยนต์ไปได้ไม่ลำบาก เป็นพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ ทั้งเป็นที่ตั้งของพระตำหนักเขาค้อ และมีจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามไม่แพ้พื้นที่อื่นๆ ในภาคเหนือ จนได้รับฉายานามว่า สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย
เราเริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่ แม้จะเผื่อเวลาไว้มากแล้ว แต่กว่าจะได้ออกเดินทางก็เกือบหกโมงเช้า ทุกคนดูสดชื่น สดใส ไม่มีใครบ่นง่วงที่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติเลย เรานั่งฟังเพลงในรถไปพลางชมพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าไปพลาง แม้จะเพิ่งเลยปทุมธานีมาได้ไม่นาน แต่กลิ่นไอแห่งความสุขก็เต็มเปี่ยมในจิตใจของทุกคน ที่แรกที่เราแวะคือ ทุ่งทานตะวัน ริมทางหลวงหมายเลข 21 ระหว่างแยกทุ่งทานตะวันและแยกพัฒนานิคม ซึ่งถือเป็นของแถมเพราะไม่ได้อยู่ในโปรแกรม แต่สำหรับสาวๆ นักถ่ายรูปอย่างเราเห็นวิวสวยๆ อย่างนี้ไม่แวะไม่ได้อยู่แล้ว
พอท้องเริ่มเรียกร้อง เราก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปรับประทานอาหารเช้ากันที่ อ.วิเชียรบุรี อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ คือ ไก่ย่าง ไก่ตัวขนาดพอเหมาะนำไปย่างแห้งกำลังดี เนื้อนุ่ม หนังกรอบ กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย รสชาดดีโดยไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้ม ทานกับข้าวเหนียว ส้มตำเข้ากันอย่าบอกใคร
เติมพลังกันเรียบร้อยเราก็ออกเดินทางต่อ ขับรถผ่านตัวเมืองเพชรบูรณ์ไม่นานก็ถึงแยกนางั่ว เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลย 2258 ขับไปไม่ถึง 20 กม. ก็ถึง เนินมหัศจรรย์ ไม่ลองไม่รู้จริงๆ ทั้งๆ ที่สายตาเรามองเห็นเป็นเนินลาดลง แต่เมื่อปลดเกียร์ว่าง ปล่อยเบรค รถกลับถอยหลังขึ้นเนินไปอย่างน่ามหัศจรรย์
หลังจากทำการทดลองที่ท้าทายกฎแรงโน้มถ่วงของท่านเซอร์ไอแซ็คนิวตันจนสาแก่ใจ แล้วก็ขับรถขึ้นเขากันต่อ ระหว่างทางทุกคนนั่งลุ้นด้วยความตื่นเต้นกันไปตลอด เพราะเส้นทางนั้นช่างคดเคี้ยวและสูงชัน บางครั้งลาดขึ้น บางครั้งลาดลง สลับกันไปอย่างนี้ตลอดทาง ด้วยความที่ไม่ชำนาญทางเราจึงขับกันไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ ซึมซับความงามของทิวทัศน์ระหว่างทางที่เพิ่มมากขึ้นตามระดับความสูง ผ่านแยกรื่นฤดี (แยกสะเดาะพง) ไปไม่ไกล เราก็เลี้ยวขวาขึ้น พระตำหนักเขาค้อ ซึ่งประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือสร้างถวายด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลง ทางขึ้นพระตำหนักนั้นชันกว่าทางที่ผ่านมาพอสมควร แต่เมื่อขึ้นไปถึงก็ไม่ผิดหวัง ทั้งความสง่างามของพระตำหนัก และจุดชมวิวที่สวยงาม ทำให้ลืมเวลากันไปเลยทีเดียว
เราลงจากพระตำหนักเขาค้อเกือบบ่ายสองโมง ย้อนกลับทางเดิมเลี้ยวซ้ายที่แยกรื่นฤดีเข้าทางหลวงหมายเลข 2196 เราแวะ หอสมุดนานาชาติ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บหนังสือที่ได้รับจากฑูตต่างประเทศจำนวนมาก มีพรรณไม้สีสันสดใสปลูกอยู่ทั่วบริเวณ ที่นี่ยังมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและต้นศรีมหาโพธิ์ซึ่งนำมาจาก ประเทศศรีลังกา หลุดออกมาจากความงามของสวนดอกไม้ในหอสมุดนานาชาติได้ เราก็ไต่ขึ้นเขาไป พิพิธภัณธ์อาวุธ ฐานอิทธิ ซึ่งตั้งชื่อตาม พ.อ.อิทธิ สิมารักษ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ยึดพื้นที่เขาค้อคืนจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เดิมพื้นที่นี้เคยเป็นฐานปืนใหญ่ยิงสนับสนุนการสู้รบ แต่ปัจจุบันจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการสู้ รบครั้งนั้น จากฐานอิทธิก็ไปต่อ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ เขาค้อ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความเสียสละของผู้พลีชีพ เพื่อต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทั้งสองที่นี้ นอกจากเราจะได้ซาบซึ้งกับประวัติศาสตร์แล้ว ยังได้รื่นรมย์กับทัศนียภาพที่สวยงามเกินบรรยาย และยากที่กล้องตัวใดจะบันทึกภาพและความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ได้หมด
