องค์กรมีความสุข คนก็มีสุข สูตรธุรกิจ พ.ญ. นลินี ไพบูลย์


1,098 ผู้ชม


องค์กรมีความสุข คนก็มีสุข สูตรธุรกิจ พ.ญ. นลินี ไพบูลย์




"พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ " หรือ หมอต้อย ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด และกลุ่มบริษัทในเครือ ชื่อของเธอคุ้นเคยกันดี ไม่เพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงความสวยความงาม และธุรกิจขายตรง แต่ยังโด่งดังในฝีมือการบริหารธุรกิจ จนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพและความสามารถระดับอินเตอร์ มากมาย รวมถึง"นักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ประจำปี 2550" ที่ผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการนานาชาติถึง 57 ประเทศ
"กิฟฟารีนมีกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร" หมอต้อยกล่าว และขยายเคล็ดลับความสำเร็จ ที่ผสมผสานออกมาเป็นโมเดลเฉพาะ กิฟฟารีน ให้ฟังว่า เริ่มต้นจาก ผู้บริหารต้องเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นก่อน และพยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น ไม่เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ต้องยืดหยุ่นและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น สามารถปรับตัวได้รวดเร็วและยอมรับโลกที่เปลี่ยนไป
ส่วนตัวผลิตภัณฑ์จะเน้นให้ความสำคัญต่อความรู้สึกและการยอมรับของคนที่มีต่อแบรนด์ โดยเฉพาะคุณภาพของสินค้าต้องมาก่อน ราคาที่เหมาะสม การกระจายสินค้าที่ดี และสร้างให้นักธุรกิจกิฟฟารีนเก่ง สามารถแทรกซึมผู้บริโภคได้ทุกจุด"การทำตลาด เรามุ่งที่คนไทย และเป็นธุรกิจขายตรงที่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์เครือข่ายที่ดีที่สุด"
สิ่งเหล่านี้ผลักดันให้กิฟฟารีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตั้งแต่ปีแรกที่เปิดดำเนินการ (17 มีนาคม 2539)
ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเธอเมื่อตัดสินใจผันตัวเองจากสูตินรีแพทย์ มาทำธุรกิจขายตรง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เธอมีปัญหาครอบครัวถึงขั้นต้องหย่ากัน ตอนนั้นอายุ 36 ปีมีเงินอยู่ประมาณ 100 ล้าน และมีภาระต้องดูแลลูกสาวอีก 2 คนที่กำลังเล็ก โดยนำชื่อลูกสาว 2 คนคือ"น้องกิ๊ฟ" ที่วันนี้อยู่ในวัย 16 ปี และ "น้องฟ้า" วัย 13 ปี มารวมกันเป็นแบรนด์ "กิฟฟารีน(Giffarine)"
หมอต้อยเลือกที่จะสู้อีกครั้ง โดยยึดแนวทางเป็นผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเองในธุรกิจขายตรงที่มีประสบการณ์อยู่แล้วจากที่เคยร่วมบุกเบิกกับสามีทำแบรนด์" สุพรีเดอร์ม " โดยลงเงินไป 100 ล้านบาทกับโรงงาน 2 แห่งที่ใช้ผลิตเครื่องสำอางและอาหารเสริม ช่วงนั้นเผอิญโชคดีมีคนสนใจเข้ามาขายของเป็นอาชีพที่สองของชีวิตจำนวนมาก ทำให้ปีแรกมียอดจำหน่ายสูงถึง 385 ล้านบาท ปีที่สองพุ่งถึง 1,500 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 4.5 เท่า สวนกระแสเศรษฐกิจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เจอปัญหาสินค้าผลิตไม่ทันขาย " แต่ในความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่า ความรู้ต่างๆเราเรียนได้เร็วในระยะเวลาสั้นๆ หรือ เรียนลัดได้"
เธอยอมรับว่า ตอนเปิดบริษัทตั้งใจแค่อยากจะทำงานที่ใจรักและทำให้นักธุรกิจอิสระ และพนักงานทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนที่เคยอยู่ที่บริษัทเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามารถเติบโตได้ระดับ 12-15%ทุกปี "เป็นเพราะประสบการณ์ บวกกับกลยุทธ์ความคล่องตัวที่เราปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และมุ่ง Customer Lead ด้วยการเรียนรู้ ศึกษาความคิดและจิตใจของคนที่ทำงานกับเรา ตลอดจนประชาชนจนได้สิ่งที่ตอบโจทย์"
