โรคเบาหวานในเด็ก โรคเบาหวานเกิดจากอะไร การป้องกันโรคเบาหวานในเด็ก
เด็กและวัยรุ่นเกี่ยวข้องกับเบาหวานอย่างไร
ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของนิตยสารหมอชาวบ้าน กับ วิชาการ.คอม และ
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 29 ฉบับที่ 343 เดือน พฤศจิการยน 2550
คอลัมภ์ : โรคน่ารู้
“เบาหวาน” เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ... ป้องกันได้
กระทรวงสาธารณสุข รายงานจากการสำรวจส ภาวะสุขภาพคนไทย ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2547 ประมาณการว่า มีผู้ป่วยเบาหวาน 3.9 ล้านคน แต่มีเพียง 1.7 ล้านคนที่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ ซึ่งยังไม่รวมผู้ที่มีสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานอีก 2 ล้านคน
เด็กและวัยรุ่นเกี่ยวข้องกับเบาหวานอย่างไร
เบาหวานที่พบในเด็กและวัยรุ่น แบ่งเป็น 2 ชนิด
- ชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน
เบาหวานชนิดนี้พบบ่อยที่สุดในเด็กและ วัยรุ่น เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ - อินซูลินเป็นฮอร์โมนทำหน้าที่ นำน้ำตาลเข้าไปใช้ในเซลล์ ทำให้เกิดพลังงาน ถ้าร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายจะไม่สามารถนำ น้ำตาลที่เกิดจากการกินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต (เช่น ข้าว แป้ง ) ไปใช้เป็นพลังงานได้ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นโรคเบาหวาน
- ชนิดที่ 2 เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน
โรคเบาหวานชนิดนี้ร่างกายผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน พบบ่อยในผู้ใหญ่และเด็กวัยรุ่นที่เป็นโรคอ้วน - สมัยก่อนถือว่าเบาหวานชนิดนี้เป็นโรคของผู้ใหญ่และเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ครอบครัวที่มีโรคเบาหวานชนิดนี้ โอกาสที่ลูกจะเป็นเบาหวานก็มีมาก แต่มักจะเป็นในผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 40 ขึ้นไป และสัมพันธ์กับโรคอ้วน เนื่องจากภาวะอ้วนทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ปัจจุบัน เด็กเป็นโรคอ้วนกันมาก ทำให้พบโรคชนิดนี้มากขึ้นในเด็กและวัยรุ่น
ข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราชที่พบเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 เป็นอย่างไร
จากข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2530 ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2547 พบว่า
มกราคม พ.ศ. 2530 – ธันวาคม พ.ศ. 2539
เบาหวานชนิดที่ 1 ร้อยละ 93
เบาหวานชนิดที่ 2 ร้อยละ 5
มกราคม พ.ศ. 2540 – ธันวาคม พ.ศ. 2542
เบาหวานชนิดที่ 1 ร้อยละ 72
เบาหวานชนิดที่ 2 ร้อยละ 18
มกราคม พ.ศ. 2540 – ธันวาคม พ.ศ. 2547
เบาหวานชนิดที่ 1 ร้อยละ 70
เบาหวานชนิดที่ 2 ร้อยละ 28
จากข้อมูลนี้พบว่ามีสัดสวนของผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สัมพันธ์กับเด็กเป็นโรคอ้วนมากขึ้นในประเทศไทยอย่างชัดเจน
สังเกตอย่างไรว่า ผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
อาการของผู้ป่วยเบาหวานมีมากน้อยแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่มากอาจไม่มีอาการแต่อย่างใด แต่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี ในรายที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะมีอาการดังต่อไปนี้
- น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ ( ปัสสาวะออกมาก สูญเสียน้ำตาลทางปัสสาวะ)
- บางรายอาจจะมาด้วยเป็นแผลเรื้อรัง เพราะ ระดับน้ำตาลสูงในเลือดจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานกำจัดเชื้อโรคได้ไม่ดี เป็นแผลหายยาก
- บางรายมาด้วยเป็นเชื้อรา ติดเชื้อรายตามผิวหนัง เชื้อรายที่ช่องคลอด
- บางรายมาด้วยอาการน้ำตาลในเลือดสูงมาก จนกระทั่งร่างกายขาดน้ำรุนแรง มีภาวะช็อก มีภาวะเลือดเป็นกรดได้
อาการมีตั้งแต่รุนแรงมาก จนกระทั่งไม่มีอาการอะไรเลย รายที่ไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์เพราะอ้วนมาก คุณหมอที่ดูแลหรือคุณพ่อคุณแม่กังวลเรื่องอ้วน มักจะมีประวัติในครอบครัวเป็นเบาหวาน เมื่อมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก็พบว่าเป็นเบาหวาน
ปัจจัยสำคัญของเบาหวานชนิดที่ 2 คือ ภาวะ อ้วน
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มาพบแพทย์ด้วยโรคอ้วนที่ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเป็นโรคอ้วน อายุตั้งแต่ 6- 18 ปี 125 ราย น้ำหนักเฉลี่ย 80 กิโลกรัม
พบว่ามีร้อยละ 3 เป็นเบาหวานแล้ว แต่ไม่มีอาการเลย
ร้อยละ 21 ตรวจน้ำตาลพบว่าผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขึ้นเบาหวาน ซึ่งผู้ป่วยที่เริ่มมีระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเบาหวาน มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคต ถ้าไม่สามารถลดน้ำหนักได้
พ่อแม่สามารถสังเกตลุกหลานของตันเองได้อีกวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าลูกเริ่มมีภาวะอ้วน ร่วมกับสังเกตที่ต้นคอเด็ก จะเห็นมีร้อยดำๆหนาๆ ถูเท่าไหร่ก็ไม่ออก บางคนคิดว่าเป็นขี้ไคล
รอบคอที่ดำเป็นปื้นหนานี้บ่งบอกว่าเริ่มมีภาวะดื้อต่ออินซูลินแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเบาหวานทุกราย แต่ถ้าสังเกตพบปุ๊บจะต้องให้หมดตรวจระดับน้ำตาลดูว่าสูงผิดปกติหรือไม่ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่มีประวัติเป็นเบาหวานก็ตาม
น้ำตาลในเลือดเท่าไหร่ถือว่าปกติ (น้ำตาลปกติคือ น้อยกว่า 100 มก./ดล.)