ความเพลิดเพลินทำให้เราลืมเรื่องเวลากันเลยทีเดียว แต่เมื่อฟ้าเริ่มมืดและตะวันเริ่มคล้อยต่ำก็เป็นอันรู้กันว่าถึงเวลาต้อง เดินทางเข้าที่พักแล้ว ที่พักอยู่ไม่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวนักจึงถึงที่พักก่อนตะวันตกดิน เราจองเต้นท์ริมผาสองหลังไว้ล่วงหน้า หลังเก็บข้าวของและพักเหนื่อยกันครู่ใหญ่ๆ (สมาชิกบางคนเล็มยอดหญ้าแก้หิวไปแล้ว) อาหารที่สั่งไว้ก็พร้อมรับประทาน ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยและหิวหรือเปล่า แต่อาหารมื้อนี้ช่างอร่อยเหลือเกิน ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวกันริมผาเงียบๆ แม้จะแทบมองไม่เห็นดวงดาว เพราะเป็นคืนเดือนหงาย แต่ก็ชดเชยได้ด้วยการชมโคมยี่เป็งที่มีคนจุดลอยมาเป็นระยะๆ พอจานอาหารว่างเปล่า ทุกคนก็เริ่มกิจกรรมที่ตระเตรียมไว้เช่นทุกทริป และดูเหมือนจะคิดว่าการนอนเป็นเรื่องเสียเวลาจริงๆ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนก็ยอมสงบนิ่งอยู่ในเต้นท์โดยดี
สมาชิกทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาชมทะเลหมอก แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีให้เห็น จะมีก็เพียงหมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือหุบเขา กับลมหนาวที่พัดมาปะทะใบหน้าแผ่วเบา หลังรับประทานอาหารเช้าเพิ่มพละกำลังกันเรียบร้อย เราก็ไม่รอช้าที่จะออกเดินทางกันต่อ จากที่พักไม่ไกลก็ถึง พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อันเชิญ พระบรมสารีริกธาตุจากประเทศศรีลังกามาประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนในพื้นที่หลังจากการสู้รบกับผู้ก่อการ ร้ายคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลง ไหว้พระทำบุญเป็นสิริมงคลแล้วก็ออกเดินทางต่อไปที่ น้ำตกศรีดิษฐ์ ซึ่งเดิมเคยเป็นที่หลบซ่อนของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์และอยู่ในป่าค่อนข้างลึก เราปูเสื่อนั่งกินข้าวเหนียว ไก่ย่าง และขนมขบเคี้ยว พร้อมฟังเสียงน้ำตกดังอย่างต่อเนื่อง ช่างมีความสุขจริงๆ
ออกจากน้ำตกศรีดิษฐ์เราก็ขับรถตามทางหลวงหมายเลข 2196 ไปทางแยกแคมป์สน เพื่อแวะ ไร่ บี.เอ็น. ทางเข้าไร่เป็นอุโมงค์ต้นไม้สวยงามมาก ส่วนด้านในมีขายผัก ผลไม้แปลกๆ นานาชนิด และมีไอศกรีมรสผลไม้ทำเองอร่อยชื่นใจ ส่วนที่สุดท้ายที่เราแวะ คือ ร้านกาแฟเล็กๆ ริมทางหลวงหมายเลข 12 ชื่อ Coffee Hill ช่างเป็นการปิดท้ายการเดินทางที่แสนพิเศษ ด้วยการนั่งจิบโกโก้เย็น ชมทัศนียภาพของภูเขาสูงสลับซับซ้อน แม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่แล้วแต่ก็ยังมีไอหมอกบางๆ ให้เห็น ก้อนเมฆเล็กใหญ่ลอยระเรี่ยยอดเขาสีเขียวขจี สวยงามจนทุกคนแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองอยู่เมืองไทยเลยทีเดียว
แม้แต่ละคนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล และนั่งเบียดกันในรถคันเล็ก ซ้ำยังต้องพลีกายถวายชีวิตเพื่อร่วมบันทึกภาพกับสถานที่ต่างๆ แต่ความสุขความประทับใจมันช่างเต็มเปี่ยมหัวใจจริงๆ ทำให้เราลืมเรื่องวุ่นวายในชีวิตประจำวัน ปล่อยวางการทำงานที่เคร่งเครียด ละทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วสนุกกับการท่องเที่ยวในดินแดนที่เคยมีความขัดแย้ง ซึ่งสมัยนั้นคงไม่มีใครคาดคิดได้เลยว่า จะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้แก่นักเดินทางได้มาก มายเพียงนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า แม้ปัญหาจะรุนแรงมากมายเพียงใดก็ตาม หากเรามีความตั้งใจที่จะแก้ไขและอดทนให้มาก สุดท้ายปัญหาทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
เมืองไทยยังมีสถานที่น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย ไม่ไปไม่รู้จริงๆ