50 Companies ใครบริหารจัดการ "ยอดเยี่ยม"


850 ผู้ชม


50 Companies ใครบริหารจัดการ "ยอดเยี่ยม"




โดย บิสิเนสไทย [11-6-2008]
50 Companies ใครบริหารจัดการ "ยอดเยี่ยม"
Business Thai เปิดตัว Good Company 4  สุดยอดบริษัทจดทะเบียนไทยใน SET50 ที่มีค่า ROE  และ ROA สูงสุด ซึ่งสะท้อนถึง "ฝีมือ" และ "วิสัยทัศน์" ของ CEO หลังจาก "ความมั่งคั่ง" ของ "กลุ่มทุนธุรกิจ" ผูกติดกับ "ราคาหุ้น" ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีมาร์เก็ตแคปเป็นคำตอบ

เมื่อเป้าหมายของการลงทุนในตลาดหุ้นผูกติดกับ "ความมั่งคั่ง" ของเงินในกระเป๋า
 
วิธีคิดที่ "เฉียบแหลม" และ  "เฉียบคม" ผสมกับการเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิเก็บเข้าพอร์ต จึงเป็นคุณสมบัติอันดับต้น ๆ ที่นักลงทุน (ทุกคน) ต้องมี !!! เพราะนี่คือ กุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่คำว่า "เส้นชัย" ที่พร้อมจะสะท้อนออกมาเป็น "ความร่ำรวย" 
 
ปัจจุบัน "เซียนหุ้น" ระดับประเทศ ต่างมี "เป้าหมาย" และ "วิธีคิด" ในการช้อปซื้อหุ้นที่ไม่เหมือนกัน "สูตรใครก็สูตรใคร"
 
ดั่งเช่น เซียนหุ้นระดับพระกาฬอย่าง "หมอยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม" เขายึด "ทฤษฏีจิตวิทยามวลชน" หรือที่เรียกว่า "หุ้นกระแสนิยม" มากกว่าจะอิงการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคของบริษัท เนื่องจาก "หมอ" มีความเชื่อว่า หุ้นกระแสนิยมจะมี "ข่าว" หรือ "เหตุการณ์" คอยหนุนให้ "ราคาหุ้นสูงขึ้น" 
 
"การเลือกหุ้นก็เหมือนกับการดูแทรนด์แฟชั่น ถ้าคนกำลังบ้าหลุยส์วิตอง ผมก็จะซื้อหลุยส์วิตอง ถ้าประเมิณว่าหุ้นตัวนี้กำลังไปได้ ดูข้อมูลทุกอย่างแล้วเข้าคอนเซ็ปต์ แต่ถ้าคนเลิกเห่อเมื่อไร ผมก็จะเลิกเล่น"
 
ส่วน "ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) บอกว่า การเลือกหุ้นที่จะสร้างกำไรจะต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้น
 
ถามว่าสังเกตุได้จากอะไร ? ดร.ก้องเกียรติ ตอบว่า ให้ดูจากยอดขาย จะต้องมีอัตราการเติบโตที่สูงและมีโอกาสเพิ่มขึ้นของ "ส่วนแบ่งตลาด" หรือ "มาร์เก็ตแชร์"
 
ที่สำคัญ "หุ้นดี" จะต้องมาจากตัวธุรกิจที่มี "จุดแข็ง" ในตัวเอง ถ้าไม่ใช่ ธุรกิจดี , ผู้บริหารเด่น หรือ บริษัทดัง ก็ต้องเป็นหุ้นประเภท "เล็กพริกขี้หนู" คือ เก่งเฉพาะด้าน โดดเด่นเฉพาะอย่าง  
  
"หุ้นที่ดีจะต้องมีจุดแข็งเหนือกว่าคู่แข่ง และเมื่อมั่นใจก็ซื้อ" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
 
ขณะที่ แวลูอินเวสเตอร์ อย่าง "อ.วิกรม เกษมวุฒิ" ผู้เขียนหนังสือ "นักลงทุนผู้ชาญฉลาด" ที่สร้างความมั่งคั่งจากการเฟ้นหาหุ้นทำเงินระดับหัวกะทิ  บอกว่า ชัยชนะของการลงทุนคือการเลือกซื้อหุ้นที่ดี จำนวนน้อยตัว และเมื่อมั่นใจกับหุ้นดังกล่าว ก็จะซื้อเป็นจำนวนมาก ๆ แล้วถือยาวเท่านั้นพอ ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับ "วอร์เร็น บัฟเฟทท์" ผู้ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นนิยมใช้
 
