มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย โรคโลหิตจางกับการตั้งครรภ์ โรคโลหิตจางซิกเคิลเซลล์


736 ผู้ชม


มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย โรคโลหิตจางกับการตั้งครรภ์ โรคโลหิตจางซิกเคิลเซลล์

 

 มูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย โรคโลหิตจางกับการตั้งครรภ์ โรคโลหิตจางซิกเคิลเซลล์
มารดาของทุกๆเซลล์ (Mother of All Cells)
นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเราจะได้รับผลประโยชน์มากมายจากการศึกษา Embryonic stem cell ต่อไป แต่ก็จะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งหรือสองรุ่นอายุคนเพื่อให้ได้รับผล 
ในช่วงปลายปี ‘90s เป็นช่วงรุ่งเรืองสุดของประวัติศาสตร์ในชีววิทยา เมื่อได้มีการกำเนิด แกะดอลลี่ (Dolly) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกในโลกที่โคลนได้สำเร็จ แล้วตามมาด้วยความประสบความสำเร็จในการนำ เอ็มบริโอ นิก สเต็ม เซลล์ (embryonic stem cell) ของมนุษย์ออกมา เหมือนในความประสบความสำเร็จของโครงการ ศึกษา จีโนมมนุษย์ (the Human Genome Project) ซึ่งเสร็จเมื่อต้นศตวรรษใหม่นี้
ตั้งแต่สื่อได้แพร่ข่าวความสำเร็จเหล่านี้ พร้อมๆ กับการสนับสนุนที่กระตือรือร้นจากนักวิจัยที่เกี่ยวข้อง จึงสร้างความสนใจอย่างมากมายต่อสังคมเกี่ยวกับยุคใหม่ของการแพทย์ บางคนคาดว่ามันจะเป็นไปได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่จะเข้าใจในการรวมกันของ สเต็ม เซลล์ (stem cell), การโคลนนิ่งและวิศวพันธุกรรม การเพื่อผลิตเซลล์หรือผลิตทั้งอวัยวะ เพื่อทดแทนที่เสียไปจากโรค จากอุบัติเหตุ หรือจากอายุที่ชราขึ้น 
สำหรับหลายๆ คน มีความรู้สึกต่อคำว่า “สเต็ม เซลล์ /stem cells” ที่ทั้งน่าตื้นเต้นและน่ากลัว แต่ก็มีทั้งความไม่รู้และความหวังที่จะให้สามารถนำ สเต็ม เซลล์ (stem cell) มาใช้เร็วๆ นี้ รายงานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนการวิจัยใน สเต็ม เซลล์ (stem cell) เพื่อให้งานวิจัยที่ขึ้นกับชาติต่างๆ หรือรัฐบาลได้รับเงินจำนวนกว่าพันล้านดอลล่าร์เพื่อการศึกษาต่อไปในอนาคต
สเต็ม เซลล์ (Stem cell) ทำหน้าที่เป็นหน่วยซ่อมทางชีววิทยา ที่มีศักยภาพในการจะพัฒนาไปเป็นเซลล์ที่จำเพาะต่างๆ ในร่างกายได้มากมายหลายชนิด ตามทฤษฎีพวกมันสามารถที่จะแบ่งตัวได้ ปราศจากข้อจำกัดที่มาจากเซลล์อื่น เมื่อ stem cell แบ่งตัวแล้ว แต่ละ daughter cell สามารถที่จะเป็นได้ทั้ง สเต็ม เซลล์ (stem cell) และเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ซึ่งจะมีหน้าที่เฉพาะมากขึ้น เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์เลือด หรือเซลล์สมอง ขึ้นอยู่กับ สัญญาณทางชีวเคมี (biochemical signal) ที่มีอยู่ขณะนั้น การควบคุมขบวนการการแบ่งตัว (differentiation) นี้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการศึกษา stem cell 
