สกัดดาวรุ่ง
คอลัมน์ สอนลูกอย่างไร ให้ทำงานเป็น
โดย สุจินท์ จันทร์นวล
"วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกแย่มาก ๆ เลยพ่อ"
เจ้าลูกชายเอ่ยขึ้นด้วยเสียง ที่หมดอาลัยตายอยาก ด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง ยับเยินทางอารมณ์จนออกมา ให้เห็นบนใบหน้า
"เรื่องเป็นไงล่ะลูก ?" ผมถามกลับด้วยเสียงที่ราบเรียบ
"ผู้ช่วยหัวหน้าผมนะซี เขาทำกับผมแบบไม่ไว้หน้า ไม่คิดถึงความรู้สึกผมเลย พูดจากับผมก็แย่มากจนผมรู้สึกตัวเองเนี่ยห่วยแตกชนิดสุด ๆ" เจ้าลูกชายระเบิดความรู้สึกชนิดเหลืออดออกมาก่อนที่จะเข้าเรื่อง
"เอาเหอะ นั่นคือความรู้สึกหลังมีเรื่อง ทีนี้เอาก่อนมีเรื่อง ความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่ต้น ที่คิดว่ามันมีปมหรือสาเหตุนะ" รีบดึงลูกให้เข้าประเด็นเตือนใจให้นึกถึงเรื่องที่เคยสอนไว้เกี่ยวกับหลักการแก้ปัญหา ว่าปัญหาทุกอย่างมันต้องมีสาเหตุที่มาที่ไป ต้องตีโจทย์ให้แตก จะทำได้ก็ต่อเมื่อต้องสงบจิตสงบใจให้นิ่ง สลัดอารมณ์ให้หมดเสียก่อนมันจึงจะคิดออก
"คือล่าสุดผมไปออกทริปกับเขา เยี่ยมดีลเลอร์ก่อนกลับ เขาสั่งให้ผมเขียนรายงานการออกทริปครั้งนี้ด้วย ซึ่งตามจริงผมก็ต้องเขียนรีพอร์ตนี้ส่งหัวหน้าใหญ่ตามปกติอยู่แล้ว ไม่ว่าจะถูกสั่งให้ออกไปไหน ต่างจังหวัด กลับถึงออฟฟิศผมก็รีบเขียน จนเสร็จ แล้วส่งให้เขาดูก่อนที่จะส่งให้หัวหน้าใหญ่
เขาดูแล้วก็โวยวายใส่ผมว่า เขียนอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเขียนใหม่ ผมก็ถามว่าจะให้เขียนอย่างไร เพราะผมก็เขียนเหมือนปกติทุกครั้ง เนื่องจากมันมีฟอร์แมตรายงานเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มันดีขึ้น จากรายงานของผมที่ส่งให้หัวหน้าใหญ่ และหัวหน้าใหญ่ก็ชอบว่ามันสมบูรณ์ดีกว่าเดิม ให้แก้ไขของเดิมเอาตามแบบใหม่ที่ผมเขียน แผนกอื่น ๆ ก็เอาไปใช้ด้วย ผมจำได้ว่าเคยเล่าให้พ่อฟังแล้วใช่ไหม ?
เขาก็บอกต้องยังงั้นยังงี้ มันก็แบบว่าเอาของเก่าที่ไม่จำเป็นแล้วผสมกับของใหม่ รวมทั้งสไตล์ของเขาใส่ลงไปด้วย โอเค ผมก็เอากลับมาเขียนใหม่ให้เขา พอดีกับหัวหน้าใหญ่สั่งให้ผมพาดีลเลอร์ซึ่งเข้ามาหาที่ออฟฟิศ ไปกินข้าวเย็น ผมก็เลยบอก ผู้ช่วยว่า ผมพาดีลเลอร์ไปกินข้าวก่อนแล้วจะกลับเข้ามาออฟฟิศเพื่อเขียนรายงานให้เสร็จในวันนี้ให้ได้ เขาก็โอเค แต่พึมพำว่าจะเขียนเองก็ได้
พอผมพาดีลเลอร์ไปกินข้าว เพิ่งลงมือ กินไปได้แค่คำเดียว เขาก็โทร.หาผม และสั่งให้กลับเข้าออฟฟิศทันทีโดยไม่สนว่าผมกำลังกินข้าวอยู่กับดีลเลอร์"
"แล้วลูกทิ้งดีลเลอร์คนนั้นเลยหรือ บอกกับเขาว่ายังไง ?"