"ส่วนตัวจะเลือกซื้อหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน สินค้าขายได้ดี มีกำไร ที่สำคัญผลตอบแทนต่อส่วนของผู้หุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 12%" อ.วิกรม กล่าว
 
สาเหตุใหญ่ที่เซียนหุ้นผู้นี้ เลือกเก็บหุ้นที่มีค่า ROE สูง ๆ ก็เพราะว่ามี "ความปลอดภัย" และ "มั่งคงสูง"
 
ที่สำคัญ ROE (Return on Equity Ratio) หรือ "อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น" เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ โดยสูตรที่ใช้กันทั่วไปก็คือ  ROE = Net Profit/Equity หรือ กำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น
 
นั่นเท่ากับว่า บริษัทใดที่มี ROE สูง ๆ จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าบริษัทที่มี ROE ต่ำกว่า
 
ยกตัวอย่าง บริษัท ก. มีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น 8,000 ล้านบาท ดังนั้น ROE ของบริษัท ก. คำนวณจากกำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งเท่ากับ 1,200/8,000 = 15%  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้นไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับ 15% จากการดำเนินงานของบริษัทตามปกติ
 
ไม่เพียงแต่ค่า ROE เท่านั้นที่ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ ROA (RETURN ON TOTAL ASSET)  หรือ อัตราการทำกำไร ต่อสินทรัพย์ทั้งหมดหากมีค่ามาก เท่ากับว่า ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะทั้ง ROA และ ROE เป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อวัด "ฝีมือ" และ "ความสามารถ" ของ  CEO ในการสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น  
 
ทั้งนี้ Business Thai ได้จัดอันดับหุ้นใน SET50 ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ความแกร่ง" และ "เฟื่องฟู" ทางเศรษฐกิจของประเทศ และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) มากที่สุด 50 อันดับ เพื่อตรวจสอบความสามารถของผู้บริหารในการบริหารเงินลงทุนของบริษัท หลังจากได้โชว์สุขภาพ (ผลประกอบการ) ไตรมาส 1/2551 ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาก่อนหน้านี้
 
จากการจัดอันดับพบว่าบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) ซึ่งปัจจุบันมี "นายศุภชัย เจียรวนนท์" บุตรชายคนที่ 4 ของ "เจ้าสัวธนินท์  เจียรวนนท์" ประมุขใหญ่ของ "ซีพี" นั่งคุมเกมในตำแหน่ง CEO มีค่า ROE มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งด้วยตัวเลข 43.7% หลังจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทรู มีค่า ROE ติดลบ 105.77%
 
ขณะที่ค่า ROA ของทรูอยู่ที่ 10.31% ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับความสำเร็จของบริษัทที่สามารถโชว์กำไรสุทธิไตรมาส 1/2551 ออกมาอยู่ที่ 3,353.26 ล้านบาท ดีขึ้นในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 20 จากผลการดำเนินงานสุทธิในงวดเดียวกันของปีก่อน
 
ว่ากันว่า ยุทธศาสตร์คอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์ คือ ยุทธศาสตร์ที่เป็น "ธงนำ" ให้กับทรูในการช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้บริการและเพิ่มศักยภาพในการรักษาฐานลูกค้าให้กับบริษัท 
 
"นายนพปฎล เดชอุดม" หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานดังกล่าว มีสาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงประมาณการอายุการใช้งานของสินทรัพย์ และ การมีผลบังคับใช้ของมาตรฐานการบัญชีไทย  ซึ่งส่งผลให้ไม่ต้องมีการตัดจำหน่าย ค่าความนิยมจากการรวมธุรกิจ
 
ขณะที่ "นายศุภชัย" กุนซือใหญ่ของ ทรู บอกว่า "โปรโมชั่นที่ผสมผสานผลิตภัณฑ์และบริการภายในกลุ่มทรูได้รับความนิยมมากขึ้นทุกไตรมาส" 
 
นี่คือความเหนือชั้นของ "ทรู" บริษัทจดทะเบียนใน SET50 ที่ครองมูลค่าหลักทรัพย์ (มาร์เก็ตแคป) กว่า 15,215.38 ล้านบาท
 
CEO ผู้นี้ย้ำว่า ปัจจุบันผู้ใช้บริการของกลุ่มทรูตั้งแต่ 2 บริการขึ้นไปมีจำนวนทั้งสิ้น 1.5 ล้านครัวเรือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จาก 9 เดือนที่ผ่านมาจากการสำรวจครั้งล่าสุด โดยมีผู้ใช้บริการของกลุ่มทรู 2 บริการ 3 บริการ และ 4 บริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 35, ร้อยละ17 และร้อยละ 56 ตามลำดับ
 
"เราคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการของกลุ่มทรูจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในปีนี้ทรูให้ความสำคัญกับการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ การเสริมสร้างคุณภาพโครงข่าย และการให้บริการที่เป็นเลิศ" นายศุภชัย กล่าว
 
ด้วยยุทธศาสตร์ "เชิงรุก" ที่ผสมผสานระหว่างคอนเวอร์เจนซ์ไลฟ์สไตล์ วิสัยทัศน์ ประสบการณ์จริงด้านการทำงานของ "นายศุภชัย" ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยเรียนและการทำงานในเครือซีพี. เพราะผู้เป็นพ่อต้องการให้ลูกทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นลูกน้องคนอื่น เพื่อจะได้พอเจอกับประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง ปัจจัยแวดล้อมดังกล่าวทำให้ทุกอย่างก้าวของ "นายศุภชัย" และ "ทรู" ถูกจับตามากขึ้นทุกขณะ เพราะทุกอย่างถูกเดิมพันด้วยคำว่า "ผลกำไร" และ "ความอยู่รอด" ของบริษัท โดยมีราคาหุ้นเป็นเดิมพัน 

BH บริษัทสุดยอดนิยมของเอเชีย
 
ส่วนโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ จำกัด (มหาชน) (BH) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ "นายสมัคร สุนทรเวช" นายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวหลังจากมีอาการท้องเสียตั้งแต่ปฏิบัติภาระกิจที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีค่า ROE ไตรมาส 1/2551 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ด้วยตัวเลข 39.97% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 34.89%โดยมี ROA อยู่อันดับ 3 ของ SET50 คือ 29.03%
 
ปัจจุบัน "โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์" มี "นายชัย โสภณพนิช"  นั่งเป็นหัวเรือใหญ่ (ประธานกรรมการ) ขณะที่ "นางลินดา ลีสหะปัญญา" คุมเกมในตำแหน่ง "กรรมการผู้จัดการ"
 
โดยไตรมาส1/2551 โรงพยาบาลแห่งนี้โชว์ฝีมือในการสร้างความเหนือชั้นให้กับองค์กรผ่านผลกำไรที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ในรอบนี้เก็บเกี่ยวไปได้มากถึง 314.43 ล้านบาท ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับแผนขยายอาณาจักรโรงพยาบาลสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับนานาชาติ ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับบน 
  
ว่ากันว่า คีย์ ซักเซส นอกเหนือจากความสามารถการบริการแบบไทยๆ แต่คงมาตรฐานสากล ทั้งจากเครื่องมือแพทย์ ทีมแพทย์ ห้องพักรักษาพยาบาล และบริการเสริมอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ คือ ต้นตำรับ และยากที่ใครจะลอกเลียนแบบ ที่สำคัญกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ ที่มีแผนประสานเครือข่ายในต่างประเทศ  ป้อนลูกค้าเข้ามารักษาตัวในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง คือจุดแข็งขององค์กรแห่งนี้ และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ได้มีการเทรนนิ่ง บุคลากร โดยเฉพาะการเอาใจใส่ลูกค้า (Service Mind) จนทำให้ลูกค้าเทใจภักดีต่อแบรนด์บำรุงราษฎร์เหนือคู่แข่งแบบทิ้งห่าง
 
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม The Wall Street Journal Asia หนังสือพิมพ์ธุรกิจชั้นนำฉบับเอเชีย ฉบับวันศุกร์ที่ 23 – วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 ยกให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เป็นบริษัทสุดยอดนิยมของเอเชียประจำปี 2550 (Asia’s 200 Most Admired Companies ) ในอันดับที่ 4
         
นายแพทย์การุณ เมฆานนท์ชัย ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวถึงแผนงานของบำรุงราษฎร์ในปีนี้ว่า จะเน้นในเรื่องการการลงทุนใหม่ๆ โดยใช้เงินลงทุนธุรกิจในประเทศประมาณ  800-1,000 ล้านบาท  ส่วนใหญ่จะใช้ปรับปรุงห้องพักผู้ป่วยใน  บางส่วนจะใช้สำหรับจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
 
สำหรับแหล่งเงินทุนดังกล่าว "นายแพทย์การุณ" บอกว่า จะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท โดยขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ หรือช่องทางอื่นๆ   ส่วนอาคาร บีเอช ทาวเวอร์ ที่ซื้อคืนมาจากธนาคารกรุงเทพนั้น เตรียมไว้รองรับการขยายตัวของฐานผู้ป่วยในอนาคต 
 
