ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Recruitment Agency และ Executive Search Firm
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง Recruitment Agency และ Executive Search Firm คือ วิธีการในการหาคน Recruitment Agency จะหาผู้สมัครจากการโฆษณารับสมัครพนักงานในสื่อต่างๆ หรือไม่ก็จากงานตลาดนัดแรงงาน ในขณะที่ Executive Search Firm จะพยายามหาผู้สมัครจากบริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันหรือแม้แต่จากบริษัทที่เป็นคู่แข่งกับลูกค้าของตน โดยอาศัยการสำรวจค้นหาและเข้าไปติดต่อเสนองานแบบเป็นการส่วนตัว แต่ก็อาจใช้โฆษณารับสมัครพนักงานบ้างในกรณีที่ลูกค้าต้องการหรือในกรณีเร่งด่วน
พนักงานที่ Executive Search Firm สรรหาให้บริษัทลูกค้าจะเป็นตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง หรือไม่ก็ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคต่างๆ ที่มักจะมีงานทำอยู่แล้ว และไม่สนใจอ่านโฆษณารับสมัครพนักงาน หรือถึงจะบังเอิญเห็นโฆษณารับสมัคร พวกเขาก็อาจยังคงมีความสุขกับงานที่ทำจึงไม่สนใจที่จะเสียเวลาไปกับการสมัครงาน (เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครมาเสนองานให้ถึงที่) ส่วนระดับเงินเดือนของบุคลากรที่สรรหานั้นโดยทั่วไปจะอยู่ในระดับ 50,000 บาท ขึ้นไป
แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรโดยใช้ Executive Search Firm จะสูงมากเมื่อเทียบกับการสรรหาบุคลากรด้วยวิธีอื่นๆ แต่บริษัทหรือองค์การใหญ่ๆ ก็นิยมใช้บริการนี้ เนื่องจากมันประหยัดเวลา และมันทำให้คู่แข่งของคุณก็จะไม่รู้ว่าบริษัทของคุณกำลังขาดบุคลากรคนสำคัญ ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำโครงการอะไรที่จะมีผลกระทบต่อพวกเขาบ้าง เพราะชื่อบริษัทของคุณจะถูกปิดเป็นความลับจนกว่าจะมีการเสนองานให้แก่บุคลากรที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามใช่ว่า Executive Search Firm จะสามารถหาคนให้คุณได้อย่างมีประสิทธิผลเสมอไป ดังนั้นคุณจึงต้องประเมิน Executive Search Firm ต่างๆ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการของใคร โดย
1. ดูให้แน่ใจว่าบริษัทนั้นสามารถที่จะดำเนินการค้นหาบุคลากรได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากเงื่อนไขในการให้บริการของ Executive Search Firm ข้อหนึ่ง คือ ผู้ให้บริการสรรหาบุคลากรจะไม่เสนองานหรือรับสมัครผู้สมัครที่ปัจจุบันเป็นพนักงานของบริษัทลูกค้า ภายในระยะเวลา 2 ปี ( ...) หลังจากการใช้บริการครั้งล่าสุดของลูกค้ารายนั้น ด้วยเหตุนี้เอง Executive Search Firm จึงต้องค้นหาผู้สมัครจากตลาดแรงงานเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดเล็กลงๆ เรื่อยๆ ตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง Executive Search Firm รายใหญ่ๆ ที่มีลูกค้าหลายบริษัท ก็อาจจะหาผู้สมัครได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องจากบุคลากรที่ดีๆ เก่งๆ อาจทำงานอยู่กับบริษัทลูกค้าและเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับ Executive Search Firm รายนั้นไปแล้ว
2. ลองติดต่อพูดคุยกับคนที่จะรับผิดชอบในการค้นหาบุคลากรให้คุณ เพราะเขามีผลต่อความสำเร็จในการค้นหาบุคลากรอย่างยิ่ง เพราะถ้าเขาไม่มีความสามารถ โอกาสที่คุณจะได้ผู้สมัครที่ดีเหมาะสมกับตำแหน่งที่สุดก็จะริบหรี่มาก จำไว้ว่าที่ปรึกษาจากบริษัทผู้ให้บริการสรรหาบุคลากรที่มาเจรจากับที่ดูเก่งๆ คุณนั้น อาจไม่ใช่คนที่จะทำหน้าที่ค้นหาผู้สมัครให้คุณ
3. สอบถามเกี่ยวกับค่าบริการ โดยทั่วไปแล้วอัตราค่าบริการของ Executive Search Firm จะอยู่ในช่วง 25 30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งปี (annual income) ทีผู้สมัครคนนั้นจะได้จากการเข้าไปทำงานในตำแหน่งนั้น โดยลูกค้าจะต้องชำระเงินประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของค่าบริการ เมื่อมีการทำสัญญาว่าจ้าง ทั้งนี้ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว ใส่รายละเอียดเพิ่ม
นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายตามจริงอื่นๆ เช่น ค่าโฆษณารับสมัครพนักงานในกรณีที่ลูกค้าต้องการให้ลงโฆษณา
4. เลือก Executive Search Firm ที่คุณไว้วางใจได้ เพราะพวกเขาคือคนที่จะได้รู้ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของบริษัทคุณ ดังนั้นคุณจึงต้องหาคนที่คุณสามารถไว้วางใจพอที่จะบอกความลับบางอย่างของบริษัทได้
5. ตรวจสอบกับลูกค้าของ Executive Search Firm ให้ขอชื่อลูกค้าที่ Executive Search Firm แห่งนั้นเพิ่งทำการสรรหาบุคลากรให้ จาก นั้นก็สอบถามไปทางลูกค้าเหล่านั้น ว่าผู้สมัครที่บริษัทผู้ให้บริการสรรหาบุคลากรสรรหามาให้มีคุณสมบัติ ความ สามารถตรงกับที่ต้องการหรือไม่ ใช้เวลาในการค้นหานานไหม ฯลฯ
นอกจากแนวทางในการพิจารณาเลือก Executive Search Firm นี้แล้ว คุณก็ควรนำเอาวิธีป้องกันปัญหาในการใช้ Recruitment Agency มาใช้ด้วย เพื่อให้การสรรหาบุคลากรนั้นมีประสิทธิผลที่สุด
จากหนังสือ "การสรรหาคัดเลือกบุคลากรแบบมืออาชีพ"