เรื่องเพศศึกษา - เพศศึกษากับวัยรุ่น ที่เป็นปัญหา !!


1,331 ผู้ชม


เพศศึกษา  เรื่องต้องห้ามต้องรู้

เรื่องเพศศึกษา - เพศศึกษากับวัยรุ่น ที่เป็นปัญหา !! 

เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาได้มี การรณรงค์ให้ความรู้ เตือนภัยไปสู่พ่อแม่และบุตรหลาน โดยเฉพาะในวัยรุ่นให้มีความเข้าใจใน “วันแห่งความรัก” ให้ถูกต้องว่า มิใช่วันที่จะเริ่มลองมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัย มีเพศสัมพันธ์โดยมิได้ป้องกันตัว อันนำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่เหมาะสม
 
นักวิชาการทุกฝ่ายในปัจจุบันมีความเห็นตรงกันว่า ถึงวาระแล้วที่จะต้องให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างถูกต้องแก่เด็ก เพื่อเจริญเติบโตเป็นวัยรุ่นที่มีความรู้เรื่องเพศศึกษาอย่างถูกต้องและ ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอันนำไปสู่ชีวิตในการครองตนและครองเรือนที่ดีมีคุณ ค่าในระยะยาว
 
อีกความเห็นหนึ่งจาก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง   สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ และ อาจารย์สมร อริยานุชิตกุล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาพวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ทัศนคติและแนวทางความเข้าใจอันนำไปสู่การสอนและการเรียนรู้ร่วมกันของ ทุกฝ่าย ดังนี้
เพศศึกษา คืออะไร?
 
เพศศึกษา มิใช่การสอนเรื่องเพศสัมพันธ์! แต่เป็นการให้ความรู้ และสอนให้รู้จักบทบาทและคุณค่าของความเป็นชายและหญิงในสังคม  
 
ส่วนครอบครัวศึกษา คือ บทบาทของพ่อแม่ในการสอนเพศศึกษาแก่ลูก
 
ตามคำจำกัดความ (ซึ่งค่อนข้างยาวและยาก) เพศศึกษาคือ กระบวนการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นกรรมวิธีที่จะให้บุคคลได้เรียนรู้ธรรมชาติ ความเป็นจริงของชีวิตและสังคม เพื่อให้บุคคลมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่ถูกต้องในเรื่องเพศ ตลอดจนสามารถปรับตัวตามพัฒนาการชีวิตได้อย่างเหมาะสม


ทำไมต้องสอน
 
1. เรื่องเพศเป็นความจำเป็นที่จะต้องได้ทราบภายในขอบเขต เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของคนทุกคน โดยเฉพาะความเจริญทางจิตใจนั้น จะควบคู่กันไปกับความเจริญทางเพศ  ความรู้สึกในเรื่องเพศย่อมมีอิทธิพลอย่างมากมายต่อสภาพของจิตใจและเป็นที่ ยอมรับว่า ความแตกต่างเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะย่อมจะมาจากสาเหตุอันหนึ่งคือ แรงผลักทางเพศ ดังนั้นการศึกษาเรื่องเพศและเรื่องจิตใจจำเป็นจะต้องดำเนินควบคู่กันตลอดไป 
 
2. ความลี้ลับหรือการปกปิดในเรื่องเพศ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด เช่น เคร่งครัด โดยเข้าใจว่าเรื่องเพศนั้นเป็นของหยาบโลนไม่ควรพูดถึงเลย หรือในทางตรงกันข้ามก็ละเลยจนเกินไป ไม่มีการควบคุมมารยาททางเพศ เป็นต้น ทั้งนี้อาจนำไปสู่ลักษณะผิดปกติทางจิตใจได้ นอกจากนั้น การที่เห็นอวัยวะเพศเป็นสิ่งซึ่งผิดแปลกกว่าอวัยวะอื่นของร่างกาย ก็เป็นข้อบกพร่องอย่างสำคัญยิ่งในเรื่องสุขวิทยาโดยทั่วไป
 
3. เพศศึกษายังนำไปสู่ความสมบูรณ์ในทางศีลธรรมและวัฒนธรรมของประชาชน เมื่อทุกคนรู้จักให้เกียรติและการปฏิบัติระหว่างเพศที่ถูกต้อง รู้จักประพฤติตนให้อยู่ในขอบเขตในความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
 
4. ปัจจุบันความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างรวด เร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสื่อสารสามารถพูดคุยติดต่อและทราบข้อมูลต่าง ๆ ได้ทั่วโลกภายในพริบตา จนทำให้โลกของเราแคบลงทุกวัน ดังนั้น  ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของเรา สามารถแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง จนไม่สามารถจะหาวิธีการใดมาสกัดกั้นเอาไว้ได้ ดังนั้น จึงควรให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้องแก่เยาวชนของเรา ก่อนที่เขาจะรับรู้จากแหล่งอื่นที่มีลักษณะยั่วยุและเร้าอารมณ์ มุ่งไปทางด้านการค้าและกำไร โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อเป็นการเตรียมเยาวชนให้ฉลาด รู้จักการเลือกคิด เลือกตัดสินใจ และเลือกปฏิบัติแต่ในทางที่ถูกที่ควร และเป็นที่ยอมรับของสังคมไทย
ควรสอนตั้งแต่เมื่อใด? 

