บรรยากาศในการทำงานเป็นเคล็ดลับสำคัญยิ่ง
ผมทำการศึกษาวิจัยเล็กๆเรื่องหนึ่งว่าด้วยเรื่องคนไทยกับคนต่างชาติมองกันอย่างไร ติดต่อกันมาสองปี ในการสำรวจของผมจุดอ่อนที่ชาวต่างประเทศหลายๆคนพูดถึงก็คือเรื่อง การริเริ่มสิ่งใหม่ (Initiative) ของคนไทย พวกเขามองว่า คนไทยมีแนวโน้มที่จะไม่เสนอความคิดหรือข้อเสนอแนะต่างๆออกมา
แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงการมองด้านเดียว บรรยากาศในที่ทำงานอาจเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้คนไม่ได้คิดริเริ่มก็ได้ จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเคยรู้สึกทึ่งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่แสดงออกมาโดยที่ผมเองก็ไม่เคยคาดหวังจากเขา
ผมเคยดูแลฝ่ายขายให้กับธนาคารลูกครึ่งแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ที่สำนักงานขายของผม ปกติจะมีแม่บ้านของบริษัททำความสะอาดที่ทางธนาคารจ้างมาให้คอยดูแลความเรียบร้อยของสำนักงาน แม่บ้านคนนี้ชื่อว่ากุ้ง เธอเป็นคนต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯเหมือนคนอื่นๆอีกเป็นร้อยเป็นพันคนที่เดินทางมาแสวงโชคในเมืองหลวง กุ้งไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ เธอจึงได้รับเพียงค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น แต่กุ้งเป็นคนขยัน ทำงานหนักและทำงานดี
ที่ออฟฟิศ พวกเราเป็นแผนกที่ดูแลเรื่องเงินกู้ประเภทต่างๆ ดังนั้นงานเอกสารและงานธุรการต่างๆจะเยอะมากจริงๆ บางครั้งพวกเราต้องขอร้องให้กุ้งช่วยถ่ายเอกสาร แยกเอกสาร ประทับตรา และคอยเตรียมแฟ้มให้
พวกเรารู้สึกได้ถึงน้ำใจของกุ้งและพวกเราเองก็อยากตอบแทนเธอด้วยน้ำใจเช่นกัน พวก หัวหน้าพนักงานขายคนมักจะซื้อของขวัญให้กุ้งตามเทศกาลต่างๆ นอกจากนั้น เวลาที่ใครต้องการความช่วยเหลือจากกุ้ง พวกเราจะใช้คำพูดที่สุภาพไพเราะ เพราะเราเป็นฝ่ายรบกวนให้เธอช่วย ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในงานของเธอเลย
คำพูดดีๆเปรียบเสมือนมนต์วิเศษ ตัวอย่างเช่น กุ้งจ๊ะ ยุ่งอยู่หรือเปล่า รบกวนกุ้งช่วยถ่ายเอกสารใบสมัครพวกนี้ให้พี่หน่อยนะจ๊ะ พอกุ้งเอางานมาให้ หัวหน้าพนักงานขายก็จะยิ้มให้กุ้งพร้อมกับพูดว่า ขอบคุณมากนะจ๊ะกุ้ง ถ้าไม่มีกุ้งคอยช่วย พี่ต้องแย่แน่ๆเลย วันหนึ่งกุ้งเดินมาหาหัวหน้าพนักงานขายที่ชื่อภัทราวดีและพูดว่า พี่ภัทรคะ หนูขอเสนออะไรบางอย่างเกี่ยวกับงานสักหน่อยจะได้ไหมคะ ภัทรเปิดโอกาสให้กุ้ง พร้อมสนับสนุน กุ้งเลยพูดต่อว่า หนูสังเกตว่า ทุกๆวันเซลล์แต่ละคนจะต้องส่งเอกสารหลายต่อหลายชุดไปที่สาขาทั้ง 40 