คําราชาศัพท์ที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ คําราชาศัพท์พระมหากษัตริย์ คําราชาศัพท์สําหรับพระมหากษัตริย์


152,416 ผู้ชม


คําราชาศัพท์ที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ คําราชาศัพท์พระมหากษัตริย์ คําราชาศัพท์สําหรับพระมหากษัตริย์

คำราชาศัพท์ สำหรับพระมหากษัตริย์ : ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง


ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติที่มีเอกลักษณ์  มีระเบียบแบบแผนในการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับฐานะและระดับของบุคคล โดยเฉพาะภาษาที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ด้วยเช่นกัน คือการใช้ “คำราชาศัพท์” ที่มีความสำคัญยิ่ง แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางสังคมที่ประชาชนมีต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยความจงรักภักดี การยกย่องเทิดทูน และความผูกพันระหว่างกษัตริย์กับประชาชน
จากบันทึกประวัติศาสตร์ เขียนไว้ว่า คนไทยเราเริ่มใช้คำราชาศัพท์ตั้งแต่ในรัชสมัยพระมหาธรรม ราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งในศิลาจารึกวัดศรีชุม ได้กล่าวถึงการตั้งราชวงศ์และกรุงสุโขทัย โดยมีคำว่า “อภิเษก” ซึ่งเป็นคำราชาศัพท์ที่ไทยเรารับมาใช้สำหรับประกอบพิธีการแต่งตั้งตำแหน่ง ชั้นสูง นอกจากนี้ ในวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วง ปรากฏว่า มีคำราชาศัพท์อยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คำว่า สมเด็จ เสด็จ พระสหาย ราชอาสน์ ราชกุมาร บังคม เสวยราชย์ ราชาภิเษก เป็นต้น
ทุกวันนี้การใช้คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ เรารับรู้จากการนำเสนอผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ และ อินเทอร์เน็ต มีการสื่อสารการใช้คำราชาศัพท์ผิดๆ อยู่เป็นประจำ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าผู้มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ขาดความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องการใช้คำราชาศัพท์ หรือเกิดจากความไม่รับผิดชอบ ปล่อยปละละเลย จึงนำเสนอให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งเป็นผลให้จดจำไปใช้กันผิดๆ ดังตัวอย่างการใช้คำราชาศัพท์ต่อไปนี้
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร”
ข้อความนี้ใช้คำราชาศัพท์ “ทรงประชวร” ผิด เพราะ “ประชวร” เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ “ทรง” นำหน้า เช่นเดียวกับคำว่า โปรด เสวย ตรัส เสด็จ กริ้ว ทูล ถวาย บรรทม ประทับ
คำเหล่านี้เป็นคำราชาศัพท์ทั้งสิ้น จึงไม่ต้องใช้ “ทรง” นำหน้า แต่ถ้าหากจะใช้ “ทรง” นำหน้า ต้องใช้ว่า “ทรงพระประชวร” เพราะใช้ “ทรง” นำหน้าคำนามราชาศัพท์ได้ เช่นเดียวกับคำว่า พระเมตตา พระอุตสาหะ พระพิโรธ พระสรวล พระราชนิพนธ์ พระราชสมภพ ใช้ “ทรง” นำหน้าได้ เพราะคำเหล่านี้เป็นคำนามราชาศัพท์
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนที่มารอรับเสด็จ”
ข้อความนี้ใช้คำราชาศัพท์ “ทรงมีพระราชปฏิสันถาร” ผิด ที่ถูกต้องคือ “มีพระราชปฏิสันถาร” ทั้งนี้เพราะว่าไม่ต้องใช้ “ทรง” นำหน้าคำกริยา “มี” หรือ “เป็น” ที่ต่อท้ายด้วยคำนามราชาศัพท์ เช่นเดียวกับคำว่า มีพระเมตตา มีพระราชดำริ มีพระบรมราชโองการ เป็นพระราชโอรส เป็นพระราชธิดา คำเหล่านี้ ใช้ “ทรง” นำหน้าไม่ได้เช่นกัน แต่ถ้าคำว่า “เป็น” มีคำสามัญธรรมดาต่อท้าย ใช้ “ทรง” นำหน้าได้ เช่น ทรงเป็นผู้นำ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ เป็นต้น
“ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกันถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ข้อความนี้ควรแก้ไขให้ถูกต้องว่า “ประชาชนชาวไทยมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งไม่ควรใช้คำว่า “ถวาย” เพราะว่าความจงรักภักดีเป็นสิ่งที่ถวายให้กันไม่ได้
“โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจร่วมกันถ่ายทอดสดพิธีน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ควรเปลี่ยน “น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ....” เป็น “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย....” เพราะการถวายของแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหลักการใช้ว่า ถ้าเป็นของเล็ก ให้ใช้ว่า “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย....” ถ้าเป็นของใหญ่ ให้ใช้ว่า “น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย....”
หลักเกณฑ์การใช้คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์

การใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้อง ควรคำนึงถึงการใช้คำที่เป็นคำในลักษณะต่างๆ ได้แก่ คำนามราชาศัพท์ คำสรรพนามราชาศัพท์ คำกริยาราชาศัพท์ การใช้คำกราบบังคมทูล และการใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกความหมาย
การใช้คำนามราชาศัพท์ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
๑.คำนามที่เป็นชื่อสิ่งสำคัญที่ควรยกย่อง มีคำที่ใช้เติมข้างหน้า ได้แก่ พระบรมมหาราช พระบรมราช พระบรม พระราช พระอัครและพระมหา เช่น พระบรมมหาราชวัง พระบรมมหาชนก พระบรมราชชนนี พระบรมราชวงศ์ พระบรมอัฐิ พระราชโอรส พระอัครชายา พระมหาปราสาท เป็นต้น
๒. คำนามที่ใช้เป็นชื่อสามัญทั่วไป นำหน้าด้วยคำ “พระ” เช่น พระหัตถ์ พระบาท พระกร พระแท่น พระเคราะห์ เป็นต้น
๓. คำนามที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “ต้น” และ “หลวง” เช่น ประพาสต้น ช้างต้น เรือนต้น วังหลวง รถหลวง เรือหลวง ส่วน “หลวง” ที่แปลว่าใหญ่ ไม่จัดว่าเป็นคำราชาศัพท์ เช่น ทะเลหลวง เขาหลวง ภรรยาหลวง
๔. คำนามที่ใช้คำไทยประสมกับคำต่างประเทศ เช่น ริมพระโอษฐ์ เส้นพระเกศา ฝ่าพระบาท ลายพระหัตถ์ ช่องพระนาสิก ขอบพระเนตร เป็นต้น
การใช้คำสรรพนามราชาศัพท์ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
คำสรรพนามใช้แทนบุรุษที่ ๑
บุคคลทั่วไป ใช้คำว่า ข้าพระพุทธเจ้า
คำสรรพนามใช้แทนบุรุษที่ ๒
บุคคลทั่วไป ใช้คำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
คำสรรพนามใช้แทนบุรุษที่ ๓
บุคคลทั่วไป ใช้ว่า พระองค์, พระองค์ท่าน
การใช้คำกริยาราชาศัพท์ มีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ ดังนี้
๑. ใช้ “ทรง” นำหน้าคำกริยาธรรมดา เช่น ทรงยืน ทรงยินดี ทรงชุบเลี้ยง ทรงฟัง ทรงมีเหตุผล ทรงตัดสิน เป็นต้น
๒. ใช้ “ทรง” นำหน้าคำนามธรรมดา เช่น ทรงศีล ทรงธรรม ทรงดนตรี ทรงบาตร เป็นต้น
๓. ใช้ “เสด็จ” นำหน้าคำกริยาบางคำ เช่น เสด็จขึ้น เสด็จลง เสด็จกลับ เสด็จออก เสด็จไป เป็นต้น
๔. ใช้ “เสด็จ” นำหน้าคำนามราชาศัพท์ เป็นคำกริยาราชาศัพท์ เช่น เสด็จพระราชสมภพ เสด็จพระราชดำเนิน คำเสด็จพระราชดำเนิน หมายถึงเดินทางโดยยานพาหนะ หรือเดินทางตามทางลาดพระบาท ต้องเติมคำที่เป็นใจความไว้ข้างหลัง เช่น เสด็จพระราชดำเนินตรวจพลสวนสนาม
๕. ไม่ใช้ “ทรง” นำหน้าคำกริยาราชาศัพท์ เช่น ตรัส โปรด ถวาย ทูล ประสูติ เป็นต้น
๖. ใช้คำไทยประสมกับคำต่างประเทศใหเป็นคำกริยาราชาศัพท์ เช่น ขอบพระทัย สนพระทัย ทอดพระเนตร แย้มพระโอษฐ์ เอาพระทัยใส่ ลงพระปรมาภิไทย เป็นต้น
การใช้คำกราบบังคมทูล มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
คำขึ้นต้น : ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
คำลงท้าย : ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
เมื่อจะกราบบังคมทูลเรื่องใด ควรใช้ข้อความที่แสดงถึงเรื่องที่จะกราบบังคมทูล โดยเริ่มต้นข้อความ ให้เหมาะสมกับเรื่องที่จะกราบบังคมทูล ดังนี้
๑. เมื่อกล่าวถึงความสะดวกสบายหรือรอดพ้นอันตราย ใช้ข้อความว่า ขอเดชะพระบารมีปกเกล้า ปกกระหม่อม
๒. เมื่อกล่าวถึงข้อความที่หยาบหรือไม่เหมาะสม ใช้ข้อความว่า ไม่บังควรจะกราบบังคมทูลพระกรุณา
๓. เมื่อกล่าวถึงการที่ได้ทำผิดพลาด หรือทำในสิ่งที่ไม่ควรใช้ข้อความว่า พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า พ้นกระหม่อม
๔. เมื่อกล่าวข้อความเป็นการขอบพระคุณ ใช้ข้อความว่า พระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อม
๕. เมื่อกล่าวข้อความเป็นกลาง เพื่อจะได้ทรงเลือกให้ใช้ข้อความลงท้ายคำกราบบังคมทูลว่า การจะควรมิควรประการใด สุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
๖. เมื่อจะกราบบังคมทูลความเห็นของตน ใช้ข้อความว่า เห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
๗. เมื่อจะกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาต ใช้ข้อความว่า ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต
๘. เมื่อจะกราบทูลถึงสิ่งที่ทราบมา ใช้ข้อความว่า ทราบเกล้าทราบกระหม่อมว่า
๙. เมื่อจะกราบบังคมทูลถึงการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งถวาย ใช้ข้อความว่า สนองพระมหากรุณาธิคุณ
๑o. เมื่อจะขอพระราชทานโอกาสทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใช้ข้อความว่า ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส

การใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้องตามความหมาย ซึ่งแบ่งเป็นหมวดต่างๆ เช่น
หมวดร่างกาย พระปราง (แก้ม) พระทาฒิกะ (เครา) พระโลมจักษุ (ขนตา) เส้นพระเจ้า (เส้นผม) พระรากขวัญ (ไหปลาร้า) พระจักษุ (ดวงตา) ฟัน (พระทนต์) พระอังสา (บ่า ไหล่) พระโอษฐ์ (ปาก) พระนลาฎ (หน้าผาก) พระนขา (เล็บ) พระอุทร (ท้อง) พระปัปผาสะ (ปอด) พระองคุลี (นิ้วมือ) เป็นต้น
หมวดเครื่องใช้ พระโอสถ (ยา) ฉลองพระเนตร (แว่นตา) พระแสง (อาวุธ) พระคลุมบรรทม (ผ้าห่มนอน) พระภูษาทรง (ผ้านุ่ง) ผ้าซับพระพักตร์ (ผ้าเช็ดหน้า) พระสุธารส (น้ำ) พระสุธารสชา (น้ำชา) พระกระยาเสวย (ข้าว) พระธำมรงค์ (แหวน) เป็นต้น
หมวดราชตระกูล พระอัยกา (ปู่) พระอัยกี (ย่า) พระปิตุลา (ลุง พี่ชายของพ่อ) พระปิตุจฉา (ป้า พี่สาวของพ่อ) พระมาตุลา (ลุง พี่ชายของแม่) พระมาตุจฉา (ป้า พี่สาวของแม่) พระชามาดา (ลูกเขย) พระสุณิสา (ลูกสะใภ้) พระพี่นาง พระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ เป็นต้น
การใช้คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ มีหลักเกณฑ์อยู่มากพอสมควร ที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งการที่จะใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้อง ต้องศึกษาหลักเกณฑ์การใช้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าหากใช้ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสม ก็อาจจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้
การใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้อง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นคนสุภาพมีสัมมาคารวะ มีความประณีตในการใช้ภาษา อีกทั้งเป็นการฝึกทักษะการใช้ภาษาลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ภาษาใช้ได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของผู้ใช้ ดังนั้นการใช้คำราชาศัพท์จึงเป็นการปลูกฝังให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของภาษาไทย และเป็นการส่งเสริมให้มีความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมอันทรงคุณ ค่าควรแก่การอนุรักษ์สืบไป

