เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off


655 ผู้ชม


เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off




เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off
เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off
เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off
เตรียมรับมือสถานการณ์ Lay off
        รู้ไหมว่าในภาพรวม ถ้าเศรษฐกิจไทยโตเพิ่มขึ้น 1% ตลาดแรงงานจะมีมากขึ้นประมาณ 2-3 แสนคน แต่ถ้าหากเศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยลง 1% ตลาดแรงงานก็จะน้อยลง 2-3 แสนคน เหล่านี้เป็นสิ่งที่ ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย คณบดีและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดประเด็นกับเมโทรไลฟ์
       
        “สภาพเศรษฐกิจโลกเล่นงานการส่งออกของไทยแบบเต็มๆ โดยธุรกิจที่กระทบกระเทือนที่สุดก็คือกลุ่มที่เกี่ยวกับการส่งออกเช่นกลุ่มธุรกิจยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับ, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มส่งออกสินค้าทางการเกษตรที่ไม่ได้มีการแปรรูป รวมทั้งกลุ่มที่ใช้แรงงานในการผลิตมาก เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า กลุ่มนี้จะสะเทือนมากเพราะออเดอร์จะหดหายไป แถมยังไม่สามารถแข่งกับเวียดนามและจีนได้ ทำให้บรรดาธุรกิจทั้งหลายนั้นมีรายได้ลดลง คนจะไม่กล้าใช้จ่าย ธุรกิจก็ไม่กล้าลงทุนเพราะขาดความเชื่อมั่น ไม่รู้ว่าลงทุนไปแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ อาจมีปัญหาถึงขั้นการปลดคนงานในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวออกเพื่อลดต้นทุน”
       
        ที่น่าเป็นห่วงก็คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งหลายที่พลอยชะงักงันไปตามๆ กัน เพราะโดยปกติแล้วการส่งออกลบด้วยการนำเข้าจะทำให้เศรษฐกิจโตประมาณ 3-4%, การบริโภคจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตประมาณ 1-2%, การลงทุนจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตประมาณ 0.5-1 % และการใช้จ่ายของรัฐบาลจะทำให้โตประมาณ 1% ถ้าตัวพวกนี้ไม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็จะทำให้การขยายตัวติดลบด้วยเช่นกัน
       
        ผศ.ดร.ธนวรรธน์ เผยว่าแรงงานที่ถูกปลดส่วนมากจะเป็นแรงงานที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อย เช่น คนงานในโรงงานที่มีอายุการทำงานไม่ถึง 1 ปี สังเกตได้ว่าระยะนี้ไม่มีข่าวที่องค์กรใหญ่หรือแบงก์ปลดคนออกแต่จะไปปลดคนงานระดับล่างลงมา ที่เป็นอย่างนี้เพราะการส่งออกไม่ดี เหมือนเป็นบัญญัติไตรยางศ์ว่าถ้าขายของไม่ได้ ธุรกิจก็จำเป็นจะต้องลดคนงาน แต่ปัญหาจะไม่หนักเท่าปี 40 เศรษฐกิจไทยปีหน้าอย่างมากจะติดลบประมาณ 1-2% แต่เทียบกับปี 40 ติดลบถึง 10% เพราะช่วงนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ธุรกิจขนาดใหญ่มีปัญหาอันเนื่องมาจากแบงก์ปิดกิจการ คนที่ตกงานกลุ่มแรกคือกลุ่มคนชั้นกลางที่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน ก็มักจะถูกปลดออกจากงาน กลุ่มที่สองคือเมื่อแบงก์ปิด จะมีการดึงเงินสินเชื่อออก สภาพคล่องก็ยิ่งหายไปจนต้องล้มกิจการ ธุรกิจหลายส่วนที่ก่อหนี้มากและมีภาระผูกพันกับแบงก์ก็ทยอยปิดตัวลงเป็นแถบๆ
       
        สำหรับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ประเมินว่า ถ้าเศรษฐกิจไทยโต 2% การว่างงานจะอยู่ที่ประมาณ 9 แสนคน แต่ทุก 1% ที่เศรษฐกิจโตน้อยลง การว่างงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 แสนคน ถ้าเศรษฐกิจไทยโตแค่ 0% ก็จะเห็นการว่างงานถึง 1,300,000 คน เลวร้ายขั้นเศรษฐกิจติดลบ เราก็จะเห็นตัวเลขการว่างงานเกิน 1,500,000 คนแน่นอน ทั้งนี้รัฐบาลรู้ดีว่าต้องฟื้นเศรษฐกิจ จึงมีโครงการการลงทุนของรัฐบาลขึ้นมาหลายโครงการ เช่น SML โครงการการจ้างงาน ฯลฯ ฉะนั้นตัวเลขการว่างงานที่เหมาะสมจึงไม่ควรถึงล้านคน
       
