ใครคือนายที่ดีกันแน่…


622 ผู้ชม


ใครคือนายที่ดีกันแน่…




    

สมจิตเป็นผู้จัดการฝ่ายธุรการรายงานตรงต่อวินัย สมจิตเชี่ยวชาญในงาน  การเตรียมข้อมูลและรายงานด้านการเงิน  เข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบการเบิกถอน  นโยบายต่างๆของบริษัท  การจัดทำแผนงบประมาณ  และกฏระเบียบเกี่ยวกับทางราชการต่างๆ  เธอคือผู้จัดการที่เก่งงานคนหนึ่ง

 

โชคร้ายที่ความฉลาดทางอารมณ์ของเธอไม่เก่ง  เธอตรงไปตรงมามากเกินไป  จริงจังกับงานจนมองข้ามความรู้สึกของคนอื่นๆ  เร่งรัดดุดันไม่ว่านายหรือเพื่อนร่วมงาน  ไม่เกรงใจและรักษาหน้าคนอื่นๆ  ด้วยความก้าวร้าวของเธอวินัยผู้เป็นนายจึงไม่อยากบอกจุดอ่อนต่างๆขงเธอ  เขากลัวว่าเธออาจจะระเบิดใส่เขาหากเขาพูดความจริงกับเธอ  วินัยเลือกที่จะรักษาสัมพันธภาพโดยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า  ดังนั้นสองปีที่เขาทำงานด้วยกันสมจิตได้รับการประเมินผลงานดีเยี่ยมมาตลอดด้วยเกรด A  แม้ว่าในใจลึกๆแล้ววินัยไม่ค่อยชอบเธอเท่าไร

 

แล้ววันหนึ่งก็มีบริษัทจัดหางานให้ผู้บริหารหรือที่เรียกว่า  Head Hunter  มา “ล่า” วินัยไปอยู่ที่อื่น  ก่อนจะลาออก  วินัยสองจิตสองใจว่าจะบอกกับสมจิตเกี่ยวกับปัญหาของเธอดีหรือไม่  ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่า  “ไม่รู้จะสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นอีกคหนึ่งทำไม”  สู้จากกันด้วยมิตรไมตรีดีกว่า                                                 

 

สมจิตได้นายใหม่ชื่อสมเกียรติ  เขาเป็นคนสุภาพแต่ก็ตรงไปตรงมา  ภายหลังร่วมงานกันได้ราวหนึ่งเดือน  สมเกียรติก็ตักเตือนสมจิตเกี่ยวกับปัญหาของเธอด้วยวาจา  เขาระบุด้วยว่าหากเธอไม่ปรับปรุงตัวเธอจะถูกตักเตือนด้วยลายลักษณ์อักษร

 

สมจิตแปลกใจมาก  เพราะสิ่งที่สมเกียรติบอกเธอนั้นเธอไม่เคยได้ยินจากวินัยนายคนก่อน  เธอคิดว่าสมเกียรติกำลังเล่นเกมส์กับเธออยู่  เธอจึงตอบโต้ด้วยอาการก้าวร้าวบ่อยขึ้นและเปิดเผยมากขึ้น  ไม่เว้นแม้กระทั่งในที่สาธารณะ

 

สองสัปดาห์ถัดมา  เจอจึงได้รับการตักเตือนด้วยวาจาในความผิดเดิม  ในที่สุดเมื่อเธอไม่ปรับปรุงตัว  ในเดือนถัดมาเธอจึงถูกให้ออกจากงาน

สมจิตแวะเวียนไปหาวินัยเพื่อระบายและปรับทุกข์ให้เขาฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เธอคิดว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  ขณะที่วินัยฟังเธอ  เขารู้สึกผิดในใจว่าเขามีส่วนผิดที่ไม่บอกความจริงกับเธอ  อย่างไรก็ตามเขาเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อไป                                                          

 

