ผู้นำและการจูงใจแบบไม่ต้องใช้เงิน


697 ผู้ชม


ผู้นำและการจูงใจแบบไม่ต้องใช้เงิน




น่าจะกำลังเข้าบรรยากาศการสรรหาผู้นำประเทศพอดีนะครับ จึงอยากหยิบหยอกประเด็นเรื่องของผุ้นำมาเล่าให้ฟังดีกว่า ก่อนจะเริ่มต้น ผมได้มีโอกาสอ่านบทความของ อ.ไชยยศ เรื่องการจูงใจโดยไม่ไช้เงินเลยอยากเอามาต่อยอดเรื่องดังกล่าวครับ อ.เล่าว่า หลายครั้งๆเงินก้ไม่ใช่ปัจจัยที่ 1 เสมอหากเราต้องการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน หรือเงินไม่ใช่ทางออกเสมอไป หากเราต้องการได้ใจลูกน้อง หลายๆครั้งที่เราทำงานด้วยเม็ดเงิน สวัสดิการและความมั่นคงอื่นๆและจบลงท้ายด้วยการลาออกเพราะว่าหัวหน้างาน ซึ่งก็มีอยู่หลายสาเหตุ แต่จากประการณ์ที่ผ่านมา พอสรุปสาระสำคัญๆได้ดังต่อไปนี้ครับ

1.ผมพบว่าเพื่อนๆหลายคนที่อยู่ในวงการเดียวกันรวมถึงเพื่อนๆในที่ทำงาน ลาออกเพราะรับไม่ได้กับคำพูดพฤติกรรมของหัวหน้างาน เพื่อสนิทท่านหนึ่งที่ออกจะเป็นอัจริยะหรือเก่งทางด้านเทคนิคมาก ออกปากหลังจากที่ลาออกไปแล้ว ว่า มีหัวหน้าแบบนี้อะ กูไม่เคารพหรอก สรุปแล้วหัวหน้างานท่านนี้ไปฉีกหน้าเพื่อผมต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงว่า คิดได้แต่นี้เหรอ กระจอกหวะ แค่คำพูดไม่กี่คำ แต่กระเทือนความรู้สึกมาก จนกระทั่งเพื่อนผมทนไม่ไหว คิดจะออกตั้งแต่วินาทีนั้นเลยเนื่องจากที่บ้านไม่ได้เดือนร้อนอะไร เป็นลูกชายคนเดียว แถมจบโทด้านวิศวกรรม ไม่ม่ลูกไม่มีเมียให้เป็นภาระ อีกไม่กีวันถัดมา แน่นอนครับ ลาออกจนผู้บริหารระดับสูงไปขอร้องแต่กระนั้นก็ตามคงไม่สามารถทัดทานความตั้งใจของเขาได้  ผมก็ไม่ได้อยากเข้าข้างเพื่อนมากมายนักหรอกเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่เชื่อได้ว่า เกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ เนื่องจาก ได้ข่าวความเป็นตัวของตัวเองสูงจากหัวหน้างานท่านนี้จากปากของคนหลายๆคน

2.คำพูดที่ดูเหมือนกับมีดกรีดใจถึงขนาดรับไม่ได้ก็จะออกมาทำนองว่า ไม่ไหว ไม่ได้เรื่อง ไปกินหญ้าซะ หรือไม่ก็มีนกเอี้ยงมาเกาะหลัง ดูไม่น่าเชื่อว่าคนมีการศึกษาหลายๆคนยังใช้กับลูกน้องตัวเองอยู่ แสดงว่าการศึกษาทางด้านวิชาการล้มเหลวหรือเปล่าที่ผลิตผู้นำออกมา แต่ขาดซึ่งมารยาทและศิลปะการบังคับบัญชา หลายคนอาจเถียงว่าไม่ใช่ ไปโทษระบบการศึกษาได้อย่างไรกัน อย่างนี้มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ครับผมก้ไม่รู้จะเถียงต่ออย่างไร แต่อยากปิดหัวข้อนี้ว่า ถ้างั้นระบบการศึกษาเราก็ทำได้แค่สอนวิชาการ สรรพวิชา ความรู้ แต่ไม่ได้สอนความเป็นคนงั้นหรือเปล่า เพราะบางคนจบโท จบด๊อกเดอร์มา แต่ปากอย่างกับกุ๊ยข้างซอยผมก็เห็นเยอะแยะ

