ท่องเที่ยวแดนอีสานเหนือ จากอุบลราชธานี - หนองคาย
by Little rabbit
หลังจากคราวก่อนเคยเดินทางเยือนถิ่นอีสานใต้มาแล้ว เริ่มติดใจ ยังมีอีกหลายจังหวัดเลยที่ยังไม่เคยได้ไปสัมผัส ไหน ๆ ก็มีวันหยุดหลายวันทั้งที ก็ออกท่องเที่ยวดีกว่า ว่าแล้วก็ชวนคนรู้ใจ ที่มีรสนิยมในการเดินทางเหมือนกัน ไปตระเวนท่องเที่ยวแถบอีสานเหนือกันเถอะ สำหรับโปรแกรมนี้ใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน เริ่มต้นจากวางแผนท่องเที่ยว โดยกางแผนที่เดินทางกันไป วันแรกของการเดินทาง เตรียมสัมภาระเรียบร้อย ออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ แต่เช้า ขับรถไปตามเส้นทางถนนสายมิตรภาพ มุ่งหน้าผ่านสระบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ และตรงเข้าจ.ศรีสะเกษ จุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้ คือ ที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
ภายในอุทยานสามารถลงไปชม ภาพสลักหินนูนต่ำ ที่ผามออีแดง จากนั้นเดินเข้าไปชมความยิ่งใหญ่ของ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือได้ว่าเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง และอยู่ในระหว่างการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลก เราใช้เวลาเข้าไปเที่ยวชมประมาณ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ จึงกลับออกมาเพราะที่นั่นจะปิดทางเข้า-ออกระหว่างเขตแดนไทย-กัมพูชาประมาณ 4 โมงเย็น ซึ่งถ้าจะไปควรวางแผนเวลาให้ดี เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเดินทาง
จากนั้นเราก็ขับรถไป จ.อุบลราชธานี ซึ่งห่างจากที่นี่ประมาณ 70 กม.เท่านั้น เราไปถึงค่ำ ๆ พอดี แวะกิน ก๋วยจั๊บญวณ ซึ่งเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่ในตลาดตัวเมืองอุบลฯ รสชาติอร่อยมาก โดยเฉพาะน้ำซุปของเรา เราสามารถเลือกใส่กระดูกหมู น่องไก่ ไข่นกกระทา ได้แล้วแต่ชอบ และราคาไม่แพงด้วย จากนั้นเราก็หาที่พักค้างคืนที่นั่นกัน
วันที่สองของการเดินทาง ตอนเช้าขับรถชมเมืองอุบลกัน แล้วไปแวะซื้อซาลาเปา พิบูลมังสาหาร ลองชิม ซึ่งจะมีกลุ่มแม่บ้านทำมาขายกันตามรายทาง เค้าว่ากันว่าอร่อยกัน เลยต้องลองชิมซะหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ มีหลากหลายไส้ให้เลือกทั้งเผือก ถั่วดำ ครีม หน่อไม้ หมูสับ จากนั้นเราไปเที่ยวแก่งสะพือกัน ซึ่งเป็นแก่งหินกลางแม่น้ำมูล แต่น่าเสียดายเราไปช่วงที่น้ำเยอะ เลยมองไม่เห็นอะไรเลย เลยแก่งสะพือ ไม่ไกลนักแวะไปเที่ยวเขื่อนปากมูล จากนั้นขับรถเข้า อ.โขงเจียม ไปวัดถ้ำคูหาสวรรค์ เข้าไปไหว้พระ และชมวิวแม่น้ำสองสี ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำโขง และแม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกัน ทำให้มองเห็นเป็น 2 สีคือ สีปูนของแม่น้ำโขง และสีครามของแม่น้ำมูล
พอช่วงบ่ายเราก็ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติผาแต้มกันต่อ ซึ่งจะมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งเสาเฉลียง ลานหินแตก ภาพเขียนสีโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุประมาณ 3000 ปี ซึ่งมีเป็นร้อย ๆ ภาพเลย ซึ่งถ้าจะเดินดูจนครบต้องใช้ระยะทางในการเดินประมาณ 2 กม.ได้ และที่ขาดไม่ได้คือจุดชมวิวริมแม่น้ำโขง ซึ่งฝั่งตรงข้ามคือประเทศลาว ซึ่งเป็นทัศนียภาพอันสวยงามมาก ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอุทยานมากนัก เราก็ไปเที่ยวน้ำตกสร้อยสวรรค์ น้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรู ซึ่งเป็นหนึ่งใน Unseen Thailand เพราะเป็นน้ำตกที่ไหลลงปล่องหน้าผาที่คล้ายรู จึงเรียกว่าน้ำตกลงรู แปลกมาก ๆๆ
พอเริ่มค่ำเราก็ขับรถเข้า จ.มุกดาหาร เพื่อค้างคืนที่นั่น เลยไปแวะกินแจ่วฮ้อน ที่คนแถวนั้น เค้าร่ำลือถึงความอร่อยกัน วันที่สาม ตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ไปเที่ยวหอแก้วมุกดาหารตอนช่วงเช้า ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของเมืองมุกดาหาร และขับรถผ่านไปชมสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 จากนั้นไปวัดสองคอน เป็นโบสถ์คริสต์ เป็นสถานที่สักการะพระมารดาแห่งมรณะสักขี ที่เค้ายกให้เป็นหนึ่งใน Unseen เช่นกัน จากนั้นขับรถไป จ.นครพนม เข้าไปสักการะพระธาตุพนมกัน ซึ่งเป็นพระธาตุที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งเลยทีเดียว จากนั้นเราก็ขับรถตรงยาวไป จ.หนองคาย กันเพื่อไปเดินเลือกซื้อของที่ตลาดชายแดนไทย- ลาว และก็มีเวลาพอที่จะเช่ารถ Taxi ที่ฝั่งลาวเข้าไปเที่ยวชมเมืองเวียงจันทน์กันได้อีกด้วย 
ขากลับออกมาก็ประมาณ 6 โมงเย็น เลยหาร้านอาหารทานข้าวกัน ก็อาศัยคนถิ่นนั้นเค้าแนะนำ ก็ต้องนี่เลยแหนมเนือง ตรงตลาดท่าเสด็จ ซึ่งอร่อยจนคนแน่นร้านเลยทีเดียวล่ะ พออิ่มเราขับรถกลับ จ.ขอนแก่น กัน เพราะว่าเรามีที่พักอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว จึงต้องขับรถกลับไป
วันที่สี่แล้ว เราพักผ่อนตอนเช้าให้เต็มอิ่มจากการเดินทางอันยาวไกลมา 3 วันติด แต่ด้วยบ้าพลังของเรา จึงออกไปเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่ขอนแก่นกันอีก จากที่คราวก่อนไปเที่ยวกันมาบ้างแล้ว วันนี้เราก็ไปไหว้พระธาตุขามแก่น ที่ อ.น้ำพอง และชมการแสดงที่หมู่บ้านงูจงอาง ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ฯ