การอ้างอิง
คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ, ราชาศัพท์ กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ดาว, ๒๕๔๒.
สาส์นสมเด็จ ฉบับองค์การค้าคุรุสภาพิมพ์จำหน่าย เล่ม ๒๓. (๒๕o๕) พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา.
รายการปกิณกะ สำนักงานเลขาธิการ สถานีวิทยุสราญรมย์ ๑๕ เมกะเฮิรตซ์
www.mfa.go.th/web/149.php.

ความหมายของคำราชาศัพท์

        คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของ ไทย แม้คำราชาศัพท์จะมีโอกาสใช้ในชีวิตน้อย แต่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนของภาษาไทยที่มีคำหลายรูปหลายเสียงใน ความหมายเดียวกัน และเป็น ลักษณะพิเศษของภาษาไทย โดยเฉพาะ ซึ่งใช้กับบุคคลกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้

  1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
  2. พระบรมวงศานุวงศ์
  3. พระภิกษุสงฆ์ สามเณร
  4. ขุนนาง ข้าราชการ
  5. สุภาพชน

        บุคคลในกลุ่มที่ 1 และ 2 จะใช้ราชาศัพท์ชุดเดียวกัน เช่นเดียวกับบุคคลในกลุ่มที่ 4 และ 5 ก็ใช้คำราชาศัพท์ในชุดเดียวกันและเป็นคำราชาศัพท์ที่เราใช้อยู่เป็นประจำใน สังคมมนุษย์เราถือว่าการให้เกียรติแก่บุคคลที่เป็นหัวหน้าชุมชน หรือผู้ที่ชุมชนเคารพนับถือนั้น เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ ทุกชาติ ทุกภาษา ต่างยกย่องให้เกียรติแก่ผู้เ ป็นประมุขของชุมชนด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นแทบทุกชาติ ทุกภาษาจึงต่างก็มี คำสุภาพ สำหรับใช้กับประมุขหรือผู้ที่เขาเคารพนับถือ จะมากน้อยย่อมสุดแต่ขนบประเพณีของชาติ และจิตใจของประชาชนในชาติว่ามีความเคารพในผู้เป็นประมุขเพียงใด เมืองไทยเราก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ และพระประมุขของเรา แต่ละพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความ เคารพสักการะอย่างสูงสุดและมีความจงรกภักดีอย่างแนบแน่นตลอดมานับตั้งแต่ โบราณกาลจนถึงปัจจุบันคำราชาศัพท์เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใด

        ในแหล่งอ้างอิงบางฉบับได้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ว่า คนไทยเริ่มใช้คำราชาศัพท์ในรัชสมัยพระธรรมราชาลิไท พระร่วงองค์ที่ 5 แห่งสุโขทัย เพราะศิลาจารึกต่างในแผ่นดินนั้น รวมทั้งบทพระราชนิพนธ์ของท่าน คือ ไตรภูมิพระร่วง ปรากฏว่ามีคำราชาศัพท์อยู่หลายคำ เช่น ราชอาสน์ พระสหาย สมเด็จ ราชกุมาร เสด็จ บังคม เสวยราชย์ ราชาภิเศก เป็นต้น

        บางท่านกล่าวว่า คำราชาศัพท์นั้นเริ่มใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพราะพระปฐมบรมกษัตริย์ที่ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา ทรงนิยมเขมร ถึงกับเอาลัทธิและภาษาเขมรมาใช้ เช่น เอาคำว่า "สมเด็จ" ซึ่งเขมรใช้เป็นคำนำพระนามพระเจ้าแผ่นดินมาเป็นคำนำพระนามของพระองค์ และใช้ภาษาเขมรเป็นราชาศัพท์

        และจากหลักฐานที่พบข้อความในศิลาจารึกวัดศรีชุม กล่าวถึงเรื่องตั้งราชวงศ์และเมืองสุโขทัยตอนหนึ่งมีความว่า "พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเสกพ่ขุนบางกลางหาวใหเมืองสุโขไท" คำว่า "อภิเษก" นี้เป็นภาษาสันสกฤต ไทยเรารับมาใช้สำหรับพิธีการแต่งตั้งตำแหน่งชั้นสูง จึงอยู่ในประเภทราชาศัพท์ และพิธีนี้มีมาตั้งแต่ราชวงศ์สุโขทัย จึงน่าสงสัยว่าในสมัยนั้นอาณาจักรสุโขทัยนี้ ก็คงจะมีการใช้คำราชาศัพท์บางคำกันแล้ว

  ภาษาที่ใช้คำราชาศัพท์

        คำราชาศัพท์มิได้มีที่มาจากภาษาไทยภาษาเดียว ด้วยว่าการใช้คำราชาศัพท์เป็นการใช้ด้วยตั้งใจ จะทำให้เกิดความรู้สึกยกย่อง เทิดทูน จึงได้เจาะจงรับคำในภาษาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยมาใช้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาษาที่นับถือกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์ คำราชาศัพท์ส่วนใหญ่จึงมีที่มาจากภาษาต่างประเทศมากมาย อย่างไรก็ตามก็ยังมีคำราชาศัพท์จำนวนไม่น้อยที่ใช้คำภาษาไทยแท้ ซึ่งเป็นคำสามัญยกระดับขึ้นเป็นคำราชาศัพท์ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าคำราชาศัพท์นั้นมีที่มาจากทั้งภาษาต่างประเทศและ ภาษาไทยของเราเอง ดังจะได้พิจารณาต่อไปนี้จากภาษาต่างประเทศ