อีกสิ่งหนึ่งที่เธอยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด คือ ไม่ใช่เงินในอนาคต ไม่เคยกู้เงินแบงก์มาลงทุน แต่ใช้ผลกำไรจากธุรกิจนำมาลงทุนตลอด ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
มาถึงวันนี้ หมอต้อยบอกว่ากิฟฟารีนมีสมาชิกที่ลงทะเบียนรวม 4.9 ล้านรหัส และจากฐานสมาชิกที่มีอยู่เหล่านี้ทำให้กิฟฟารีนสามารถทำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์และพัฒนาสินค้าใหม่ได้รวดเร็ว เช่น สามารถสำรวจตัวอย่างสินค้า 3,000 คน ได้ใน 3 วัน ผ่านศูนย์ธุรกิจที่มีอยู่ 25 แห่งทั่วประเทศ
ปัจจุบันแม้จะอยู่ในวัย 50 ปี แต่ หมอต้อยก็ยังดูสวย สดใส "ช่วงเครียดและแย่ที่สุดในชีวิต ก็มี คือ ตอนหย่า " ส่วนวิธีคลายเครียดหมอต้อย เผยว่า เลือกจำแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น และใช้ธรรมะ 2 ข้อ คือ เมตตาธรรม และอภัยธรรม ซึ่งถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ จึงมักเห็นเธอในบุคลิกที่มองโลกในแง่ดี สามารถสลายความทุกข์ได้เร็ว และมีอารมณ์ขัน สิ่งเหล่านี้ยังถูกถ่ายทอด ลงมาถึงบุคลิกของนักธุรกิจกิฟฟารีนที่อ่อนโยน เป็นเหมือนเพื่อน และที่ปรึกษาที่ดี ที่สำคัญเธอมุ่งมั่นสร้างให้สมาชิกมีความรู้สึกเป็นเจ้าของกิฟฟารีนเองอย่างแท้จริง "เราจะบอกทุกคนเสมอว่ากิฟฟารีนเป็นของนักธุรกิจ และพนักงานทุกคน"
ส่วนหลักคิดส่วนตัวที่นำมาใช้ในการบริหาร หมอต้อย ยึดธรรมะ 3 ข้อ คือ"บริหารตัวเอง บริหารจิตใจ และบริหารชีวิต" ทำให้ควบคุมอารมณ์และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ที่สำคัญมี "สติ" อยู่ตลอดเวลา สำหรับคติประจำใจที่ใช้อยู่คือ เมตตาธรรม กับ อภัยทาน ซึ่งถือเป็นธรรมะที่คุ้มครองโลก "ถ้าทุกคนมีทั้งสองอย่างนี่ใจจะเป็นสุข มีเมตตา อยากเห็นคนอื่นมีความสุข และเมื่อเกิดอะไรขึ้น อย่าโกรธ หรือมีโทสะ โมหะ แค่นี้ชีวิตก็เป็นสุข และเมื่อใจเป็นสุขก็จะคิดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆได้"
อย่างไรก็ดีขณะที่ธุรกิจในไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และแม้ธุรกิจกิฟฟารีนจะไม่ได้ย่ำแย่ตามวิกฤติแต่ก็ไม่ได้เติบโตมากสาเหตุจากกำลังซื้อหดตัว ซึ่งหากเปรียบเทียบยอดขายกิฟฟารีนปี 2551 ขยายตัว 7% เป้าหมายต่อไปของหมอต้อย คือ ตัวเลขยอดขายที่ 5,000 ล้านบาทในปี 2554 "ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่ทำยังไงให้คนเข้าใจในหลักการ แล้วเดินไปทางเดียวกัน ซึ่งวันนี้เชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว อยู่ที่ทำยังไงให้เขาใส่ใจลงไปในงานให้ได้มากที่สุด"
ภารกิจที่ท้าทายจากนี้ไป จึงเป็นเรื่องของการรักษาการเติบโตของกิฟฟารีนไม่ให้สะดุดและก้าวสู่เป้าหมายพร้อมกับสร้างทายาทธุรกิจที่เป็นรุ่นสองขึ้นมาที่อาจไม่ใช่คนในครอบครัวแต่เป็น คนในที่มีความสามารถ ส่วนรุ่นที่สามอาจเป็นลูกสาวที่จะเข้ามาบริหารงานในอนาคต
พร้อมกันนี้ยังมีข้อคิดผ่านถึงคนรุ่นใหม่ว่า แม้คนรุ่นใหม่จะมีความรู้ด้านการจัดการดีอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องมีหลักในการบริหาร 3 ข้อ คือ หนึ่ง วิธีคิดที่ถูกต้อง สองวิธีการถูกต้อง ทั้งสองข้อนี้เรียนรู้ได้จากมหาวิทยาลัย และสาม มีแรงบันดาลใจสม่ำเสมอ (Passion & Inspiration)หากมีทั้งสามข้อก็จะสามารถวางแผนนำองค์กรสู่ความสำเร็จได้
แม้ภาพเธอจะเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่ชีวิตส่วนตัวก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป ที่พอมีเวลาว่างก็ชอบไปเที่ยว และ
ช็อปปิ้ง เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า (ไม่ติดแบรนด์เนม) ทานอาหารอร่อย หมอต้อยบอกว่าของหวาน ของมัน ชอบทานทั้งนั้น แล้วก็กลับมา sit up ปั่นจักรยาน เผาผลาญแคลอรีวันละ 700 ทุกวัน เฮ้ย...ไม่เหนื่อยหรือเนี่ย!!!!
บทความโดย : สูตรธุรกิจ พ.ญ. นลินี ไพบูลย์

อัพเดทล่าสุด