เขาย้ำว่า ด้านการลงทุนในต่างประเทศ จะดำเนินการผ่านบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่ถือหุ้น 31.5% โดยขณะนี้ยังเป็นไปตามแผนลงทุนที่บริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยประกาศไว้ ทั้งธุรกิจโรงพยาบาลที่ฟิลิปปินส์ และการลงทุนในธุรกิจศูนย์ล้างไตทั่วภูมิภาคเอเชีย        
 
นอกจากนี้ยังมุ่งการบริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  อุปกรณ์การแพทย์ที่มีความทันสมัย  และมีประสิทธิผลต่อการรักษา  ซึ่งคนไข้ของโรงพยาบาลจะเป็นต่างชาติเกินครึ่ง หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60 %  โดยลูกค้ารายใหญ่เป็นตะวันออกกลาง  ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวจากปีก่อนราว 10% จากในปี 2550 มีรายได้รวม 9.41 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.6 พันล้านบาท
 
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวจากคนไข้ต่างชาติเพิ่มมากขึ้น 10% เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.1 ล้านราย  ประกอบกับทางโรงพยาบาลพึ่งเปิดอาคารผู้ป่วยนอกหลังใหม่ ซึ่งจะช่วยขยายฐานผู้ป่วยให้มากขึ้น โดยอาคารดังกล่าวจะมีทั้งหมด 22 ชั้น ซึ่งเป็นลานจอดรถ 10 ชั้น ขณะที่พื้นที่ที่จะเปิดให้บริการผู้ป่วยนอกในระยะแรกมีทั้งหมด 7 ชั้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถสูงสุดในการรองรับผู้ป่วยนอก เพิ่มเป็น 4,500 คน/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,500 คน/วัน        
 
สำหรับค่าเฉลี่ยของจำนวนผู้ป่วยนอกในปีนี้ นายแพทย์การุณค าดว่าจะอยู่ที่ราว 3,000-3,100 คน/วัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2,800 คน/วัน ส่วนค่าเฉลี่ยของปริมาณผู้ป่วยในในปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 340-350 เตียง/วัน จากประมาณ 320 เตียง/วัน ในปีที่ผ่านมาซึ่งจะเป็นผลจากการปรับปรุงห้องผู้ป่วย รวมทั้งการขยายตัวของฐานผู้ป่วยนอก จะเพิ่มโอกาสให้โรงพยาบาลมีผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นด้วย          
 
ในมุมมองของ นักวิเคราะห์ มองว่า "เราคาดว่าบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้ จากแผนงานที่บริษัทวางไว้อย่างดี โดยแนวโน้มการเติบโตของ BH ในปี 2551 หลักๆ น่าจะยังคงมาจากการการปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาล และการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น เราจึงเลือกให้ BH เป็นหุ้นอีกตัวในกลุ่ม Growth Stock ที่นักลงทุนน่าจะหาจังหวะทยอยเก็บไว้ในพอร์ต" 
 
เดินเรือ ROE สูงเช่นกัน
 
ไม่เพียงแต่ "ทรู" และ "โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์" เท่านั้นที่มีค่า ROE สูงสุดใน SET50 แต่ บิสิเนสไทย ยังค้นพบว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) บริษัทจดทะเบียนที่มีอายุเก่าแก่กว่า 104 ปี คือบริษัทที่มีค่า ROE สูงในอันดับต่อมา
 
ปัจจุบัน TTA เป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าแห้งเทกองโดยให้บริการขนส่งสินค้าแบบประจำเส้นทางและให้เช่าเหมาลำ รวมทั้งเป็นหนึ่งในบริษัทรายใหญ่ที่ให้บริการงานนอกชายฝั่งเกี่ยวกับงานบริการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและงานวิศวกรรมโยธาใต้น้ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา  TTA ได้มีการประกาศปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
   
ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้ว่า TTA ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากตัวเลขสินทรัพย์ ที่เพิ่มจาก 15,766.99 ล้านบาท ในปี 2547 ขึ้นมาที่ 28,143.96  ในปี 2550 ขณะที่ไตรมาส 1/2551 TTA  แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า มีค่า ROE อยู่ที่ 39.37% ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2551 บริษัทระบุว่ามีค่า ROE อยู่ที่ 41.82% ซึ่งเติบโตไปพร้อมผลการดำเนินงานที่โดดเด่นเช่นกัน
 