"ผมก็ต้องขอโทษขอโพยดีลเลอร์ บอกเขาว่านายเรียกตัวด่วนคงมีเรื่องสำคัญ และรีบจ่ายเงินก่อน พอกลับเข้ามาในออฟฟิศอีกที สิ่งที่เขาต้องการก็คือให้ผมดูรายงานที่เขาเขียน และพูดจาแย่ ๆ กับผม ทำนองว่ามันต้องเขียนอย่างนี้ ๆ แล้วก็สะบัดก้นกลับบ้านไป ตอนนั้นสัก 2 ทุ่มเห็นจะได้
ผมดูแล้วยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ แนวหลักในรายงานมันก็เหมือนกับที่ผมเขียน เอาบางเรื่องที่ผมคุยกับเขาใส่ลงไปด้วยเพิ่มเติม ตัดทอนบางอย่างออก แค่นั้นแหละ แค่นั้นเองที่เขาโทร.เรียกผมด่วนเข้าออฟฟิศ เสียมารยาททิ้งดีลเลอร์คาโต๊ะกินข้าวไว้เพื่อมาให้ดูสิ่งที่เขาเขียน เพื่อให้ผมเข้ามาถูกเอ็ดตะโรใส่หน้า ดูในสิ่งที่ไม่เห็นจะเข้าท่าที่เขาทำ แค่นั้นเองเหมือนกับอยากระบายใส่หน้าผมต่อหน้าคนอื่นให้สะใจอะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำอย่างนั้นกับผมทำไม ?"
"ตามปกติแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหัวหน้าใหญ่เป็นอย่างไร สถานะการทำงานของเขาทั้งสองเป็นอย่างไร ?"
"คนละเรื่องเลยพ่อ หัวหน้าใหญ่หรือนายโดยตรงผมนั้นเป็นคนเก่งที่ไต่เต้าขึ้นมาด้วยผลงานจนเป็นที่ยอมรับ แต่คนเป็นผู้ช่วยนี้ถูกย้ายมาหลายแผนกแล้ว ในระดับ ผู้ช่วยนี่แหละ ทำงานมานานแล้ว อายุงาน ก็มากกว่าหัวหน้าโดยตรงของผมอีก"
คิดในใจว่าก็คงเป็นประเภทขึ้นได้สูงสุดเพียงระดับนี้เท่านั้น ดูจากอายุงานและประวัติการทำงาน เป็นหัวหน้าหรือผู้นำตัวจริงไม่ได้ น่าจะมาจากเรื่องอารมณ์และทัศนคติส่วนตัว แต่จะสรุปลงไปอย่างนั้น ไม่ได้เพราะมันแค่เป็นการคาดคะเนหรือ ความรู้สึกเท่านั้น จึงถามลูกต่อไปว่า
"แล้วเขากับลูกล่ะเป็นอย่างไร คิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร ?"
"เขาก็ไม่ได้สนใจผมเท่าไร เพราะนายใกล้ชิดและใช้งานผมโดยตรงเสียส่วนใหญ่ แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเขานะ จำที่พ่อเคยสอนได้ ผมก็แสดงความเคารพนับถือเขา และวางตัวเป็นลูกน้องที่ดีกับเขามาเสมอ ขนาดจ่ายค่าโรงแรมที่ไปพักด้วยกัน เขายังให้ผมรูดบัตรเครดิตของผมไปก่อนเลย แล้วค่อยมาเคลียร์ทีหลัง แต่เขาก็เป็นคนเงียบ ๆ นะ ไม่ค่อยจะยอมใกล้ชิดกับลูกน้องสักเท่าไร ไม่เหมือนนายซึ่งยังสอนยังชี้แนะอะไรให้ผมมากมาย คนนี้เขาเฉย ๆ ถ้าถามว่าลูกน้องยอมรับในตัวเขาไหม ก็แบบว่างั้น ๆ แหละพ่อ ไม่เหมือนนายที่พวกเรายอมรับแบบไม่มีข้อกังขาเลย
"เขาเคยแสดงอะไรออกมาในทำนองไม่ชอบหน้า หรือหมั่นไส้ลูกบ้างไหม ?"
"ที่เห็น ๆ ก็ไม่มีนะพ่อ แต่ก็ไม่รู้สิ ผมอาจไม่เคยสังเกตหรือรู้สึกก็ได้ ก็เห็นเขาเฉย ๆ นี่"
"ทีนี้ลองคิดดูดี ๆ นะ ทำใจให้นิ่ง ๆ และเป็นกลาง ลองมองย้อนกลับไปเอาตั้งแต่ต้น ลูกคิดว่าผลงาน
ของตัวเองเป็นอย่างไร ตั้งแต่เริ่มทำงานมีผลงานอะไรบ้างที่คิดว่าเข้าตานายและคนอื่น ๆ ตัวเองมีคนชื่นชมกับคนที่เกลียด อย่างไหนมากกว่ากัน สถานะของการได้รับผลตอบแทนเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ดีกว่าเหนือกว่าหรือปกติธรรมดา ๆ เหมือน พนักงานเข้าใหม่แค่ปีเดียวทั่วไป นายลูกเขาแสดงออกกับลูกผิดกับลูกน้องคนอื่นไหม ตัวเองต่างกับคนอื่นอย่างไรบ้าง ?