        ตั้งแต่สมัยโบราณมา คนไทยได้ติดต่อกับคนต่างชาติต่างภาษามากมาย ในบรรดาภาษาทั้งหลายเหล่านั้น มีบางภาษาที่เรายกย่องกันว่าเป็นภาษาสูงและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็ได้แก่ ภาษาเขมร บาลี และสันกฤต ภาษาอื่นๆก็นำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์บ้าง แต่ก็ไม่มากและสังเกตได้ชัดเจนเท่า 3 ภาษาที่กล่าวแล้ว

 การเรียนรู้เรื่องคำราชาศัพท์

        ตามที่หลายคนคิดว่าคำราชาศัพท์เป็นเรื่องของในรั้วในวัง เป็นเรื่องของผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทนั้น ทำให้คิดต่อไปอีกว่า คำราชาศัพท์เป็นเรื่องยากซึ่งเมื่อก่อนอาจเป็นจริง แต่ปัจจุบันคำราชาศัพท์เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว แม้มิได้ใช้มากเท่ากับภาษาสามัญที่ใช้อยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันแต่ทุกคน โดยเฉพาะผู้มีการศึกษาก็ต้องมีโอกาสที่จะสัมผัสกับคำราชาศัพท์ทุกวัน ไม่โดยตรงก็โดยทางอ้อม โดยเฉพาะทางสื่อมวลชน

        การเรียนรู้วิธีใช้คำราชาศัพท์นั้น กล่าวโดยสรุป ต้องเรียนรู้ใน 2 ประการ คือ เรียนรู้คำ ประการหนึ่งกับ เรียนรู้วิธี อีกประการหนึ่ง

  1. เรียนรู้คำ คือ ต้องเรียนรู้คำราชาศัพท์
  2. เรียนรู้วิธี คือ ต้องเรียนรู้วิธีหรือเรียนรู้ธรรมเนียมการใช้คำราชาศัพท์

  ประโยชน์ของการเรียนรู้คำราชาศัพท์

        เพราะเหตุที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สูงสุดของ ประเทศมาแต่โบราณ พระเจ้าแผ่นดินทรงใกล้ชิดกับประชาชนอย่างแนบแน่นประการหนึ่ง คำราชาศัพท์นั้นเป็นแบบอย่างวัฒนธรรมอันดีทางด้านการใช้ภาษาไทยประการหนึง และการอ่านหรือศึกษาวรรณคดีก็ดี การรับสารสื่อมวลชนในปัจจุบันก็ดี เหล่านี้ล้วนต้องมีคำราชาศัพท์เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมออีกประการหนึ่ง ดังนั้นการเรียนรู้คำราชาศัพท์จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งทางตรงและทาง อ้อมมากมาย ดังจะเห็นได้ดังต่อไปนี้

  ประโยชน์ทางตรง

        เป็นประโยชน์ที่เกิดจากการตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้า อันได้แก่

1. ประโยชน์จากการใช้คำราชาศัพท์ถูกต้อง

ที่เรียกว่าใช้คำราชาศัพท์ถูกต้องนั้น คือ ถูกต้องตามบุคคลที่ใช้ว่าบุคคลใดควรใช้ราชาศัพท์ขั้นไหน อย่างไร ประการหนึ่ง ถูกต้องตามโอกาส คือ โอกาสใดใชคำราชาศัพท์หรือไม่เพียงใด ประการหนึ่ง และถูกต้องตามวิธีการใช้คือ ใช้ถูกต้องตามแบบแผนที่นิยมนั้นก็อีกประการหนึ่ง การใช้ราชาศัพท์ต้องใช้ทั้งความรุ้และประสบการณ์เป็นดุลยพินิจให้ถูกต้อง

2. ประโยชน์จากการเข้าใจที่ถูกต้อง

ไม่ว่าจากการอ่านหนังสือประเภทต่างๆ เช่น วรรณกรรมทั่วไป วรรณคดี หนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ทั้งหลาย โทรทัศน์ วิทยุ ตลอดจนสิ่งบันเทิงทั้งหลาย มีภาพยนต์ ละคร โขน ลิเก เป็นต้น เพราะการรับรู้ รับฟัง บางครั้งต้องมีสิ่งที่เรียกว่า คำราชาศัพท์ร่วมอยู่ด้วยเสมอ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ

  ประโยชน์โดยทางอ้อม

        เป็นประโยชน์ผลพลอยได้ แม้ตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้าหรือไม่ตั้งเป้าหมายไว้ก็ตาม คือ เมื่อรู้คำราชาศัพท์ดี ถูกต้อง ฟังหรืออ่านเรื่องราวที่มีคำราชาศัพท์เข้าใจผลประโยชน์พลอยได้ ก็จะเกิดขึ้นเสมอ ดังนี้

1. ธำรงรักษาวัฒนธรรมอันดีงานของชาติไว้

คือ รักษาให้คงอยู่ไม่เสื่อมสูญ ถือเป็นการธำรงรักษาวัฒนธรรมและความมั่นคงของประเทศชาติ

2. เพิ่มความมีเสน่ห์ในตัวบุคคล

คือ บุคคลผู้รู้และใช้คำราชาศัพท์ได้อย่างถูกต้อง เป็นการแสดงออกซึ่งความมีวัฒนธรรมอันดีงามทางภาษา

  คำราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ลำดับพระราชอิสริยศักดิ์พระบรมราชวงศ์

  1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
  2. สมเด็จพระบรมราชินี , สมเด็จพระบรมราชชนนี , สมเด็จพระยุพราช , สมเด็จพระสยามบรมราชกุมารี
  3. สมเด็จเจ้าฟ้า
  4. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
  5. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
  6. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า
  7. หม่อมเจ้า