การทดสอบน้ำตาลในเลือดมี 2 วิธีคือ
- เจาะเลือดตรวจน้ำตาล หลังงดน้ำ งดอาหาร ประมาณ 8 ชั่วโมง
จะถือว่าเป็นเบาหวาน ถ้าน้ำตาลหลังงดน้ำ งดอาหาร มากกว่า หรือ เท่ากับ 126 มก./ดล. แต่ถ้าอยู่ระหว่าง 100-125 เรียกว่าเริ่มผิดปกติ
- ให้กินกลูโคส และ อีก2 ชั่วโมง เจาะเลือดตรวจน้ำตาล
หลังกินกลูโคส คนปกติน้ำตาลต้องน้อยกว่า 140 มก./ดล. ถ้าเป็นเบาหวานคือ มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. ถ้าอยู่ระหว่าง 140 จนถึง 199 ถือว่าเริ่มมีภาวะผิดปกติแล้ว
จากข้อมูลของผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช พบว่ามีผู้ป่วยเด็กประมาณร้อยละ 21 อยู่ตรงกลาง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคตได้ เรียกว่ากลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวาน ถือว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ้มที่ป้องกันได้ไม่ให้เกิดเป็นเบาหวาน ถ้าสามารถลดน้ำหนักได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เบาหวานในเด็ก และ ผู้ใหญ่ต่างกันหรือไม่
คำว่า “เด็กเป็นเบาหวาน” ก็เหมือนกับผู้ใหญ่เป็นเบาหวาน โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังตลอดชีวิต มีภาวะแทรกซ้อนตามมา เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เหมือนในผู้ใหญ่ เช่น
- เบาหวานขึ้นจอตา ทำให้ตามองเห็นไม่ชัด อาจจะต้องมีการยิงเลเซอร์รักษา
- โรคไต การเป็นโรคเบาหวานนานๆและคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ทำให้ไตเสื่อม ปัจจุบันเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดโรคไตวายในคนไทย
- ปลายประสาทเสื่อม มีอาการชา การรับความรู้สึกที่มือ เท้าลดลง
- หลอดเลือดแดงตีบแข็งกว่าปกติ โอกาสจะเป็นหลอดเลือดสมองขาดเลือดหรือ อัมพาต กล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือด หัวใจวาย มากขึ้น
จุดเริ่มต้นจากเบาหวาน จะไปสู่สาเหตุของโรคเรื้อรังอื่นๆ แต่สามารถชะลอและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได ถ้าควบคุมระดับน้ำตาลให้ดี
สิ่งสำคัญมากคือ ผู้ป่วยเบาหวาน จะต้องดูเรื่องของผลน้ำตาล ดูแลตนเองให้ระดับน้ำตาลอยู่ใกล้เคียงปกติมากที่สุด เพื่อป้องกันและชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เหล่านั้น
เบาหวานชนิดที่ 1 มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดเป็นโรคที่ยังไม่สามารถป้องกันได้
แต่เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่เกี่ยวกับภาวะอ้วนพฤติกรรมการกิน พฤติกรรมการใช้ชีวิต ป้องกันได้เด็กเริ่มมีภาวะอ้วนจะต้องลดน้ำหนัก อย่าให้อ้วนมากไปกว่านี้ หรือ กลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงเริ่มมีน้ำตาลสูงผิดปกติแล้ว สามารถป้องกัน ไม่ให้เป็นโรคเบาหวานได้ ถ้าให้เด็กได้ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดูทีวี เล่นเกมคอมพิวเตอร์ให้น้อยลง ใช้ชีวิตกลางแจ้งให้มากขึ้น กลุ่มนี้สามารถกลับมามีน้ำตาลปกติได้
อยู่กับเบาหวานอย่างไร
เบาหวานชนิดที่ 1 วิธีการรักษาคือจะต้องมีการฉีดยาอินซูลิน ผู้ป่วยจะต้องเรียนรู้วิธีการฉีดยา การออกฤทธิ์ของยาอินซูลิน ผู้ป่วยจะต้องเรียนรู้วิธีการฉีดยา การออกฤทธิ์ของยาอินซูลิน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ฉีดยาวันละ 2-3 ครั้ง บางรายอาจจะต้องฉีด 4 ครั้งต่อวัน เพื่อจะควบคุมให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้
เรียนรู้โรคเบาหวาน วิธีการดูแลตนเอง จะต้องทำอย่างไรบ้าง นอกจากเรื่องการฉีดยาอินซูลินแล้ว ก็จะต้องมีการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว เพื่อจะดูระดับน้ำตาลวันละ 3-4 ครั้ง จะได้มีการปรับยา ปรับอาหารให้เหมาะสมกับระดับน้ำตาล
เรียนรู้เรื่องอาหาร กินอาหารที่พอเหมาะ ให้เกิดสมดุลกับความต้องการของร่างกาย