แห่งทั่วกรุงเทพฯ แล้วเรามีเซลล์อยู่ทั้งหมด 50 คน แต่ละคน ต่างคนต่างส่งกันคนละหลายที รวมๆแล้วทางแบงก์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก หนูคิดว่าถ้าเราทำกล่องขึ้นมา 40 ใบ แต่ละใบสำหรับแต่ละสาขา ใครจะส่งไปที่ไหนก็ให้มาหย่อนเอกสารในกล่องนี้ก่อน แล้วหนูจะช่วยรวบรวมใส่ซอง แล้วค่อยส่งไปทีเดียว ทีนี้เราก็ประหยัดซองได้ตั้งเยอะ ใช้แค่ 40 ซองต่อวันเอง แทนที่จะเป็นร้อยๆซอง
ภัทรเอ่ยชมกุ้งว่า ขอบคุณมากนะจ๊ะสำหรับความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่ดีมากๆเลย เยี่ยมมากจ้ะกุ้ง นี่นอกจากจะช่วยทางแบงก์ประหยัดเงินยังช่วยพวกเราทุกคนประหยัดเวลาได้อีกด้วยนะเนี่ย วันหลังถ้ากุ้งมีความคิดอะไรดีๆอีกละก็ ต้องมาบอกพี่อีกนะจ๊ะ
ระหว่างมื้ออาหารเที่ยงวันหนึ่ง ภัทรนำเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟัง ผมเองมักจะใช้การรับประทานอาหารเที่ยงเป็นโอกาสในการพูดคุยเรื่องราวต่างๆและปัญหาในการทำงาน ผมเคยถามพวกเขาว่าทำไมถึงไม่เข้าไปพบผมในสำนักงานหากเกิดปัญหาเรื่องงานขึ้น พวกเขาบอกว่า ผมดูยุ่งๆ เพราะมีเรื่องที่ต้องดูแลเยอะอยู่แล้ว ก็เลยเกรงใจ ไม่อยากรบกวน เจตนาที่ว่ามันก็ดีอยู่หรอก แต่จริงๆแล้วมันยิ่งทำให้แย่ ถ้าหากเรารู้ช้าและแก้ปัญหาไม่ทันท่วงที หรือปล่อยจนสายเกินไป ผมเลยลองวิธีใหม่ ผมเดินไปเดินมาอยู่ในออฟฟิศและพูดคุยกับพวกเขาให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมบอกพนักงานว่า ประตูห้องผมเปิดต้อนรับพวกคุณตลอด แต่สงสัยลูกน้องผมคงคิดในใจว่า แต่หน้าเจ้านายไม่ค่อยจะรับผมเลย
วันหนึ่งผมเผอิญเจอกุ้งนั่งแยกเอกสารอยู่ ผมรู้ว่ากุ้งเคยเป็นแม่บ้านมาหลายแห่งแล้ว ผมเลยถามกุ้งว่านี่เป็นนิสัยของเธอที่ชอบเสนอความคิดเพื่อปรับปรุงสิ่งต่างๆหรือ กุ้งตอบว่า เปล่าค่ะ ปกติหนูก็เงียบตลอด
ถ้าอย่างนั้น ออฟฟิศนี้ต่างกับที่อื่นยังไงล่ะ ผมถาม กุ้งตอบว่า คนที่นี่มีน้ำใจดี ทุกคนให้เกียรติหนู ทำให้หนูรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ถ้าใครจะใช้อะไรหนู เขาก็จะดูก่อนว่าหนูว่างหรือเปล่า ทุกๆคนเป็นกันเองและเป็นมิตรกับหนู หนูไม่รู้สึกว่าเรามีเจ้านาย แต่เราเป็นพี่เป็นน้องกัน และที่สำคัญ ที่นี่ใครก็สามารถเสนอความคิดได้ หัวหน้าไม่ว่า ก็เลยรู้สึกว่า อยู่ที่นี่เราพูดได้ ไม่เสียหายอะไรค่ะ
ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนไม่ว่าจะทำงานในระดับใด ก็สามารถมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้อย่างกุ้ง คำถามก็คือ เราสร้างสภาพแวดล้อมที่ปิดกั้นความสร้างสรรค์ของมนุษย์หรือเปล่า?
ที่มา : เมล์จากสมาชิก