ลองมาดูที่ฝ่ายการตลาดในองค์กรเดียวกันนี้บ้าง  คมกริชเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์คนใหม่  เขารายงานตรงต่อโลเปซผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดชาวฟิลิปปินส์  โลเปซเป็นนายที่หินคนหนึ่ง  เขาตรงไปตรงมา  และคาดหวังผลงานคุณภาพสูงโดยตลอด  ในขณะเดียวกันโลเปซก็สอนงานอย่างไม่อมภูมิ  อย่างไรก็ตามหากคมกริชพลาดโลเปซจะดึงตัวเขามาในห้องพร้อมกับให้ข้อมูลย้อนกลับแบบตรงไปตรงมา  และเสนอแนะแนวทางที่จะทำให้ถูกต้องทันทีแบบไม่อ้อมค้อม 

 

สองเดือนหลังจากทำงานร่วมกัน  คมกริชตัดสินใจที่จะมาลาออกกับโลเปซ

 

โลเปซพูดว่า  “คมกริช  คุณทำอะไรของคุณนะ!  คุณจะลาออกเพราะว่าไม่สามารถทนรับฟัง feedback จากผมนะเหรอ  ไหนคุณเคยบอกกับผมว่าคุณอยากไต่เต้าขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรบริษัทข้ามชาติไง  ไม่ว่าที่ไหนที่คุณไป  คุณก็จะเจอสถานการณ์แบบนี้ทั้งนั้นแหละ  แรงกดดันจากเจ้านาย  ลูกค้า  และองค์กร  หากคุณจะประสบความสำเร็จในบริษัทใหญ่ๆ  คุณต้องทำความคุ้นเคยกับแรงกดดัน  นอกจากนี่หากคุณพยายามเต็มที่จริงๆ  มันก็ไม่หินอย่างที่เป็นหรอกน่า  สองเดือนที่ผ่านมามันเป็นช่วงแรกของการเรียนรู้  ผมพยายามสอนคุณเต็มที่เพื่อให้คุณพร้อมในเวลาอันสั้น  ผมรู้ว่าการรักษาหน้าตานั้นสำคัญ  ผมจึงพยายามพูดคุยกับคุณส่วนตัวไม่ประเจิดประ เจ้อต่อหน้าคนอื่นๆในบริษัท  แต่ผมไม่พูดคำหวานกับคุณเพราะว่าผมไม่ต้องการทำร้ายคุณในระยะยาว  ผมทราบดีว่าความจริงบางครั้งมันก็อาจจะเจ็บปวดและขมขื่นบ้าง  กลับไปทำงานต่อเถอะ  แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ  ผมถือว่าไม่เคยได้ยินเรื่องการลาออกของคุณมาก่อน”

 

คมกริชจำนนด้วยเหตุและผลของโลเปซ  เขาตัดสินใจที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถอีกครั้ง  สามปีให้หลังคมกริชได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นแทนโลเปซ                              

 

วินัยอาจจะได้รับผลดีระยะสั้นจากการไม่บอกความจริงกับสมจิต  แต่เป็นการกระทำแบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่า loose-loose-loose  คือ เสีย-กับเสีย-และเสีย  วินัยต้องมีชีวิตอยู่กับความจริงว่าเขาได้ทำร้ายคนหนึ่งคน  สมจิตไม่รู้จุดอ่อนที่แท้จริงของเธอ  และสุดท้ายองค์กรเกิดความเสียหาย 

 

โดยสรุปก็คือ  การที่เราต้องการให้คนอื่นชื่นชอบเรานั้นเป็นการเห็นแก่ตัวหากว่าผลมันเกิดความเสียหายกับคนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง  ขอให้เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า  เราต้องการให้คนมาชอบเรา  หรือว่าเราต้องการให้คนก้าวหน้าและองค์กรได้รับประโยชน์สูงสุด  เพราะว่าภาวะผู้นำไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยเฉพาะเมื่อถึงคราวที่ต้องบอกข่าวร้ายหรือจุดบกพร่องของผู้ใต้บังคับบัญชา


 

ศิลปะการบริหารงานแบบการสร้างการมีส่วนร่วม

 