กล่าวคือ ไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2551 (ตุลาคม-ธันวาคม 2550) TTA ประกาศกำไรสุทธิ 2,581.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1,128.98 ล้านบาท สาเหตุมาจากอัตราค่าระวางเรือถัวเฉลี่ย ทะยานขึ้น 102% จาก 12,789 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อวันต่อลำ ในไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2550 เพิ่มเป็น 25,902 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อวันต่อลำ ในไตรมาสที่ 1 ของปีบัญชี 2551
 
ขณะที่ไตรมาสที่ 2 ของรอบปีบัญชี 2551 "ม.ล. จันทรจุฑา จันทรทัต" กรรมการผู้จัดการ TTA บอกว่า นับเป็นอีกไตรมาสหนึ่งที่มีผลกำไรสุทธิดีเยี่ยมสำหรับบริษัทฯ ซึ่งเป็นผลมาจากความแข็งแกร่งของทั้งตลาดธุรกิจเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกอง และธุรกิจงานบริการนอกชายฝั่ง
 
โดยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2551 TTA ประกาศผลประกอบการด้วยกำไรสุทธิ 2,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% ปีต่อปี แต่ลดลง 19% ไตรมาสต่อไตรมาส และบริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 151 ล้านบาท
 
สำหรับแนวโน้มของบริษัทจากนี้ไป "ม.ล. จันทรจุฑา" เผยว่า การที่รัฐบาลจีนมีคำสั่งให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งหยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อลดมลพิษในช่วงการแข่งชันโอลิมปิคที่กำลังจะมาถึงในเดือน ส.ค.นี้ ประกอบกับช่วงไตรมาส 4/51 (ก.ค.-ก.ย.51) เป็นช่วงโลว์ซีซั่นจึงอาจส่งผลต่อธุรกิจเดินเรือที่อาจจะมีปริมาณขนส่งสินค้าลดลงในช่วงนั้น ดังนั้นคาดว่าช่วงครึ่งหลังปี 2551 ธุรกิจแนวโน้มเดินเรืออาจมีรายได้ต่ำกว่าครึ่งปีแรก
           
แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็พยามยามหาธุรกิจใหม่ และโดยเฉพาะการขยายธุรกิจของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์(MML) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ร้อยละ 55 ดำเนินธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง และให้บริการเรือขุดเจาะน้ำมันที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูง
           
โดยในปี 2552-5253 คาดว่าธุรกิจเดินเรือจะเข้าสู่ธุรกิจขาลง เนื่องจากเรือใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นในกองเรือโลกมากถึง 670 ลำหรือ คิดเป็นกำลังการขนส่งเพิ่มอีก 56ล้านเดทเวทตัน ขณะที่ความต้องการใช้เรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองเติบโตน้อยกว่าอัตราเพิ่มขึ้นของกองเรือ ซึ่งจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าระวางเรือปรับตัวลดลง และมองว่าการเติบโตของกองเรือทั้งโลกจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องถึงปี2555 โดยขณะนี้บริษัทมีเรือที่สั่งต่อใหม่รวม 9 ลำ ซึ่งจะส่งมอบ 3 ลำแรกในปี 2553 ที่เหลือทยอยส่งมอบในปี2554-2555 ปีละ 3 ลำ
 
ทั้งนี้ แม้ว่ามุมมองของ "ม.ล.จันทรจุฑา" ทายาทคนแรกของหม่อมราชวงศ์ จันทรแรมศิริโชค จะมองว่า ธุรกิจเดินเรือจะเข้าสู่ธุรกิจขาลง แต่การที่เขานำระบบไอทีเข้ามาช่วยในการปรับปรุงการทำงาน และแผนที่จะทำต่อเนื่องในปีนี้คือปรับปรุงระบบการทำงาน (re- engineering) เพื่อสร้างประสิทธิภาพรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้บริษัทแห่งนี้เติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ที่ขับเคลื่อนด้วย "เทคโนโลยี" และ "เงินทุน"
 
เขายกตัวอย่างว่า หากบริษัทขยายเพิ่มอีก 20-30% โดยไม่ต้องเพิ่มกำลังคน โดยมุ่งเน้นปรับปรุงใน 4 จุด โดยยกตัวอย่าง การลดขั้นตอนการสั่งซื้อของเช่น อะไหล่ น้ำมัน ไปจนถึงขั้นจ่ายเงินให้กับซัพพลายเออร์ กระบวนการทั้งหมดเป็นอย่างไรและมีกี่ขั้นตอน สมมติมี 10 ขั้นตอน ก็จะต้องลดเหลือ 4-5 ขั้นตอน โดยนำระบบไอทีใหม่ที่ปรับปรุง มาเสริมเพื่อช่วยลดขั้นตอน เป็นต้น
         