มูลเหตุที่ทำให้เกิดมีคำราชาศัพท์

        คือ ต้องการยกย่องให้เกียรติดังนั้นการศึกษาเรื่องคำราชศัพท์ นี้ จึงแบ่งเป็น 2 ตอน ใหญ่ๆคือ ตอนที่ 1 ศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ตอนที่ 2 ศัพท์สำหรับพระภิกษุสงฆ์

  ราชาศัพท์สำหรับพระมหากษัตริย์

  • คำนามที่เป็นชื่อสิ่งของสำคัญที่ควรยกย่อง มีคำเติมหน้า ได้แก่ พระบรมมหาราช พระบรมมหา พระบรมราช พระบรม พระอัคราช พระอัคร และพระมหา เช่น พระบรมมหาราชวัง พระบรมมหาชนกพระบรมราชชนนี พระบรมราชวงศ์ พระบรมอัฐิ พระบรมโอรสาธิราช พระอัครชายา พระมหาปราสาท พระมหาเศวตฉัตร เป็นต้น
  • คำนามเป็นชื่อสิ่งสำคัญรองลงมา นำหน้าด้วยคำ“พระราช” เช่น พระราชวังพระราชวงศ์ พระราชทรัพย์ พระราชลัญจกร เป็นต้น
  • คำนามเป็นชื่อของสิ่งสามัญทั่วไปที่ไม่ถือว่าสำคัญส่วนใหญ่เป็นคำบาลี สันสกฤต เขมร และคำไทยเก่า แต่บางคำก็เป็นคำไทยธรรมดานำหน้าด้วยคำ “พระ” เช่น พระกร พระบาทพระโรค พระฉาย พระแท่น พระเคราะห์ เป็นต้น คำนามใดที่เป็นคำประสม มีคำ “พระ” ประกอบอยู่แล้ว ห้ามใช้คำ “พระ” นำหน้าซ้อนอีก เช่น พานพระศรี (พานหมาก) ขันพระสาคร (ขันน้ำ) เป็นต้น
  • คำนามที่เป็นชื่อสิ่งไม่สำคัญและคำนั้นมักเป็นคำไทย นำหน้าด้วยคำว่า “ต้น” เช่น ม้าต้น ช้างต้น เรือนต้น และนำหน้าด้วย “หลวง” เช่น ลูกหลวง หลานหลวง รถหลวง เรือหลวง สวนหลวง ส่วน “หลวง” ที่แปลว่าใหญ่ ไม่จัดว่าเป็นราชาศัพท์ เช่นภรรยาหลวง เขาหลวง ทะเลหลวง เป็นต้น นอกจากคำว่า “ต้น” และ “หลวง” ประกอบท้ายคำแล้ว บางคำยังประกอบคำอื่นๆ อีก เช่น รถพระที่นั่ง เรือพระที่นั่ง รถทรง เรือทรง ม้าทรง ช้างทรง น้ำสรง ห้องสรง ของเสวย โต๊ะเสวย ห้องบรรทม เป็นต้น

 ศัพท์สำหรับเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์ คือตั้งแต่สมเด็จพระบรมราชินีลงไปถึงหม่อมเจ้า

  • ใช้พระราชนำหน้า เช่น พระราชเสาวนีย์ พระราชประวัติ พระราชดำรัlส พระราชกุศล พระราโชวาท พระราโชบาย เป็นต้น
  • ใช้พระนำหน้า เช่น พระเศียร พระองค์ พระหัตถ์ พระทัย พระบาท เว้นแต่หม่อมเจ้าไม่ใช้ “พระ” นำหน้า ใช้ว่า เศียร องค์ หัตถ์ หทัย บาท เป็นต้น
  • คำนามราชาศัพท์สำหรับเจ้านายอยู่ในตัว ไม่ต้องใช้คำนำหน้าหรือคำต่อท้าย เช่น วัง ตำหนัก ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

 คำราชาศัพท์ที่ควรทราบ

  คำราชาศัพท์ที่ใช้เป็นคำนาม

คำสามัญ คำราชาศัพท์ คำสามัญ คำราชาศัพท์
หัว(พระมหากษัตริย์) พระเจ้า หัว พระเศียร
ผม(พระมหากษัตริย์) เส้นพระเจ้า ผม พระเกศา,พระเกศ,พระศก
หน้าผาก พระนลาฎ คิว พระขนง,พระภมู
ขนระหว่างคิว พระอุณาโลม ดวงตา พระจักษุ,พระนัยนา,พระเนตร
จมูก พระนาสา,พระนาสิก แก้ม พระปราง
ปาก พระโอษฐ์ ฟัน พระทนต์
ลิ้น พระชิวหา คาง พระหนุ
หู พระกรรณ คอ พระศอ
ดวงตา พระเนตร หนวด พระมัสสุ
บ่า,ไหล่ พระอังสา ต้นแขน พระพาหา,พระพาหุ
ปลายแขน พระกร มือ พระหัตถ์
นิ้วมือ พระองคุลี เล็บ พระนขา
ห้อง พระอุทร เอว พระกฤษฎี,บั้นพระเอว
ขา,ตัก พระเพลา แข้ง พระชงฆ์
เท้า พระบาท ขน พระโลมา
ปอด พระปัปผาสะ กระดูก พระอัฐิ
 หมวดขัตติยตระกูล
คำสามัญ คำราชาศัพท์ คำสามัญ คำราชาศัพท์
ปู่,ตา พระอัยกา ย่า,ยาย พระอัยยิกา,พระอัยกี
ลุง,อา(พี่-น้องชาย ของพ่อ พระปิตุลา ป้า,อา(พี่-น้องสาวของ พ่อ) พระมาตุจฉา
พ่อ พระชนก,พระบิดา แม่ พระชนนี,พระมารดา
พี่ชาย พระเชษฐา,พระเชษฐภาตา น้องสาว พระราชธิดา,พระธิดา
หลาน พระนัดดา แหลน พระปนัดดา
ลูกเขย พระชามาดา ลูกสะใภ้ พระสุณิสา
 หมวดเครื่องใช้
คำสามัญ คำราชาศัพท์ คำสามัญ คำราชาศัพท์ คำสามัญ คำราชาศัพท์
ยา พระโอสถ แว่นตา ฉลองพระเนตร หวี พระสาง
กระจก พระฉาย น้ำหอม พระสุคนธ์ หมวก พระมาลา
ตุ้มหู พระกุณฑล แหวน พระธำมรงค์ ร่ม พระกลด
ประตู พระทวาร หน้าต่าง พระบัญชร อาวุธ พระแสง
ฟูก พระบรรจถรณ์ เตียงนอน พระแท่นบรรทม มุ้ง พระวิสูตร
ผ้าห่มนอน ผ้าคลุมบรรทม ผ้านุ่ง พระภูษาทรง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าชับพระพักตร์
น้ำ พระสุธารส เหล้า น้ำจัณฑ์ ของกิน เครื่อง
ช้อน พระหัตถ์ ช้อน ข้าว พระกระยาเสวย หมาก พระศรี