3.เคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ชมเชย ลูกน้องในเรื่องเล็กๆน้อยๆให้กำลังใจ ปลอบโยน ด้วยคำพูดดี ซักกี่ครั้งกัน อ.เล่าต่อว่า ของแบบนี้ได้ใจคนมากอยู่แถมไม่ต้องใช้เงินซักบาทแต่หัวหน้างานเราเป็นประเภทปากหนักไม่ชอบใช้แถมตอกกลับมาอีกว่าเดี๋ยวมันเหลิง

4.การควบคุมอารมณ์ของหัวหน้างานมีมากเพียงพอแล้วหรือยังครับ อันนี้อะสำคัญนะครับเพราะภาพปิศาจร้ายกับเทวดาผู้อารี ท่านว่าคนจะจำภาพไหนได้ดีกว่ากัน พอคิดได้ก็มาสำนึก แต่อย่าลืมนะครับตะปูตอกลงไม้แล้ว ไม่ว่าจะถอนออกมาดีแค่ไหน ก็ยังคงต้องมีร่องรอยในๆทุกครั้ง

5.ลูกน้องท่านงี่เง่า เป็นวัวเป็นควายจริงๆหรือ ถามตัวเองต่อว่า แล้วทำไมไม่หาทางแก้ไขปรับปรุง คุยดีๆ ถ้าไม่ไหวก็บอกไม่ไหวๆจะได้หาทางออกให้อย่างเหมาะสมต่อไป อย่าลืมว่าลูกน้องท่านก็คือความรับผิดชอบของท่านนะครับ ถ้าถ่วงท่านจริงๆอย่างไม่มีอคติ  จะเชิญยังก็ตามแต่อย่าไปไร้มารยาทใส่เขา เขาทำงาน มีการศึกษา มีบุพการี แล้วคุณเป็นใครมาด่าเอาๆ

6.ถ้าทำไม่ได้หรือยังไม่แน่ใจหรือติดขัดเจ้านายของท่านว่ายังไม่เห้นดีเห็นงามในการปรับระดับเลื่อนตำแหน่ง อย่าไปพลั้งปากบอกลูกน้อง ท่านจะเสียแบบกู่ไม่กลับขาดการยอมรับและอาจท้องผูกได้

7.ไปคิดกันเอาเองต่อเถิดครับว่าจะซื้อใจลูกน้องได้อย่างไร ลูกน้องบางคนต้องการทำงานกับคนที่เก่งกว่า มีทักษะดีกว่า หรือรู้มากกว่าในขณะที่หลายๆคนก็อาจชอบที่นิ่งๆเงียบๆ สงวนท่าที ท่านต้องพิจารณาเอาเอง ส่วนตัวผมผมเลือกที่จะทำงานกับคนที่เก่งกว่า เจ๋งกว่า เจ้านายที่ผมประทับใจและเขียนไว้ในหลายๆเอ็นทรี่ที่ผ่านมาเป็นชาวมาเลย์เซียเชื่อสายจีนที่จนบัดนนี้เรายังคบกันในฐานะเพื่อน ผมประทับใจแบบไม่รู้ลืมแต่ตอนนั้น ดันคิดเรื่องค่าตอบแทนมาก่อนหัวหน้าที่ดี ไม่รู้คิดถูกหรือผิดกันแน่เนี่ย เจ้านายคนนี้ทำให้ผมชอบรับได้อย่างดุษฎีราบคาบว่า เขาจะก้าวก่อนผมเสมอ 1 ก้าว รู้มากกว่าผม 1 ก้าวและใจเย็นกว่าผม 1 ก้าวเสมอ จนผมยอมรับและเคารพตัวเขามาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ

บทความดีๆ :  Posted by philharmonics

อัพเดทล่าสุด