ต้องเรียนรู้ว่า เวลาไม่สบาย กินไม่ได้ จะทำอย่างไร ถ้าน้ำตาลสูงผิดปกติ ก็มีโอกาสเสิ่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะช็อก จะต้องปฎิบัติตัวอย่างไรบ้าง
เด็กและวัยรุ่นที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และพ่อแม่จะต้องมีการเรียนรู้เรื่องเบาหวานเพื่อจะสามารถดูแลตนเองได้ จำเป็นต้องมีการปรับตัว เพราะต้องมีการฉีดยา เจาะเลือด ปรับลักษณะการกินและประเภทของอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยจึงจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
สำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะอ้วน ( พฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตประจำวัน ) และพันธุกรรม พ่อแม่จะต้องสร้างวินัยในบ้าน นั่นคือลดการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ลดการดูโทรทัศน์ ไม่นอนดึก ฝึกนิสัย การกินที่ถูกต้อง ไม่กินจุบจิบตลอดเวลา
เด็กที่เป็นโรคอ้วนมักมาจากปัญหาการขาดวินัยในครอบครัว เด็กจะตื่นกี่โมงก็ได้ เด็กหาอาหารกินเอง เด็กออกไปเล่นเกมกับเพื่อน ...ครอบครัวอาจจะต้องมาใส่ใจว่าแต่ละวัน ลูกใช้ชีวิตอย่างไร ลูกกินอะไรบ้าง ลูกออกไปซื้ออะไรบ้าง เด็กบางคนไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ บางทีอยู่กับเพื่อนก็ชวนกันกิน ชวนกันเล่นเกม บางคนอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรก็นอนกับดูโทรทัศน์ ซื้อขนมถุงกินระหว่างดูโทรทัศน์ เด็กบางคนชอบกินของมันๆ ทอดๆชอบดื่นน้ำอันลม น้ำผลไม้ที่มีรสหวานๆ พ่อแม่จะต้องช่วยกันดู ช่วยกันปรับพฤติกรรมของลูกและสร้างนิสัย การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การลดน้ำหนักโดยการคุมอาหารและออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนพฤติกรรมของลูก และ สร้างนิสัยการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมทั้งกระตุ้นให้เด็กได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การลดน้ำหนักโดยการคุมอาหารและออกกำลังกายเพิ่มขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนพฤติกรรม ส่วนใหญ่คนอ้วนทีสามารถลดน้ำหนักลงได้ประมาณ ร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวก็จะส่งผลดีต่อร่างกายแล้ว แต่ต้องทำสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
เบาหวานชนิดที่ 2 ป้องกันได้จากพฤติกรรม
ถ้าไม่ป้องกันโรคเบาหวานตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก อนาคตจะมีคนไทยเป็นเบาหวาน ชนิดที่ 2 มากขึ้น และเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อยกว่า 10 ขวบ มีข้อมูลจากการตรวจเลือดเด็กที่มารับบริการจากโรงพยาบาลศิริราชพบว่า 125 รายที่ตรวจวัดน้ำตาลมีร้อยละ 3 เป็นเบาหวานแล้ว และพบว่าผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยที่สุดก็คือ 8 ขวบ สามารถเป็นเบาหวานแบบผู้ใหญ่ได้แล้ว
เด็กที่เริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ถ้าควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น ไตเสื่อม เบาหวานขึ้น จอตา ได้ ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ตั้งแต่เด็กจะต้องอยู่กับโรคเรื้อรังนี้และภาวะแทรกซ้อนไปอีกนานา ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งแรงมีความใช้จ่ายในการรักษาจำนวนมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือป้องกันอย่าให้เด็กเป็นเบาหวาน นั่นคือ อย่าให้ลูกอ้วนและเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ถ้าปล่อยให้เด็กเป็นเบาหวานแล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลัง และ เป็นตั้งแต่อายุน้อย ค่าใช้จ่ายมากโดยเฉพาะถ้าวันหนึ่งเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาแล้ว ไม่สามารถไปแก้ไขภาวะตรงนั้นได้
แหล่งที่มา : doctor.or.th