 คำราชาศัพท์ที่ใช้เป็นคำสรรพนาม

  บุรุษที่ 1
สรรพนาม ผู้พูด ผู้ฟัง
ข้าพระพุทธเจ้า บุคคลทั่วไป พระมหากษัตริย์,เจ้านายชั้นสูง
เกล้ากระหม่อมฉัน บุคคลทั่วไป(หญิง) เจ้านายชั้นรองลงมา
เกล้ากระหม่อม บุคคลทั่วไป(ชาย)
เกล้ากระผม บุคคลทั่วไป
  บุรุษที่ 2
สรรพนาม ผู้พูด ผู้ฟัง
ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เจ้านายหรือบุคคลทั่วไป พระมหากษัตริย์,พระบรมราชินีนาถ
ใต้ฝ่าละอองพระบาท เจ้านายหรือบุคคลทั่วไป พระบรมโอรสาธิราช,พระบรมราชกุมารี
ใต้ฝ่าพระบาท เจ้านายหรือบุคคลทั่วไป เจ้านายชั้นสูง
ฝ่าพระบาท เจ้านายที่เสมอกันเหรือผู้น้อย เจ้านายชั้นหม่อมเจ้าถึงพระเจ้าวรวงศ์เธอ
  บุรุษที่ 3
สรรพนาม ผู้พูด ใช้กับ
พระองค์ บุคคลทั่วไป พระมหากษัตริย์,เจ้านายชั้นสูง
ท่าน บุคคลทั่วไป เจ้านาย

  คำขานรับ

คำ ผุ้ใช้ ใช้กับ
พระพุทธเจ้าข้าขอรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม ชาย พระมหากษัตริย์
เพคะใส่เกล้าใส่กระหม่อมหรือเพคะ หญิง พะมหากษัตริย์
พระพุทธเจ้าข้าขอรับ,พระพุทธเจ้าข้า ชาย เจ้านายชั้นสูง
เพค่ะกระหม่อม หญิง เจ้านายชั้นสูง

  คำราชาศัพท์ที่ใช้เป็นคำกริยา

เป็นคำแสดงอาการ แบ่งเป็น 4 ชนิด

  • กริยาที่เป็นราชาศัพท์ในตัวเอง เช่น ตรัส(พูด) เสด็จ(ไป) กริ้ว(โกรธ) ประชวร (ป่วย) ประสูติ(เกิด) ทูล(บอก) เสวย(กิน) ถวาย(ให้) บรรทม(นอน) ประทับ(อยู่) โปรด(รัก,ชอบ) ทรงม้า(ขี่ม้า) ทรงดนตรี(เล่นดนตรี)
  • ใช้ทรงนำหน้ากริยาธรรมดา เช่น ทรงฟัง ทรงยืน ทรงยินดี
  • ห้ามใช้ทรงนำหน้ากริยาที่มีนามราชาศัพท์ เช่น มีพระราชดำริ(ห้ามใช้ทรงมีพระราชดำริ) มีพระบรมราชโองการ (ห้ามใช้ทรงมีพระบรมราชโองการ)
  • ใช้เสด็จนำหน้ากริยาบางคำ เช่นเสด็จกลับ เสด็จขึ้น เสด็จลง

  คำกริยาที่ประสมขึ้นใช้เป็นราชาศัพท์ตามลำดับชั้นบุคคล

กริยา ราชาศัพท์ ชั้นบุคคล
เกิด พระราชสมภพ พระมหากษัตริย์,พระบรมราชินี

ประสูติ เจ้านาย
ตาย สวรรคต พระมหากษัตริย์,พระบรมราชินี

ทิวงคต พระยุพราชหรือเทียบเท่า

สิ้นพระชนม์ พระองค์เจ้าหรือเจ้านายชั้นสู

ถึงชีพิตักษัย,สิ้นชีพิตักษัย หม่อมเจ้า

ถึงแก่อสัญกรรม นายกรัฐมนตรี

ถึงแก่อนิจกรรม รัฐมนตรี

  คำขึ้นต้นและคำลงท้ายในการกราบบังคมทูล กราบทูล และทูลด้วยวาจา

ฐานันดรของผู้ฟัง คำขึ้นต้น คำลงท้าย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
สมเด็จพระบรมราชินี , สมเด็จพระบรมราชชนนี , สมเด็จพระยุพราช , สมเด็จพระสยามบรมราชกุมารี ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาท ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ควรมีควรแล้วแต่จะทรงพิจารณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
สมเด็จเจ้าฟ้า ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ควรมีควรแล้วแต่จะทรงพิจารณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ขอประทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ควรมีควรแล้วแต่จะทรงพิจารณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า กราบทูลฝ่าพระบาท ควรมีควรแล้วแต่จะโปรด
หม่อมเจ้า ทูลฝ่าพระบาททรงทราบ แล้วแต่จะโปรด
  การใช้คำราชาศัพท์ในการเพ็ดทูล