เมื่อถามถึงหลักคิดในการบริหารองค์กร ม.ล.จันทรจุฑา ตอบว่า "การทำธุรกิจอะไรก็ตาม เมื่อคิดเปรียบเทียบถึงต้นทุน ค่าใช้จ่าย ทุกอย่างแล้ว ยังมีกำไรก็จะทำ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ผมมาทำงานที่นี่จะเน้นเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น"

 ROA สูงเพราะสินทรัพย์ต่ำ
 
อันดับ 4 ของบริษัทที่มีค่า ROE สูงสุดในไตรมาส 1/2551 ใน SET50 คือ บริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด(มหาชน) (BEC) ซึ่งปัจจุบันมี "ตระกูลมาลีนนท์" คุมเกมในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีค่า ROE อยู่ที่ 37.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 28.81% ขณะที่ค่า ROA อยู่ในอันดับ 1 ของ SET50 ซึ่งมีค่าเหนือกว่าปตท.เสียอีก
 
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?!?
  
นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงิน บริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด(มหาชน) (BEC) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ได้ไขข้อข้องใจกับ "บิสิเนสไทย" ว่า ธุรกิจของเรา เป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ยกตัวอย่างสินทรัพย์เหล่านี้ได้แก่ เช่นใบอนุญาติประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์  รายการโทรทัศน์ ,คลื่นความถี่
 
สินทรัพย์เหล่านี้ ถือว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำ มีต้นทุนต่ำ ไม่เหมือนบริษัทขุดเจาะน้ำมันต้องไปลงทุนเครื่องมือในการขุดเจาะต่างๆ  ตรงนี้ถ้าลงบัญชีสินทรัพย์ถือว่ามีราคาสูงแน่นอน ไม่เหมือนของช่อง 3 ไม่ว่าจะเป็นค่าแอร์ไทม์ หรือ รายการต่างๆ ถือว่ามีต้นทุนต่ำ หรือเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในอนาคต   อย่างไรก็ตาม นายฉัตรชัยก็ยอมรับว่า ไม่ค่อยพอใจนักกับค่า ROE ที่อยู่ในอันดับ 4 เขาบอกว่า  ในความเป็นจริงแล้ว ค่า ROE ของบีอีซี น่าจะดีกว่านี้ แต่เนื่องจากมีปัญหาทางด้านโครงสร้าง  นอกจากนี้ ยังมีปัญหามีเงินสดมากเกินความจำเป็น ทำให้ "รีเทิร์น"ของเงินสดต่ำเกินไป ถ้าเป็นไปได้ อยากจะซื้อหุ้นคืนเพียงแต่ว่า กลต.ไม่อนุญาติ
 
ด้านกระแสเงินสดที่ทางบริษัทมีอยู่จำนวนมากนั้น นายฉัตรชัย กล่าวว่า บริษัทยังคงมีความสนใจเข้าลงทุนในธุรกิจเคเบิลและทีวีดาวเทียม ต้องรอจังหวะเหมาะสมก่อน เพราะแม้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ไปแล้ว แต่ตนมองว่ายังมีความไม่ชัดเจนอยู่หลายประการ
           
"เราก็พยายามหาวิธีเข้าไปลงทุนเพื่อขยายกิจการอยู่ตลอด แต่โอกาสที่จะทำธุรกิจอื่นถือว่ายังเป็นเรื่องยากเพราะเรายังไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนที่เราบริหารงานสื่อ ส่วนเรื่องเคเบิลทีวีหรือทีวีดาวเทียมก็ยังมีความสนใจอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสม เพราะผมมองว่ายังคงมีหลายๆ อย่างที่ไม่เรียบร้อย" นายฉัตรชัย กล่าว
 
ในไตรมาส1/2551กลุ่มบีอีซีและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 670 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.33 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 541.14 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.27 บาท
 