ในขณะนี้ไม่มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับ สเต็ม เซลล์ (Stem cell) ทฤษฎี สเต็ม เซลล์ (stem cell) ถูกใช้มานานหลายทศวรรษ ทฤษฎีหนึ่งที่รู้จักกันดีคือการการ transplantation โพรงกระดูก เพื่อรักษาเม็ดเลือดขาวและเลือดชนิดอื่นๆ ที่ผิดปกติ มันทำงานได้เพราะโพรงกระดูกเป็น stem cell ของเลือด จนถึงปัจจุบันนี้การรักษาทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่จะใช้ adult stem cell ซึ่งที่มาของมัน หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่ามันมาจากเซลล์จากผู้ใหญ่ แต่ที่จริงแล้วมันมาจากเซลล์ร่างกายของทารก หรือจากตัวอ่อนที่ยังอยู่ในครรภ์ บางทีการเรียกว่า เซลล์ต้นกำเนิดร่างกาย (somatic stem cell) อาจจะเป็นชื่อที่ดีกว่าในการที่จะใช้เรียกเซลล์เหล่านี้
การที่จะสร้างเซลล์จำเพาะจาก somatic cell นั้นมีข้อจำกัด เอ็มบริโอในระยะขั้นต้น (early embryos) มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ในการที่จะเป็นแหล่งของเซลล์ทั้งหมด เพราะมันยังไม่มีความจำเพาะ embryonic stem cell (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกสั้นๆ ว่า ES cell) เป็น pluripotent คือพวกมันมีความสามารถที่จะ แบ่งตัว(differentiate) ที่จะเป็นเซลล์ต่างๆ ได้แทบจะทั้งหมดทุกชนิด
เซลล์ไลน์ของ ES cell ของมนุษย์ที่มีความเสถียรในการเพิ่มจำนวนเซลล์นั้น ถูกสร้างขึ้นในปี 1998 โดย นาย เจมศ์ ทอมสัน (James Thomson) จาก มหาวิทยาลัย วิคสคอลซิน (University of Wisconsin) วิธีการนั้นทำโดยการนำเอาเซลล์จากตัวอ่อนที่มีอายุ 1 อาทิตย์ หรือที่เรียกว่าอยู่ในระยะ บาสโตซีส (blastocyst) ซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกบอลเล็กๆ ประมาณ 50-100 เซลล์ และเลี้ยงพวกมันในจานเลี้ยงเซลล์ที่มีอาหารและ สารอาหารที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต (growth factor) 
ปัจจุบันเป็นปีที่ 7 นับจากเริ่มมีการศึกษา ES cell อย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่มีจำนวนเซลล์ไลน์น้อยกว่า 150 เซลล์ไลน์ที่สามารถผลิตได้ เพราะกระบวนการการสร้างพวกมันนั้นยากมาก มีเพียง 22 เซลล์ไลน์ที่ใช้อยู่ในการวิจัยที่สหรัฐฯ เพราะมีคำสั่งไม่ให้มีการใช้เซลล์ไลน์ ใน the National Institutes of Health ตั้งแต่เดือนกันยายน 2001 ในสมัย Bush ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีบดี ที่ที่หนึ่งที่สำคัญในการสร้างเซลล์ไลน์ที่ยังคงเหลืออยู่ คือธนาคารเซลล์ (cell bank) ในสหราชอาณาจักร ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเป็นที่สามารถแช่เย็นเพื่อเก็บเซลล์ และส่งเซลล์ไปยังนักวิจัยคนอื่นๆ 
ในความพยายามที่จะเหลียกเลี่ยงปัญหาด้านจริยธรรมในการสร้างตัวอ่อนมนุษย์เพื่อการวิจัยนั้น นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้พยายามที่จะใช้ ES cell เป็นแหล่งทางเลือก อีกวิธีการหนึ่งคือการศึกษา adult stem cell ที่มีการ differentiate ที่ยังน้อย และทำให้มันมีการพัฒนาที่ถอยหลังกลับ ซึ่งพวกมันจะมีลักษณะคล้าย pluripotent ES cell นอกจากนี้ยังมีทางอื่นๆ อีก เช่น การใช้วิธีทาง pathogenesis การกระตุ้นเซลล์ไข่มนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการปฏิสนธิ เพื่อให้มันมีการแบ่งตัวคล้ายตัวอ่อนในระยะต้น แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีความแน่ชัดว่าวิธีไหนที่จะถูกนำมาใช้อย่างเป็นประจำ 
เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยได้นำ ES cell ของมนุษย์มาเจริญเติบโตบนเซลล์ผิวหนังของหนูซึ่งเป็น feeder cells คือเซลล์ที่ยับยั้งการ differentiation ของเซลล์อื่น เพื่อไม่ให้เป็นเซลล์ที่จำเพาะ (specialized cells) นอกจากนี้พวกเขายังได้ใส่ซีรัมที่ได้จากเลือดของตัวอ่อนของวัวอีกด้วย โชคร้ายที่สารต่างๆที่ไม่ได้มาจากมนุษย์เหล่านี้ได้นำความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากโปรตีนของสัตว์เหล่านั้นและเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคด้วย ทำให้ stem cell ไม่สามารถนำมาใช้ในทางคลินิกได้ เช่น การเปลี่ยนอวัยวะ
ในปีนี้มีนักวิจัยหลายกลุ่มได้ประกาศถึงความสำเร็จในการใช้สิ่งประกอบต่างๆ จากมนุษย์ แทนที่มาจากสัตว์ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางท่านยังคงใช้อาหารเลี้ยงเซลล์ที่ยังคงมีสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ในการเลี้ยง ES cell เพื่อให้เซลล์โตและ differentiation แต่สิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ทำการจำกัดออกไปให้หมดได้ยาก
ES cell ไม่เหมือน adult stem cell เพราะมันไม่สามารถนำมาใช้ในการรักษาได้โดยตรง เพราะมันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เพราะเคยมีการทดลองฉีด ES cell ลงไปในหนูและศึกษาวิเคราะห์การเกิดเนื้องอก และพบว่ามีเนื้องอกเกิดมากขึ้น ดังนั้นในการรักษาจึงต้องมีการให้นักวิทยาศาสตร์ทำให้ ES cell differentiate ไปเป็นเซลล์ที่จำเพาะก่อนที่จะทำการเปลี่ยนอวัยวะให้แก่ผู้ป่วย เช่น เบต้าเซลล์ที่ผลิตอีนซูลินให้แก่ผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือเส้นประสาทที่ผลิต dopamine เพื่อรักษาผู้ป่วยโรค Parkinson และถ้าการสร้าง ES cell line ยากนั้นก็จะเป็นฝันร้ายต่อการ differentiate เพราะก็จะทำได้ยากนักวิจัยเพิ่งจะเข้าใจระบบสภาพแวดล้อมและการรวม growth factor และโปรตีนอื่นๆ เพื่อการเลี้ยง ES cell ให้เป็นเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อ และเซลล์ต่างๆ ที่จำเพาะได้อย่างมีความเสถียรมากขึ้น
จากการศึกษา ES cell ของหนูพบว่า มันมีโอกาสที่จะถูกนำมาใช้ในการรักษามนุษย์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นักวิจัยรอบโลกได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เพราะการรักษาที่มีเซลล์เกี่ยวข้องประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นักชีววิทยาเชื่อว่าโรคที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อเกือบทั้งหมดนั้นมีความซับซ้อมมากเกินที่จะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเพียงแค่การให้ยาหรือการให้ยีนแก่ผู้ป่วย เซลล์ที่มีชีวิตสามารถผลิตสาร biologically active molecule ได้จำนวนมากมายซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
แม้ว่ายังไม่มีการใช้ ES cell ในการรักษาทางคลินิก แต่ในการรักษาแบบอื่น เช่นการเปลี่ยนอวัยวะให้แก่มนุษย์ได้มีการนำเอามาใช้แล้ว เช่น ใน ubiquitous bone marrow transplant ซึ่งใช้ neural stem cell จากตัวอ่อนที่ยังอยู่ในครรภ์ เพื่อรักษาโรค brain disease และในการผลิตอินซูลินที่ใช้เบต้าเซลล์จากศพเพื่อรักษาโรคเบาหวาน จะถูกแทนที่ด้วยการใช้ ES cell เข้ามาช่วย แต่ในขณะนี้ต้องการงานวิจัยมากขึ้นเพื่อช่วยพิสูจน์การรักษา
