จักรวาลในพุทธศาสนา ภาพระบบสุริยะจักรวาล ระบบสุริยะจักรวาล คือ จักรวาลและอวกาศ
จักรวาลในพุทธศาสนา
ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งอย่างศาสนาอื่นๆ แต่ก็น่าสนใจนะคะตรงที่พระไตรปิฎกได้อธิบายถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือพิภพ ถึงสรรพสิ่งที่ไกลมากจากโลกมนุษย์ อย่างจักรวาล และที่น่าสนใจคือจักรวาลตามที่ระบุในพระไตรปิฎก มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ น่าทึ่งเอาการทีเดียวละค่ะ
อย่างแรกคือ มีการระบุเอาไว้ว่า จักรวาลไม่ได้มีอยู่หนึ่งเดียว แต่ว่ามีหลายหมื่นแสนจักรวาลจนประมาณมิได้
และลักษณะของจักรวาลคือ
จักรวาลนั้นเป็นเหมือนช่วงต่อเนื่องของฟองน้ำ เปลี่ยนแปลง ขยับขยาย เคลื่อนไป ระเบิด
และก่อตัวกันใหม่อีก ฟองพรายน้ำแต่ละฟองนั้น ผุดขึ้นต่อเนื่องกันกับแรงที่ก่อเกิดจากส่วนที่ล่วงพ้นไปแล้ว
สงสัยว่าจะคล้าย Big- bang Theory หรือเปล่านี่น่ะ?
มีอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย คือ โลกธาตุ ใน จุลนิกสูตร
พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับพระอานนท์ว่า
จากระยะใกล้สุดที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะหมุนเวียนตามจักรราศี และส่องสว่างด้วยแสงเรืองโอภาส
จนถึงช่วงหนึ่งพันจักรวาล ยังมีดวงจันทร์หนึ่งพันดวง ดวงอาทิตย์หนึ่งพันดวง หนึ่งพันพระสุเมรุมหาสิงขร
หนึ่งพันชมพูทวีป หนึ่งพันอมรโคยานทวีป หนึ่งพันอุตรกุรุทวีป หนึ่งพันบุพพวิเทหทวีป
สี่พันมหาสมุทร หนึ่งพันจาตุมหาราช หนึ่งพันดาวดึงส์พิภพ หนึ่งพันยามาห้วงสวรรค์
หนึ่งพันสวรรค์ชั้นดุสิต หนึ่งพันนิมมานนรดี หนึ่งพันปรนิมมิตวสวตี และหนึ่งพันห้วงพิภพของของเหล่านี้แหละ
อานนท์ เรียกว่าระบบสหัสสโลกธาตุในชั้นปฐม ระบบที่ใหญ่กว่าที่กล่าวมานี้หนึ่งพัน
เรียกว่า สหัสสโลกธาตุชั้นมัธยม ระบบที่ใหญ่กว่านี้หนึ่งพันเท่า เรียกว่า ตรีสหัสสมหาโลกธาตุ
จักรวาล ในที่นี้น่าจะหมายถึงระบบสุริยจักรวาล ทรงหมายถึงว่าไม่ได้มีเพียงดวงอาทิตย์ดวงเดียว
ดวงจันทร์ดวงเดียวและโลกเดียวเท่านั้น แต่ว่ามีอยู่อีกมากด้วยกัน แสดงว่าทรงทราบว่ามีดาวฤกษ์(ดวงอาทิตย์)
และดาวเคราะห์(ดวงจันทร์และโลก)อยู่อีกเป็นจำนวนมาก ตัวเลขพันที่ใช้ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเลขสี่ตัวจริงๆนะคะ
แต่มีความหมายว่าเป็นจำนวนมากมาย
เมื่อรวมสุริยจักรวาลจำนวนมากเข้าด้วยกัน ก็คือกาแลกซี หรือสหัสสโลกธาตุชั้นปฐม ระบบที่ใหญ่กว่านี้คือสหัสสโลกธาตุชั้นมัธยม ประกอบด้วยกาแลกซีจำนวนมาก คือกลุ่มกาแลกซี หรือจักรวาล
ส่วนตรีสหัสสมหาโลกธาตุ คือเอกภพ ที่เกิดจากจักรวาลย่อยๆอีกมากรวมกัน
เมื่อครั้งตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ได้เกิดการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อความข้างบน แสดงว่าจักรวาลมีจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่โลกเดียว
ย้อนกลับมาถึงจักรวาลอีกทีหนึ่ง ในเมื่อมีหลายจักรวาลรวมกลุ่มกันอยู่มาก ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่าช่องว่างระหว่างจักรวาลนั้นเป็นที่ตั้งของโลกันตมหานรก นรกชั้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นชั้นลึกที่สุด สัตว์นรกที่ทำบาปขั้นสาหัสที่สุด ขั้นอนันตริยกรรมเท่านั้นถึงจะอยู่ที่นี่ อย่างพระเทวทัต เป็นที่ลึกและมืดสนิทที่สุด สัตว์นรกไม่มีโอกาสมองเห็นแสงสว่างใดๆเลย
อ่านแล้วก็อดนึกถึงหลุมดำไม่ได้ นี่หรือเปล่าโลกันตนรก ที่ผู้สำเร็จอภิญญา ๖ อย่างพระพุทธองค์และพระอรหันต์สามารถมองเห็นและหยั่งรู้ได้ ?
ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ พระพุทธวัจนะว่าด้วยที่ตั้งของพิภพ เมื่อทรงตอบคำทูลถามของพราหมณ์กัสสป ขอลอกคำถามคำตอบมาให้อ่านตามนี้นะคะ
" โลกตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (นี่เป็นคำถามของพราหมณ์ค่ะ)
"บนแผ่นน้ำ"
" แผ่นน้ำตั้งอยู่บนสิ่งใด?"
" บนลม"
" และลมตั้งอยู่บนสิ่งใด?"
" บนอวกาศ"
" แลอวกาศเล่าตั้งอยู่บนสิ่งใด?"
" มากเกินไปเสียแล้ว พราหมณ์เอ๋ย อวกาศมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดค้ำอวกาศไว้เลย"
ถ้าจะแปลว่า โลก คือ แผ่นดิน รองรับด้วยแผ่นน้ำคือมหาสมุทร ก็ใช่ ต่อมาคือโลกอันประกอบด้วยแผ่นดินและแผ่นน้ำ ห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศ คือลม(อากาศ)ก็ใช่อีก เมื่อถัดออกไปจากชั้นบรรยากาศ ก็คืออวกาศที่ยานอวกาศลำแล้วลำเล่าโคจรอยู่ ก็ถูกอีกเหมือนกัน และนอกเหนือจากชั้นอวกาศคืออะไร คำตอบก็คือ อวกาศมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด ไม่มีแผ่นดินแผ่นน้ำหรือลมรองรับอวกาศไว้ทั้งสิ้น
แหล่งที่มา : vcharkarn.com