ทั้งนี้สาเหตุของผลการดำเนินงาน BEC ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเติบโตไปพร้อมกับมาร์เก็ตแคปที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้ของ BEC มาจากการเติบโตของรายได้จากโทรทัศน์ โดยส่วนแบ่งตลาดเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น 29% จาก 25% ในไตรมาส 1/2550  และ 25% ในไตรมาส 4/2550 และมีส่วนแบ่งคนดู (จากผู้ชมอายุ 4 ปีขึ้นไป ในช่วงเวลา 06.00 - 24.00 น.) ที่ 31.4% เพิ่มขึ้นจาก 29.7% ในไตรมาส 1/2550 และ 30.5% ในไตรมาส 4/2550 รายได้เติบโตจากหลายช่วงเวลา โดยช่วงที่มีการเติบโตมากที่สุดได้แก่ ช่วง Early Prime time (+38% YoY) เนื่องจากการปรับผังรายการโดยเพิ่มรายการประเภท Quiz Show "ถ้าคุณแน่อย่าแพ้ ป.4" ช่วง "ครอบครัวข่าว" (+22% YoY) เติบโตทั้งช่วงเช้า-กลางวัน-เย็น เนื่องจากการปรับอัตราค่าโฆษณา(ช่วงเช้า-เย็น) และเพิ่มจำนวนผู้รายงานข่าว ทำให้อัตราใช้เวลาโฆษณาเพิ่มขึ้น ช่วง Asia Series (+10% YoY) และช่วง Prime timeDrama ซึ่งเป็นช่วงที่ทำรายได้หลักประมาณ 50% ของรายได้รวม ในงวดนี้รายได้เติบโต 19% YoY  โดยสามารถขายนาทีโฆษณาได้เฉลี่ย 753นาที/เดือน เพิ่มขึ้น 13% YoY และคิดเป็นอัตราใช้เวลาโฆษณาสูงถึง 105% ของนาทีโฆษณาเต็มที่ (เฉลี่ย 720 นาทีต่อเดือน) 
 
ซึ่งหมายถึงละครบางวันออกอากาศเกิน 2 ชั่วโมง การเติบโตยังคงสูงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ไว้ทุกข์ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี และแม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาขึ้นประมาณ 7% จาก 420,000 บาท/นาที เป็น 450,000 บาท/นาที แสดงถึงความนิยมในละครที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ในไตรมาส 1/2551 ส่วนแบ่งคนดูในช่วงละครอยู่ที่ระดับ 35% ห่างจากคู่แข่งที่ออกอากาศรายการละครในช่วงเวลาเดียวกัน (ช่อง 7) ไม่มากนัก
 
"เราคาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2551 ของ BEC จะยังคงเติบโตต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไตรมาสนี้จะเข้าสู่ High Season ของอุตสาหกรรมโฆษณา โดยการใช้จ่ายโฆษณาในเดือน เม.ย. 51 จากข้อมูลของ Nielsen Media Research มีมูลค่า 4,511ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% YoY เติบโตเป็นบวกครั้งแรกของปี 51 การแปลงสภาพ TITV เป็นโทรทัศน์สาธารณะ TPBS โดยไม่มีโฆษณา ทำให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ ล้วนได้รับอานิสงส์" นักวิเคราะห์ จากบล.กรุงศรีอยุธยา กล่าว
 
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อในช่วงไตรมาส 1/2551 จะฟื้นตัวขึ้นในลักษณะที่แปรผันไปตามธุรกิจ แต่สำหรับสื่อทีวีที่เน้นการออกอากาศ คาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างจำกัด
 
เนื่องจากมีการยกเลิกโปรแกรมในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพราะมีรายการพิเศษเกี่ยวกับการจัดงานพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
           
ส่วนในช่วงไตรมาส 2/2551 อุตสาหกรรมสื่อยังมีแนวโน้มเติบโตสดใส จากผลการดำเนินงานที่ยังแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นฤดูกาลที่ดีและไม่มีการยกเลิกโปรแกรมต่าง ๆ  และโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลังจากการย้ายโฆษณามาจากช่อง TITV
 
ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะ TPBS และการปรับอัตราค่าโฆษณา รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น  โดยหุ้นเด่นในหมวดนี้คือ   BEC ราคาพื้นฐาน 31 บาท และ MAJOR ราคาพื้นฐาน 23 บาท
           
"ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับขึ้นค่าโฆษณามาแล้ว 2 รอบ ซึ่งน่าจะสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นได้ถึงศักยภาพในการบริหารงานและความสามารถในการเป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ จึงทำให้บริษัทปรับค่าโฆษณาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง" ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายการเงิน  บีอีซีเวิลด์  ย้ำ

มั่นใจไตรมาส 2 โฆษณาโต 2 หน่วย
          
นายฉัตรชัย ยังได้กล่าวถึง แนวโน้มในไตรมาส 2/2551 ว่าจะเติบโตได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมโฆษณา รวมถึงที่ผ่านมาตัวเลขผลประกอบการในช่วงดังกล่าวสามารถเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังกังวลปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง เพราะหากเหตุการณ์ทางการเมืองกลับมารุนแรงอีกครั้ง อาจส่งผลกระทบเชิงลบ และทำให้แนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 2/2551 ชะลอตัวลงได้
          