"เอาแบบไม่เข้าข้างตัวเองนะ ผมว่าผมมีผลงานเด่นกว่าคนอื่นที่เข้ามาพร้อม ๆ กัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นเพราะผมเก่งกว่าพวกเขา แต่มันเป็นเพราะนายเขาให้โอกาสผมมากกว่า ได้ทำงานมากกว่า และได้แสดงออกมากกว่า ภาษาอังกฤษผมอาจจะดีกว่าคนอื่น เวลาที่ต้องมีการพรีเซนต์นายใหญ่ต่างชาติ ผมมักได้รับมอบหมายให้ทำและนำเสนอตลอด ได้รับคำชมเชยซึ่งมันก็อาจทำให้ผมได้ปรับเงินเดือนและโบนัสค่อนข้างดี
ผมเป็นคนที่เข้ากับใคร ๆ ได้หมด อารมณ์ดีไม่เคยแสดงความโกรธหรือวีนใคร เวลาถูกดุด่าผมก็ไม่เคยเถียงไม่เคยโต้แย้ง หากจะพูดไปผมเป็นคนที่ถูกนายด่าน้อยที่สุดจนเพื่อน ๆ อิจฉาว่าทำไมผมไม่โดนด่าแบบพวกเขาบ้างวะ
ผมทำอย่างที่พ่อสอน คือเป็นเด็กที่อ่อนน้อมถ่อมตน มองโลกในแง่ดี ช่วยเหลือคนอื่นตลอด ให้สร้างมิตรมาก ๆ ศัตรูคนเดียวก็ไม่ควรสร้าง คบหาสมาคมกับคน อื่น ๆ ให้กว้างขวาง ทำตัวให้เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเลิศ ผมก็ทำอย่างนั้นมาตลอด เพราะผมชอบแบบนั้นอยู่แล้ว ผมรู้จักกับคนต่างแผนกมากมายในบริษัท แม้กับพวกที่ปรึกษาต่างชาติ ผมก็ยังสามารถคุยกับเขาได้อย่างสนิทสนม เคยไปกินไปเที่ยว ด้วยกัน"
"เอาละขนาดนี้ก็พอจะบอกได้ว่า มันเป็นเหตุผลพอที่จะทำให้เกิดความอิจฉา สำหรับคนที่ไม่อยากเห็นใครเด่นเกิน ซึ่งมันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติของคนธรรมดา ๆ ขอเพียงว่าอย่าไปลืมตัว อย่าไปยกตนข่มท่าน ให้ทำตัวปกติติดดินเหมือนที่เคยเป็น อย่าไปโอ้อวดเท่านั้นเอง
เรื่องนี้ก็พอจะมองเลา ๆ ได้ว่ามันคือการสกัดดาวรุ่งนั่นแหละ มีการเตะตัดขากันบ้างจากผู้ช่วยหัวหน้าใหญ่ อาจจะหมั่นไส้หรือกลัวเก้าอี้สั่นคลอนก็เป็นได้"
"แล้วจะให้ผมทำตัวยังไงล่ะ ?"
"อีกคำถามหนึ่ง เรื่องทั้งหมดนี้นายโดยตรงของลูกเขารู้เขาเห็นหรือเปล่า ?"
"เห็นพ่อเขายังเรียกผมไปปลอบใจเลยว่าอย่าไปถือสา ผู้ช่วยเขาเป็นคนอย่างนี้แหละ เข้าใจดีว่าผมรู้สึกอย่างไร บางทีตัวเขาเองก็เจอนายข้างบนเล่นกับเขาแบบนี้เหมือนกัน ให้ผมอดทนไว้"
"ดีเลยลูก ขอให้นายโดยตรงรู้เห็นและเข้าใจเราก็พอแล้ว ทำตามที่เขาแนะนำนะพ่อว่าถูกแล้วไม่ต้องทำอะไร อย่าไปคิดไปแค้นอะไรทั้งสิ้น ทำตัวเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รักษาอารมณ์และการแสดงออกให้เหมือนเดิม
ภาพลักษณ์แบบนี้ของลูกจะทำให้ชนะใจคนอื่น ๆ ได้แน่ รวมทั้งชนะใจลูกเองด้วย ถ้าทำมันได้สำเร็จ วันข้างหน้าไอ้การเจอลูกสกัดดาวรุ่งมันจะมีมาตลอดเส้นทางแหละลูก ได้เจอเสียเนิ่น ๆ นะดีแล้ว เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าออกจะตายไป พ่อนะเจออะไรทำนองนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน จนถึงวันวางมือนั่นแหละ ดาวมันค้างฟ้าซะแล้ว ไม่มีใครมาสกัดได้"
"มันยากนะพ่อที่จะทำไม่รู้สึกกับสิ่งที่เขาทำกับผม แต่ก็จะพยายามครับ"
หน้า 29
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4187 ประชาชาติธุรกิจ