อาการโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ประเทศไทย เป็นกี่คนโรคหลอดลมอักเสบ การติดต่อโรคหลอดลมอักเสบ


797 ผู้ชม


อาการโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ประเทศไทย เป็นกี่คนโรคหลอดลมอักเสบ การติดต่อโรคหลอดลมอักเสบ

หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute  bronchitis)

 

            
                หลอดลมอักเสบ  หมายถึง  การอักเสบของเยื่อบุผิวภายในหลอดลม  ทำให้ต่อมเมือก  (mucous  gland)  โตขึ้นและหลั่งเมือก  ( เสมหะ )  ออกมามากกว่าปกติ  อุดกั้นในช่องทางเดินหลอดลมแคบลง  ส่งผลให้เกิดอาการไอมีเสมหะ  บางครั้งอาจมีอาการหอบเหนื่อยร่วมด้วย
                หลอดลมอักเสบ  แบ่งเป็นชนิดเฉียบพลัน  และชนิดเรื้อรัง  
                หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน  เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย  มักพบหลังเป็นไข้หวัด  ไข้หวัดใหญ่  หรือการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น  และในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่หรือสัมผัสถูกสิ่งระคายเคือง  ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง  และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
สาเหตุ
                1.  จากการติดเชื้อ  ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดไข้หวัดใหญ่  และติดต่อแบบเดียวกับไข้หวัด  บางครั้งอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย  ( เช่น Mycoplasma  pneumonia,  Clamydia  pneumonia,  Streptococcus  pneumonia,  Hemophilus  influenza,  Moraxella  catarrhalis )  แทรกซ้อนมักพบได้บ่อยในเด็กเล็ก  ผู้สูงอายุ  ผู้ที่ภูมิต้านทานโรคต่ำ  ผู้ที่สูบบุหรี่  หรือมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรั้ง  
                2.  จากการถูกสิ่งระคายเคือง  ที่พบบ่อย  คือ  การสูบบุหรี่  ซึ้งทำให้ขนอ่อน  (ciia)  ที่เยื่อบุหลอดลมเคลื่อนไหว  ( โบกพัดเพื่อปกป้องผิวหลอดลม )  น้อยลง  เยื่อบุหลอดลมถูกระคายเคือง  ทำให้ต่อมเมือกโตขึ้น  มีเสมหะมากขึ้น
                นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากควัน  ไอเสียรถยนต์  ฝุ่นละออง  สารเคมี  รวมทั้งการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน  
                พบได้บ่อยในผู้ที่สูบบุหรี่  หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสิ่งระคายเคือง  อาจเป็นๆหายๆ บ่อยและอาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ
อาการ
                ที่สำคัญ คือ อาการไอบ่อย  ระยะแรกจะไอแห้งๆแล้วไอมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาวใน  2-3  ชั่วโมงหรือ  2-3  วันต่อมา  ต่อมาเสมหะจะมีปริมาณมากขึ้น  อาจมีลักษณะเป็นสีขาว ( ถ้าเกิดจากไวรัสหรือการระคายเคืองล้วนๆ )  หรือกลายเป็นเสมหะข้นสีเขียวหรือเหลือ  ( ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย )  ผู้ป่วยอาจไม่มีไข้หรือมีไข้ต่ำๆ อยู่นาน  3-5 วัน 
                ผู้ป่วยมักมีอาการเป็นไข้หวัด  เจ็บคอ  นำมาก่อนที่จะเกิดอาการไอ  บางรายอาจไม่มีอาการเหล่านี้นำมาก่อนก็ได้
                อาการไอมักเป็นอยู่นาน  1-3  สัปดาห์  แต่บางรายอาจไอนานกว่านี้  อาจไอมากกตอนกลางคืน  ( จนนอนไม่พอ )  หรือหลังตื่นนอนตอนเช้า  บางอาจมีอาการเสียงแหบ  เจ็บคอ  หรือเจ็บหน้าอกเวลาไอ  ในเด็กเล็กอาจไอจนอาเจียน
                บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก  หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย


สิ่งตรวจพบ
ในรายที่อาการไม่รุนแรง  มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ  บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ  ( 38.3 - 38.8 ซ. )  หรือเป็นไข้หวัดร่วมด้วย
                การใช้เครื่องฟังตรวจปอด  อาจได้ยินเสียงหายใจหยาบ  ( coarse  breath  sound )  หรือมีเสียงอึ๊ด ( rhonchi )  หรือเสียงกรอบแกรบ  ( crepitation )  บางอาจมีเสียงวี๊ด  ( wheezing )
ภาวะแทรกซ้อน
                ที่สำคัญ คือ ปอดอักเสบ  ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยกว่าร้อยละ  5  ของผู้ป่าว  พบได้บ่อยในทารก  ผู้สูงอายุ  ผู้ที่สูบบุหรี่  หรือมีโรคปอดเรื้อรัง  ( เช่น  หืด  ถุงลมปอดโป่งพอง )  อยู่ก่อน
                ในรายที่เป็นซ้ำซาก  อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง  ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่สูบบุหรี่ )  และหลอดลมพอง  บางรายอาจมีอาการไอเป็นเลือด
การรักษา
                1.  แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มากขึ้น  อย่าตรากตรำงานหนัก  ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ  ( วันละ 10 – 15 แก้ว )  เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้ง่ายขึ้น  งดสูบบุหรี่  หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองหรือสิ่งกระตุ้นให้ไอ  ( เช่น  ความเย็น  น้ำเย็น  น้ำแข็ง  ของทอด  ของมันๆ  ฝุ่น  ควัน  อากาศเสีย  ลมจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ  เป็นต้น )
               