ผมได้ทำโครงการโค๊ชงานขายให้ธนาคารแห่งหนึ่ง  เขาต้องการลดอัตราพนักงานฝ่ายสนับสนุนห้าสิบราย   โดยโยกย้ายให้มาทำงานการขายผลิตภัณฑ์เงินฝากแทน  พนักงานถูกแบ่งเป็นสามรุ่น  โดยสองรุ่นแรกรุ่นละสิบห้าคน  และรุ่นสุดท้ายยี่สิบคน  แผนงานคืออบรมในห้องเรียนห้าวันและสอนงานในภาคสนามสิบห้าวัน  พอถึงรุ่นที่สามก็มีการนำคนที่ผ่านรุ่นหนึ่งและรุ่นสองจำนวนสี่คนมาฝึกการเป็นหัวหน้าทีมขายด้วย  เพราะรุ่นที่สามมีจำนวนมาก  ต้องการหัวหน้าทีมงานขายมาเสริม

 

          ในวันแรกของการโค๊ชงานให้กับหัวหน้าทีมขายทั้งสี่คน  ผมมีแผนการสอนเขาว่าบทบาทและหน้าที่ของหัวหน้าพนักงานขายคืออะไร  เนื่องจากเขาทั้งสี่คนขลุกกับผมมาหลายสัปดาห์  จึงคุ้นเคยกันดี  ก่อนเริ่มโค๊ชบังเอิญผมอมยาอมแก้ไออยู่  จึงบอกกับเขาไปแบบเป็นกันเองว่า  “ระหว่างรอลูกอมละลายหมด  ผมอยากให้พวกเราช่วยกันระดมความคิดโดยบอกมาทีละคน  คนละข้อว่า  บทบาทและหน้าที่ของหัวหน้าทีมงานขายมีอะไรบ้าง  เชิญเลยใครจะเริ่มก่อนก็ได้ครับ” 

 

สมเกียรติหนึ่งในสี่หัวหน้าทีมซึ่งมดูจะมีความมั่นใจกว่าคนอื่นๆหน่อย  เริ่มโดยบอกว่า  “ผมคิดว่าข้อแรกคือพาพนักงานขายที่จบการอบรม  ออกตลาดด้วย  โดยเราเป็นผู้มีประสบการณ์  ดังนั้นเราก็ควรจะทำให้เขาดูก่อน  เพื่อให้เขาเห็นตัวอย่างของการขายแบบที่ปรึกษาที่เราเรียนมา”   ผมเขียนคำพูดของคุณสมเกียรติทุกคำตามที่ได้ยิน  พร้อมกับกล่าวชมเชยเขาว่า  “เก่งมากคุณสมเกียรติ  ดีมากครับ  พี่เพ็ญว่าไงครับ”  พี่เพ็ญซึ่งมีอายุมากกว่าพวกเราเล็กน้อยและมีความเป็นผู้ดี  แต่คงความน่ารักแบบพี่ๆของน้องๆกล่าวต่อ  หลังจากนั้น  ต๋อม  และ  ภัทร  ก็กล่าวเสริม  เมื่อครบรอบแรก  พวกเขาก็ช่วยระดมเสริมอีกคนละข้อ  ครบสองรอบแล้ว  ผมจึงได้แนวทางทั้งหมดแปดข้อระบุลงในกระดาน

 

ถึงเวลานั้น  ลูกอมก็หมดพอดี  ผมพูดติดตลกกับพวกเขา  แต่หมายความตามนั้นจริงๆก็คือ  “พวกคุณคิดได้ดีกว่าผมมาก  ผมไม่มีอะไรจะเสริมแล้วละครับ  ผมคิดว่าครอบคลุมทั้งหมดแล้ว  เราจะใช้แนวทางทั้งแปดข้อนี้แหละ  และหากว่าเราคิดว่ามีอะไรจะเพิ่มเติมก็ค่อยมาเสริมเข้าไป” 

 

ในวันนั้นผมตั้งใจว่าจะบอกพวกเขาซักสี่ห้าข้อ  แต่ปรากฏว่าพวกเขาร่วมกันคิดได้ดีกว่าผมอีก  นอกจากนี้ทีมงานก็ยึดถือแนวทางดังกล่าวเพราะเขาเป็นคนคิดกันขึ้นมาเอง  บทพิสูจน์ก็คือหัวหน้าทีมงานทั้งสี่คนเป็นหัวหน้าทีมงานที่มีคุณภาพไม่น้อยหน้าทีมอื่นๆที่ผมเคยมีประสบการณ์มาด้วยเลย  เพราะผลงานหลังจกนั้นมันพิสูจน์ด้วยตัวมันเอง