นักวิจัยใน Es cell ต้องการความรู้มากมายในเรื่องต่างๆ เช่นวิธีการที่จะเอา ES cell ออกมา วิธีการจำแนก ES cell และเข้าใจในเรื่องการพัฒนาของมันดีขึ้น เข้าใจในการควบคุมและ differentiation และการเจริญเติบโตที่อยู่ภายในร่างกาย เข้าใจในระบบภูมิคุ้มกันที่ต่อต้าน ES cell หรือ differentiated ของมัน และสามารถเปรียบเทียบข้อดีระหว่าง ES cell กับเซลล์ร่างกาย (somatic cell) เพื่อในการใช้ประโยชน์
ในขณะที่มีการใช้ stem cell โดยตรงแก่ผู้ป่วยซึ่งเป็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากทั้งทางการเมืองและสังคม แต่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ ท่านกล่าวว่าประโยชน์ของทางการแพทย์ของพวกมันนั้นเป็นสิ่งที่ได้จากทางอ้อม เพื่อทำการศึกษาและวิจัยเพื่อหาการรักษาที่มีข้อดีที่ดีกว่า ถ้านักวิจัยสามารถหาสารเคมีที่มีความซับซ้อนและสัญญาณจากทางพันธุกรรมที่ควบคุมการเจริญเติบโตและ differentiation ของ stem cell ได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากมายแก่ด้านการแพทย์ ES cell ควรนำมาใช้เป็นตัวอย่างในการดู tissue development ซึ่งช่วยให้นักเคมีสามารถทดลองยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น ถ้า ES cell ที่ได้มาจากเอ็มบริโอที่มี cystic fibrosis ซึ่งเราสามารถหาได้จากการใช้ genetic screening เพื่อเปลี่ยนให้เป็น CF lung cells ได้ ก็จะเป็นการเกิดหน้าต่างใหม่เพื่อการศึกษาโรคและการทดสอบการรักษา สำหรับนักเคมีทางยา ซึ่งต่างจากนักชีววิทยานั้น มีความคิดเห็นในทางการแพทย์เพื่อการหายาชนิดใหม่ที่มีลักษณะเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่ผู้ป่วยสามารถกินได้โดยผ่านปากและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเอง เพื่อให้เกิดการซ่อมแซมทดแทน มากกว่าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกะการรักษาที่ใช้เซลล์
ในวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ยังคงไม่สามารถตอบได้อย่างแน่ชัดในการที่จะบอกถึงงานวิจัยด้าน stem cell และการพัฒนาการแพทย์ มันอาจจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองรุ่นอายุคนก่อนที่เราจะสามารถมีการใช้ประโยชน์จากการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับมาจากในช่วงปลายของปี 1990s 
เรื่องโดย คริฟ คุสสัน (Clive Cookson) (https://www.sciam.com/print_version.cfm?articleID=000AA485-7635-12B8-B5AE83414B7F0000)
เเปล Nattawut
อ้างอิง
https://www.sciam.com/print_version.cfm?articleID=000AA485-7635-12B8-B5AE83414B7F0000
https://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=27&Pid=25721
https://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=27&Pid=19884
https://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=27&Pid=5794
https://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=27&Pid=5638
https://image.pathfinder.com/time/2001/stemcells/images/stemcells.jpg


แหล่งที่มา : vcharkarn.com

อัพเดทล่าสุด