2.  ให้ยารักษาตามอาการ  เช่น  ยาระงับการไอ  หรือยาขับเสมหะ  ยาลดไข้  
                ถ้าไอมีเสมหะข้นเหนียว  ควรหลีกเลี่ยงยาระงับการไอและยาแก้แพ้  อาจทำให้เสมหะเหนียว  ขับออกยาก  หรืออุดกั้นหลอดลมเล็ก  ทำให้ปอดบางส่วนแฟบได้
                3.  ถ้ามีเสียงวี้ดร่วมด้วยให้ยากระตุ้นบีตา  2  สูดหรือกิน
                4.  ยาปฏิชีวนะ  ถ้าไม่มีตีประจำตัวและมีเสมหะขาว  ( อาจเกิดจากไวรัสหรือการระคายเคือง )  ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ  จะให้เฉพาะในรายที่มีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หรือหลอดลมพอง  ร่วมด้วย  หรือมีเสมหะเหลืองหรือเขียวเกิน  7  วัน  ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคนี้  เช่น  อะม็อกซีซิลลิน  ดอกซีไซคลีน  หรือโคไตรม็อกซาโซล  นาน 7 – 10 วัน
                5.  ถ้าเสมหะยังเป็นสีเหลืองหรือเขียวหลังให้ยาปฏิชีวนะ 1 สัปดาห์  ยังรู้สึกหอบเหนื่อยหลังให้ยาขยายหลอดลม 3 วัน  สงสัยปอดอักเสบแทรกซ้อน  ( ไข้สูงหายใจหอบ )  มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์  น้ำหนักลด  ไอออกเป็นเลือด  หรือมีอาการกำเริบมากกว่า 3 ครั้ง/ปี ควรส่งโรงพยาบาล  อาจต้องเอกซเรย์ปอด  ตรวจเสมหะบางรายแพทย์อาจใช้กล้องส่องตรวจหลอดลม  ( bronchoscopy )  และให้การรักษาตามสาเหตุ
                ผลการรักษา  ส่วนใหญ่มักจะหายได้โดยการรักษาตามอาการ  ส่วนน้อยที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ  และน้อยรายที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา
ข้อแนะนำ
                โรคนี้มักเป็นหลังจากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่หลังให้การรักษาจนเชื้อโรคถูกกำจัดแล้ว  ( ในรายที่มีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว  จะกลายเป็นสีขาว )  ผู้ป่วยอาจไอโครกๆ อยู่นานเป็นสัปดาห์ๆ ลักษณะไอแห้งๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาว  ทั้งนี้เนื่องจากเยื่อบุหลอดลมถูกทำลายจากการอักเสบ  ทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้น  ( เช่น  บุหรี่  ควัน  ฝุ่น  ลม  ความเย็น  สิ่งระคายเคืองต่างๆ )  เยื่อบุหลอดลมจะค่อยๆ ฟื้นตัว  กว่าจะแข็งแรงเต็มที่ใช้เวลานานหลายสัปดาห์  ผู้ป่วยมักจะมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีควรให้การดูแลโดยการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่างๆ ให้ยาแก้ไอบรรเทาเป็นครั้งคราว  ( ซึ้งไม่ได้ทำให้อาการไอหายเร็ว )  แล้วรอเวลาให้หายตามธรรมชาติ  ซึ่งแต่ละคนอาจมีระยะเวลาแตกต่างกันไป  โดยทั่วไปอาจใช้เวลานาน  7 -8  สัปดาห์  บางรายอาจนานถึง  3  เดือน
                แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย  เช่น  มีไข้เรื้อรัง  น้ำหนักลด  หอบเหนื่อย  ไอออกมาเป็นเลือด  ไอรุนแรง  หรือมีความวิตกกังวล  ก็ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ
                ในรายที่ตรวจไม่พบสาเหตุอื่น  และมีอาการไอรุนแรง  แพทย์อาจพิจารณาให้ยาไอพราโทรเพียมโบรไมต์ชนิดสุด  อาจช่วยให้ทุเลาได้

แหล่งที่มา : deksasukh.blogspot.com

อัพเดทล่าสุด