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า ปี 2551 แนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณาจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน ประมาณ 5-6%  โดยเชื่อว่าบริษัทจะเติบโตได้ดีกว่ากลุ่มอุตสาหกรรม และมีรายได้ค่าโฆษณาเติบโตเป็นตัวเลขถึง 2 หลัก
 
เขาระบุว่า ในไตรมาส 1-2  จะมีแนวโน้มสามารถเติบโตดีกว่าปีก่อนเนื่องจากบริษัทจะได้ผลประโยชน์จากการปรับราคา เพิ่มขึ้นช่วงละครหลังข่าวในอัตรา 7%เป็น 450,000 บาท/นาที ขณะที่ไตรมาส 2/51 จะยังโตกว่าช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนเช่นกันที่มีกำไรสุทธิ 588 ล้านบาท เพราะเตรียมปรับราคาค่าโฆษณาเพิ่มอีกครั้งถึงระดับ 10-20% ช่วงละครตอนเย็นและรายการนอกไพร์มไทม์ ซึ่งเริ่มวันที่ 1 พ.ค.เป็นต้นไป รวมทั้งยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของ ธุรกิจที่จะมีอัตราการใช้โฆษณาสูง และมีรายได้รวมโตขึ้นไม่ต่ำกว่า10% จากปี 2550 ที่อยู่ระดับ 7,786 ล้านบาท
           
"รายได้จากการขายเวลาโฆษณาของกลุ่ม บีอีซี เวิลด์ ในไตรมาส1/2551ทำได้ดีกว่าอุตสาหกรรมสูงกว่าไตรมาสก่อน แม้โดยปกติมักจะต่ำลงในต้นปี และเติบโตดีกว่าไตรมาสเดียวกันปีก่อน18% จากการเพิ่มอัตราการใช้เวลาโฆษณาได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน  อีกทั้งปรับราคาขึ้นได้ในบางช่วงเวลา  ส่วนรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและแสดงโชว์ก็ดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะนอกจากการแสดงของ"ดิสนี่ย์ออนไอ๊ซ"ในเดือนมีนาคมเช่นเดียวกับปีก่อน ยังมีการแสดงคอนเสิร์ตของ "มารูน 5" และ"แฮรี่ คอนนิค" ในปีนี้"
          
ทั้งนี้ในเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกตั้งแต่ต้นปีที่เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเม็ดเงินโฆษณาทั้งอุตสาหกรรมรวมเพิ่มขึ้น 4%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเม็ดเงินโฆษณาเฉพาะจากทีวีเพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน  หลังจากที่ในแต่ละเดือนของสามเดือนแรกยังคงรายงานตัวเลขอัตราการเติบโตที่ติดลบ จากช่วงเดียวกันปีก่อน
          
ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเดือนเมษายนเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจโฆษณาทางทีวี พิจารณาได้จากเม็ดเงินโฆษณาทางทีวีเดือนเมษายนปรับสูงขึ้น 2%จากเดือนก่อน  บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด(มหาชน)เชื่อว่า ผลกระทบทางลบที่เกิดจากการถอดโฆษณาจากช่อง TPBS ลดลงในเดือนเมษายน (ส่วนแบ่งเม็ดเงินโฆษณาที่เหลือจากช่อง TPBS คาดว่าจะไหลเข้าไปยังช่องที่เหลือเกือบทั้งหมด)
 
ในแง่ของลูกค้าที่ลงโฆษณา ยูนิลิเวอร์ยังคงปรับลดเม็ดเงินโฆษณา 14% จากช่วงเดียวกันปีก่อนในเดือนเมษายน แต่ถือว่าลดลงในอัตราที่ลดลงถ้าเทียบกับเดือนมีนาคมที่ลดลง 30%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และถึงแม้ว่ายูนิลีเวอร์จะปรับลดเม็ดเงินโฆษณาลง แต่ถ้าคำนวณรวมเม็ดเงินโฆษณาทั้งหมดสำหรับ 10 ลูกค้ารายใหญ่สุด จะพบว่ายังคงเพิ่มขึ้น 9%จากช่วงเดียวกันปีก่อน
 
นี่จึงเป็น 4 บริษัทจดทะเบียนใน SET50 ที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องผลการดำเนินงานและวิสัยทัศน์ของ "ผู้นำ" ธุรกิจ

ที่มาของบทความ : businessthai.co.th

อัพเดทล่าสุด