ทัศนคติบอด


640 ผู้ชม


ทัศนคติบอด




    

ชนะโทรไปบริษัทนี้เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้ บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลังติดตามเรื่องอยู่  เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วย้เสียงที่เป็นมิตรและอ่อนโยนกล่าวว่า  “สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์  ยินดีต้อนรับคะ”  คุณชนะกล่าวว่า  “ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิตผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ”  โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า  “นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ”  ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้  เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ  “ใช่แล้วครับ  ขอบคุณที่จำได้ครับ”  เธอกล่าวว่า  “ยินดีคะ  ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ”

 

หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ  ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า  “คุณสมจิต  ผมขอชมพนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ  เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้  เป็นการให้บริการที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ  ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ  และก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย  เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ”

 

สมจิตพูดว่า  “เธอชื่อเรณูคะ  เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ  หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะยิ่งประทับใจ  สนใจฟังไหมละคะ”  ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า  “สนใจสิครับ  ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ”

 

สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี  “คุณเรณูเธอตาบอดคะ  เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว  ทำให้เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี  เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศนี่ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง  ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือนคนปกติ  ส่วนใหญ่ก็จะมีคนตาดีอย่างพวกเราที่มีนํ้าใจคอยช่วยดูสายรถเมล์และส่งเธอขึ้นรถให้  เธอไม่เคยมาสายเลย  และก็ไม่เคยเรียกร้องขอรถรับส่งแต่อย่างใด  ไม่เหมือนพนักงานปกติของพวกเราหลายคน  ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง  ต้องขอรถรับส่งให้ด้วย  แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัวก็ยังมาทำงานสายพร้อมกับเหตุผลสารพัด  คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ”

เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ก่อนจะเล่าต่อว่า  “คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ  เธอ เคยเล่าให้ดิฉันฟังว่าสำหรับเธอแล้วการรับโทรศัพท์ไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิต  เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ  ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างดี  นอกจากนี้เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก  ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน  คุณเรณูกล่าวว่าบริษัทเรา  เพื่อนร่วมงาน  ลูกค้า  และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่าเธอมีคุณค่าและสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้  เธอบอกว่าเธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ  ซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย  เธอบอกว่าทุกคืนก่อนเข้านอน  เธออยากรีบนอนไวๆเพื่อจะได้รีบตื่นขึ้นมาทำงาน  เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว  แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ  แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนาให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร”  สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี

 

เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร  ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า  “เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรมกับเราฟังบ้างนะ  บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่นว่างานหนักหรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก  สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเราไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ  ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด  เราทัศนคติบอดไงละ  เราได้รับสิทธประโยชน์ต่างๆมากมายจากนายจ้างจนเคยชินกระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น  ยิ่งนานวันเรายิ่งเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้  ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง  บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ  มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ  Dr. Denis Waitley ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ    ‘The psychology of winning’  เขายกรายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่าผู้เกษียณอายุออกจากงานไปโดยไม่มีภาระกิจอะไรทำมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น  พวกเขาตายเพราะความรู้สึกด้อยคุณค่า  หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเฉาตายนั่นเองครับ  เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก  ในขณะที่คนจำนวนมากไม่มีโอกาสอย่างนั้น  อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดยหันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้  โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้”

 

ที่มา : เมล์จากสมาชิก

อัพเดทล่าสุด