หลักเกณฑ์ในการกราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดิน

  1. ถ้าผู้รับคำกราบบังคมทูลไม่ทรงรู้จัก ควรแนะนำตนเองว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกหระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ......................ชื่อ.................... ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท" และลงท้ายว่า ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
  2. ถ้ากราบบังคมทูลธรรมดา เช่น ทรงมีกระแสพระราชดำรัสถามส่าชื่ออะไร ก็กราบบังคมทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ชื่อ ...................พระพุทธเจ้าข้า"
  3. ถ้าต้องการกราบบังคมทูลถึงความสะดวกสบาย หรือรอดอันตรายให้ใช้คำว่า "เดชะพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม......................"
  4. ถ้าจะกราบบังคมทูลถึงสิ่งที่ทำผิดพลาดไม่สมควรทำให้ใช้คำนำ "พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าพ้นกระหม่อม"
  5. ถ้าจะกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระมหากรุณาใช้คำว่า "ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม"
  6. ถ้าจะกราบบังคมทูลถึงของหยาบมิบังควร ใช้คำว่า "ไม่ควรจะกราบบังคมพระกรุณา"
  7. ถ้าจะกราบบังคมทูลเป็นกลางๆ เพื่อให้ทรงเลือก ให้ลงท้ายว่า "ควรมีควร ประการใดสุดแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม"
  8. ถ้าจะกราบบังคมทูลถึงความคิดเห็นของตนเองใช้ว่า "เห็นด้วยเกล้าด้วยกระกม่อม"
  9. ถ้ากราบบังคมทูลถึงสิ่งที่ที่ทราบใช้ว่า "ทราบเกล้าทราบกระหม่อม"
  10. ถ้าจะกราบบังคมทูลถึงการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งถวายใช้คำว่า "สนองพระมหากรุณาธิคุณ"
  11. ถ้าจะกล่าวขออภัยโทษ ควรกล่าวคำว่า "เดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า" และลงท้ายว่า ด้วยเกล้าด้วยกระกม่อม
  12. การกล่าวถึงสิ่งที่ได้รับความอนุเคราะห์ ให้ใช้คำว่า "พระเดชพระคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม"

สำหรับเจ้านายตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป

  1. ในการกราบบังคมทูล ไม่ต้องใช้คำขึ้นต้นและลงท้าย ถ้าเป็นพระยุพราช , พระราชินีแห่งอดีตรัชกาลและสมเด็จเจ้าฟ้า ควรใช้สรรพนามแทนพระองค์ท่านว่า "ใต้ฝ่าละอองพระบาท" ใช้สรรพนามแทนตนเองว่า "ข้าพระพุทธเจ้า" และใช้คำรับว่า "พระพุทธเจ้าข้า"
  2. เจ้านายชั้นรองลงมา ใช้สรรพนามแทนพระองค์ว่า "ใต้ฝ่าพระบาท" ใช้สรรพนามแทนตนเองว่า "เกล้ากระหม่อม" ใช้คำรับว่า "พระเจ้าข้า" เจ้านายชั้นสมเด็จพระยาและพระยาพานทอง ใช้สรรพนามของท่านว่า "ใต้เท้ากรุณา" ใช้สรรพนามของตนว่า "เกล้ากระหม่อม" ฝช้คำรับว่า "ขอรับกระผม"
  3. คำที่พระภิกษุใช้เพ็ดทูลต่อพระเจ้าแผ่นดิน แทนคำรับว่า "ถวายพระพร" แทนตนเองว่า "อาตมภาพ" ใช้สรรพนามของพระองค์ว่า "มหาบพิตร"

  วิธีใช้คำประกอบหน้าคำราชาศัพท์

  1. พระบรมราช ใช้ประกอบหน้าคำเพื่อให้เห็นว่าสำคัญยิ่ง ในกรณีที่ต้องการเชิดชูพระราชอำนาจ
  2. พระบรม ใช้ประกอบหน้าคำเพื่อให้เห็นว่าสำคัญยิ่ง ในกรณีที่ต้องการเชิดชูพระราชอิสริยยศ
  3. พระราช ใช้ประกอบหน้าคำเพื่อให้เห็นว่าสำคัญรองมาจาก พระบรม เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งเฉพาะขององค์พระเจ้าแผ่นดิน

วิธีใช้คำประกอบหลังคำราชาศัพท์

  1. ทรง ใช้ประกอบหลังคำนาม เพื่อเป็นคำนามราชาศัพท์
  2. ต้น ใช้ประกอบหลังคำนามสำคัญทั่วไป เพื่อทำให้เป็นคำนามราชาศัพท์ มักใช้กับสิ่งที่โปรดเป็นพิเศษ
  3. หลวง ใช้ประกอบหลังคำนามสามัญทั่วไป เพื่อให้เป็นนามราชาศัพท์
  4. พระที่นั่ง ใช้ประกอบหลังคำนามสามัญ เพื่อให้เป็นนามราชาศัพท์ มีความหมายว่าเป็นที่ประทับส่วนพระองค์

  ราชาศัพท์สำหรับพระภิกษุสงฆ์

        ไทยเรามีคำพูดที่ใช้กับพระภิกษุโดยเฉพาะอยู่ประเภทหนึ่งบางทีก็ เป็นคำที่พระภิกษุเป็นผู้ใช้เอง ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมดแล้ว เช่น คำว่า อาตมาภาพ หรืออาตมา มีความหมายเท่ากับ ฉัน บางคำก็ทั้งท่านใช้เองและเราใช้กับท่าน เช่น คำว่า ฉัน หมายถึง กิน เป็นต้น การพูดกับพระภิกษุต้องมีสัมมาคารวะ สำรวม ไม่ใช้ถ้อยคำที่เป็นไปในทำนองพูดเล่นหรือพูดพล่อยๆ ซึ่งจะเป็นการขาดความเคารพไปสำหรับพระภิกษุ เราจำเป็นต้องทราบราชทินนาม เรียกว่า พระภิกษุผู้ทรงสมณศักดิ์ ของพระภิกษุเรียงลำดับได้ดังนี้ เพื่อที่จะได้ใช้ได้อย่างถูกต้อง