 

          ลองมาดูอีกกรณีหนึ่ง  ปีที่แล้วผมมีงานที่ปรึกษาด้านการบริหารงานต่างวัฒธรรมโดยทำงานร่วมกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสชื่อมิเชล  มิเชลเองนอกจากงานที่ปรึกษาร่วมกับผมแล้ว  เขายังมีโครงการเปิดโรงเรียนสอนภาษอังกฤษ  ซึ่งในช่วงนั้นเขากำลังเตรียมการอยู่                   

 

วันหนึ่งเราสองคนมีนัดกับลูกค้าที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา  วันนั้น             มิเชลเป็นไข้นิดหน่อยจึงพูดน้อยกว่าปกติ  ระหว่างทางเราคุยกันหลายเรื่อง  หนึ่งในประเด็นที่เราคุยกันก็คือแนวทางการทำการตลาดสำหรับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษของเขาที่กำลังจะเปิด

 

ขากลับ  เมื่อใกล้ถึงบ้านเขา  มิเชลถามผมด้วยความแปลกใจว่า  “เกรียงศักดิ์  วันนนี้ทำไมคุณถึงมีความคิดสร้างสรรค์มากมายเลยทีเดียว  ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นอย่างนี้มาก่อน”  ผมตอบติดตลก  แต่ให้เหตุผลด้วยความสัตย์จริงว่า  “มิเชล  เพราะวันนี้คุณป่วย  ผมถึงมีโอกาสพูดไงละ  ธรรมดาผมก็มีความคิดสร้างสรรค์เท่านี้ทุกครั้งแหละ  เพียงแต่ว่าผมไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดมากเท่าไร  ส่วนใหญ่จะโดนคุณแย่งพูดเสียก่อน  นอกจากนี้คุณมันคนคิดไว  ยังไม่ทันจบเรื่องนี้เลยกระโดดไปเรื่องอื่นแล้ว  แต่ว่าวันนี้คุณป่วยสปีดเราก็เลยสูสีกันนะ”

 

ตัวอย่างสุดท้ายเป็นของชนะซึ่งเป็นหนึ่งในทีมของผม  เขาก็มีประสบการณ์คล้ายๆกัน  เขาผ่านการเป็นหัวหน้าทีมขายในแบงก์ฝรั่งถึงสองแห่ง  ครั้งสุดท้ายเขาเป็นผู้จัดการทีมขายตรงทางโทรศัพท์โดยมีหัวหน้าทีมสิบคนและพนักงานขายทางโทรศัพท์แปดสิบคน 

 

หลังจากเขาเข้าไปรับตำแหน่งใหม่ที่ธนาคารนั้นได้สองเดือน  ชนะทุ่มเท  ลองทุกวิถีทางเพื่อสร้างผลงาน  แต่ปรากฏว่าตัวเลขการขายไม่เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้  ในที่ประชุมประจำสัปดาห์กับหัวหน้าทีมงานทั้งสิบคนของเขา  ชนะลดความเชื่อมั่นของตัวเองลง  เขากล่าวในที่ประชุมว่า  “ผมได้ลองทำมาแล้วทุกวิธี  ดูเหมือนมันจะไม่เวิร์คเท่าที่ควร  ผมคิดว่าผมเชื่อมั่นในตัวเองมากไปหน่อย  ผมต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา  เราลองช่วยกันคิดซิครับว่ามีหนทางใดที่จะทให้เราบรรลุเป้าหมายได้บ้าง”  ชนะกล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่หมายความอย่างนั้นจริงๆ

 

ทีมงานของเขาเปลี่ยนท่าทีทันที  พวกเขาตื่นตัวและแสดงความคิดเห็นกันใหญ่  มีการเสนอแนะแนวทางมากมาย  ถกเถียงกันบ้างบางครั้ง  เมื่อใดก็ตามเริ่มจะตรึงเครียด  จะมีหัวโจกยกมุขให้เพื่อนๆได้ขำกันเพื่อผ่อนคลาย  พวกเขาระดมความคิดได้แนวทางต่างๆที่ชนะมองข้ามไป 

 

ที่มา : สมาชิกเว็บไซต์

อัพเดทล่าสุด