       เรียนแบบไหน ไม่ตกงาน
       
        ธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสดใสในปีนี้ ผศ.ดร.ธนวรรธน์ วิเคราะห์ให้เมโทรไลฟ์ฟังว่าเป็นพวก ‘หมอดู’ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อคนขาดความเชื่อมั่น ขาดความมั่นคงในชีวิต ก็จะพึ่งพาหมอดูและจิตแพทย์ ธุรกิจถัดมาก็เป็นธุรกิจเกี่ยวกับประกันภัยและรักษาความปลอดภัย เพราะคนต้องการป้องกันความเสี่ยง เช่น รปภ. ตู้เซฟ กล้องวงจรปิด เพราะปัญหาขโมยจะเยอะขึ้นแน่นอน กลุ่มธุรกิจที่เด่นอีกอันก็คือ กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับการทำบุญ เพราะคนจะเข้าวัดทำบุญมากขึ้น ทำให้ธุรกิจย่อยๆ ที่เกี่ยวกับพุทธพาณิชย์ทั้งหลายอย่างธุรกิจทองคำเปลว สังฆทาน ก็ค่อนข้างจะโดดเด่น ถ้าเป็นในแง่ของธุรกิจทั่วไป จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับอาหารการกินการดำรงชีวิตซึ่งเรียกว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่ตายยังไงก็ต้องกินต้องใช้
       
        เมื่อถามถึงคณะที่นักศึกษาควรเลือกเรียน หลายคนก็อับจนหนทางกับปัญหาของชีวิตในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจบมาจะมีงานทำไหม ซึ่ง ดร.ธนวรรธน์นั้นเทคะแนนให้สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เป็นอันดับแรก
       
        “เทรนด์ของโลกโน้มเอียงมาทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์ทางด้านนาโนเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์อาหาร วิทยาศาสตร์เคมี และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากภาวะ Global Warming จึงคิดว่าคนน่าจะเรียนวิทยาศาสตร์ เพราะวิศวกร แพทย์ หรืออาชีพที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทุกด้านจะเป็นที่ต้องการของโลกมาก”
       
        สาขาวิชาต่อมาที่อย่างไรก็ต้องได้งานคือสาขาวิชาบัญชี จากการที่เศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2552 เริ่มมีการฟื้นตัว นักธุรกิจจะกล้าลงทุนมากขึ้น และกฎหมายก็บังคับให้การทำธุรกิจมีนักบัญชีด้วย คณะบัญชีจึงอยู่ในกระแสที่ควรจะเรียน คณะต่อมาคือนิติศาสตร์ เพราะโลกใบนี้จะฟ้องร้องกันมากขึ้น โดยเฉพาะการฟ้องกันระหว่างธุรกิจ ดังนั้นทนายที่มีองค์ความรู้ทางธุรกิจระหว่างประเทศจะเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
       
        สาขานิเทศฯ ก็ได้เปรียบ แต่ต้องมีความรอบจัดในสาขาต่างๆ รอบรู้รอบด้าน มีความชำนาญเฉพาะ เพราะคนเรียนคณะนี้จำนวนมาก เราต้องรู้รอบด้านมากกว่าคนอื่น ไม่อย่างนั้นอาชีพนี้ก็ไม่สดใส อีกคณะคือเศรษฐศาสตร์ อย่างชาวบ้านทุกวันนี้ก็ต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ องค์กรต่างๆ ก็เริ่มรับรู้ถึงความสำคัญของเศรษฐกิจมากขึ้น คนที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์แล้วสามารถประยุกต์ธุรกิจกับสังคมให้ไปด้วยกันได้ดี ก็ถือเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือจะเรียนอะไรก็ได้ ขอให้เรียนตามความถนัดและให้รอบรู้หลายๆ ด้าน รวมถึงใช้ภาษาที่สามได้ดี เช่น ภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาที่สามที่เห็นจะหนีไม่พ้นภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มพูนคุณค่าและประสบการณ์ให้กับตัวเอง รับรองแบบสุดใจว่าไปรอดแน่นอน!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อัพเดทล่าสุด