  1. สมเด็จพระสังฆราช
  2. สมเด็จพระราชาคณะ หรือ ชั้นสุพรรณปัฎ คือ พระภิกษุที่มีราชทินนามนำหน้าด้วยคำว่า "สมเด็จพระ"
  3. พระราชาคณะชั้นรอง
  4. พระราชาคณะชั้นธรรม พระราชาคณะชั้นนี้มักมีคำว่า "ธรรม" นำหน้า
  5. พระราชาคณะชั้นเทพ พระราชาคณะชั้นนี้มักมีคำว่า "เทพ" นำหน้า
  6. พระราชาคณะชั้นราช พระราชาคณะชั้นนี้มักมีคำว่า "ราช" นำหน้า
  7. พระราชาคณะชั้นสามัญ
  8. พระครูสัญญาบัติ , พระครูชั้นประทวน , พระครูฐานานุกรม
  9. พระเปรียญตั้งแต่ 3-9

        การใช้คำพูดกับพระภิกษุทรงสมณศักดิ์ ที่ผิดกันมากคือชั้นสมเด็จพระราชาคณะเห็นจะเป็นเพราะมีคำว่า "สมเด็จ" นำหน้าจึงเข้าใจว่าต้องใช้คำราชาศัพท์ ซึ่งผิด ความจริงแล้ว พระภิกษุทรงสมณศักดิ์ที่ต้องใช้ราชาศัพท์มีเฉพาะเพียงสมเด็จพระสังฆราชเท่า นั้น เว้นแต่พระภิกษุรูปนั้นๆ ท่านจะมีฐานันดรศักดิ์ทางพระราชวงศ์อยู่แล้ว.

  คำราชาศัพท์ที่ควรทราบ

พระภิกษุที่เป็นพระราชวงศ์ ใช้ราชาศัพท์ตามลำดับชั้นแห่งพระราชวงศ์ สำหรับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า(สมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระราชวงศ์) ใช้ดังนี้

คำขึ้นต้น ใช้ว่า ขอประทานกราบทูล (กล่าวพระนามเต็ม)
สรรพนามแทนผู้พูด ใช้ว่า ข้าพระพุทธเจ้า
สรรพนามแทนพระองค์ท่าน ใช้ว่า ใต้ฝ่าพระบาท
คำลงท้าย ใช้ว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ใช้ราชาศัพท์เสมอพระเจ้าวรวงศ์เธอ (ที่มิได้ทรงกรม) เช่น

คำขึ้นต้น ใช้ว่า กราบทูล (กล่าวพระนามเต็ม)
สรรพนามแทนผู้พูด ใช้ว่า เกล้ากระหม่อม (สำหรับชาย), เกล้ากระหม่อมฉัน(สำหรับหญิง)
สรรพนามแทนพระองค์ท่าน ใช้ว่า ฝ่าพระบาท
คำลงท้าย ใช้ว่า ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด


สรรพนามบุรุษที่ 1 ที่พระภิกษุใช้

คำที่ใช้ โอกาสที่ใช้
อาตมา พระภิกษุใช้กับบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ใหญ่หรือมีฐานะตำแหน่งสูงในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ
อาตมาภาพ พระภิกษุใช้กับพระราชวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้าขึ้นไป และใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ เช่น การแสดงพระธรรมเทศนา
เกล้ากระผม พระภิกษุใช้กับพระภิกษุที่เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์หรือที่ดำรงสมณศักดิ์สูงกว่า
ผม,กระผม พระภิกษุใช้กับพระภิกษุด้วยกันโดยทั่ว ๆ ไป

สรรพนามบุรุษที่ 2 ที่พระภิกษุใช้

คำที่ใช้ โอกาสที่ใช้
มหาบพิตร พระเจ้าแผ่นดิน
บพิตร พระราชวงค์
คุณโยม บิดา, มารดา, ญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่อาวุโสสูง
คุณ,เธอ ใช้กับบุคคลทั่วไป

สรรพนามบุรุษที่ 2 ที่ฆราวาสใช้

คำที่ใช้ โอกาสที่ใช้
พระคุณเจ้า ฆราวาสใช้กับสมเด็จพระราชาคณะ, รองสมเด็จพระราชาคณะ
พระคุณท่าน ฆราวาสใช้กับพระราชาคณะชั้นรองลงมา
ท่าน ใช้กับพระภิกษุทั่วไป

คำขานรับที่พระภิกษุใช้

คำที่ใช้ โอกาสที่ใช้
ขอถวายพระพร พระราชวงค์
เจริญพร ฆราวาสทั่วไป
ครับ,ขอรับ ใช้กับพระภิกษุด้วยกัน

ศัพท์สำหรับพระภิกษุที่พบบ่อย

คำที่ใช้ โอกาสที่ใช้
รูป ลักษณะนามสำหรับพระภิกษุสงฆ์
อาราธนา ขอเชิญ
เจริญพระพุทธมนต์ สวดมนต์
ภัตตาหาร อาหาร
ประเคน ยกของ(ด้วยมือ)ให้พระ
ฉัน กิน
ถวาย มอบให้
เครื่องไทยธรรม ของถวายพระ, ของทำบุญต่าง ๆ
อนุโมทนา ยินดีด้วย
อาสนะ, อาสน์สงฆ์ ที่นั่ง
ธรรมาสน์ ที่แสดงธรรม
เสนาสนะ สถานที่ที่ภิกษุใช้
จำวัด นอน
สรง อาบน้ำ
มรณภาพ ตาย
ปลงผม โกนผม
กุฏิ เรือนพักในวัด
จำพรรษ อยู่ประจำวัด
อุปสมบท บวช (บวชเป็นพระภิกษุ)
บรรพชา บวช (บวชเป็นสามเณร)
ลาสิกขา สึก
คิลานเภสัช ยารักษาโรค
ลิขิต จดหมาย
ครองผ้า แต่งตัว
ถวายอดิเรก กล่าวบทอวยพรพระมหากษัตริย์
บิณฑบาต รับของใส่บาตร
ปลงอาบัติ แจ้งความผิดให้ทราบ
ปัจจัย เงิน
ทำวัตร สวดมนต์
เผดียงสงฆ์ แจ้งให้สงฆ์ทราบ
สุผ้า ซักผ้า, ย้อมผ้า
อาพาธ ป่วย

อัพเดทล่าสุด