เริ่มสอน ขัดเกลา อบรมบ่มนิสัยตั้งแต่ยังเล็ก เริ่มรู้ความ ถ้าจะมาเริ่มสอนตอนวัยรุ่นก็สายเสียแล้ว เพราะค่านิยมต่าง ๆ ถูกปลูกฝังไปเรียบร้อยแล้ว
ใครควรเป็นผู้สอน? 
 
แน่นอนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ครูคนแรกของเด็ก คือ พ่อ แม่ ต่อมาคือหมอเด็ก และเมื่อถึงวัยเรียนก็คือครู แท้ที่จริงแล้วเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เด็กวัยรุ่นเรียนรู้จากเพื่อน และสื่อต่าง ๆ เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หากเขาได้รับการปลูกฝังให้รู้จักบทบาทและคุณค่าทางเพศที่เหมาะสมมาตั้งแต่ เด็กร่วมกับการมีความนับถือตนเอง (self-esteem) และทักษะชีวิต สิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้เขาได้เป็นอย่างดีในช่วงวัยรุ่น ให้เขาสามารถแยกแยะได้ว่าความรู้ สื่อและสิ่งยั่วยุจากภายนอก สิ่งใดเหมาะสมและสิ่งใดไม่เหมาะสมได้ในระดับหนึ่ง
สอนอย่างไร?  
 
ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้สอน ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็ให้สอนโดยการเป็นแบบอย่างที่ดี สอนง่าย ๆ โดยสอดแทรกเข้าไปในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน มิใช่เรียกลูกมานั่งฟังบอกว่าวันนี้จะเลกเชอร์เรื่องเพศศึกษา 
  
สำหรับหมอเด็ก บทบาทในเรื่องนี้อาจจะน้อยเกินไป มักจะเน้นไปในเรื่องการเลี้ยงดูสุขอนามัยชายหญิง และการป้องกันพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศ ในช่วง 5 ปีแรก ในคลินิกตรวจสุขภาพเด็ก แต่หลังจากนั้นเรื่องเพศศึกษาดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนหายไป 
 
สำหรับครูมีหลักสูตรการสอนในโรงเรียน แต่ก็มักจะขึ้นกับความถนัดของครูว่าจะเน้นหรือไม่ โดยทั่วไปจะสอนเฉพาะสรีระทางชีววิทยาว่าชายหญิงเป็นอย่างไร ยังขาดการสอดแทรกเรื่องของบทบาทคุณค่า และค่านิยมทางเพศต่อสังคมและวัฒนธรรม
 
แต่ไม่ว่าจะเป็นใครสอนก็ตาม จะต้องให้เหมาะสมกับพัฒนาการและวัยของเด็ก
สอนอะไร?  
 
แนวคิดหลักในการพัฒนาการเรียนรู้เรื่อง “เพศศึกษา” ตามหลักสูตรใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข มี 7 ด้าน คือ
1. พัฒนาการทางเพศ (Human sexual develop ment) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศตามวัย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม
 
2. สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพอนามัยทางเพศได้ตามวัย เช่น การดูแลรักษาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ อนามัยการเจริญพันธุ์ ความเข้าใจต่าง ๆ ในเรื่องเพศ
 
3. พฤติกรรมทางเพศ (Sexual behavior) หมายถึง การแสดงออกถึงพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับเพศ และวัย
 
4. สัมพันธภาพ (Interpersonal relation) หมายถึง การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม การสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนเพศเดียวกัน และต่างเพศ การเลือกคู่ การเตรียมตัวก่อนสมรส และการสร้างครอบครัว
 
5. ทักษะส่วนบุคคล (Personal and communi cation skills) หมายถึง ความสามารถในการจัดการสถาน การณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการปฏิเสธ ทักษะการขอความช่วยเหลือ ทักษะการจัดการกับอารมณ์  ทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ
 
6. สังคมและวัฒนธรรม (Society and culture) หมายถึง ค่านิยมในเรื่องเพศที่เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรมไทย และการปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยน แปลงของสังคม โดยเฉพาะจากสื่อที่ยั่วยุต่าง ๆ 
 
7. บทบาททางเพศ (Gender role) หมายถึง การสร้างเอกลักษณ์ทางเพศที่เหมาะสม ความเสมอภาคทางเพศ และบทบาททางเพศที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคมอย่างสมดุล
การสอนเพศศึกษาในแต่ละช่วงอายุ
 
กุมารแพทย์ควรจะมีบทบาทในการให้เพศศึกษาแก่พ่อแม่ และเด็กตั้งแต่เล็กในคลินิกตรวจสุขภาพ ซึ่งควรจะขยายเป็นทุกอายุจนถึงวัยรุ่น เนื้อหาที่จะสอนหรือให้ความรู้ในแต่ละด้าน ควรให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย  จำแนกออกเป็นช่วงเด็กเล็กหรืออนุบาล (3-5 ปี), ประถมตอนต้น (6-8 ปี), ประถมตอนปลาย (9-11 ปี), มัธยมต้น (12-14 ปี) และมัธยมปลาย รวม ปวช. (15-17 ปี



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

 

อัพเดทล่าสุด