อะโวคาโด ( Persea americana Mill.) เป็นไม้ผลที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาแถบเม็กซิโก กัวเตมาลา และหมู่เกาะเวสอินดีส อะโวคาโดเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้ผลรับประทานกันมานานในอเมริกาและยุโรป เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ แต่ในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมบริโภคมากนักเนื่องจากประเทศไทยของเรานั้นมีผลไม้อยู่หลากหลายชนิด จึงมีทางเลือกการบริโภคผลไม้อีกมากมาย ทั้งนี้คนไทยนิยมบริโภคผลไม้ที่มีรสหวาน กลิ่นหอมนุ่มนวล ซึ่งรสชาติ และกลิ่นของอะโวคาโดไม่ได้อยู่ในความประทับใจของคนไทยเลย แต่เมื่อนำมาวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารเมื่อเทียบกับผลไม้อื่นพบว่า อะโวคาโดมีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น จึงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย ตาราง แสดงการวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น ชนิดของผลไม้ | น้ำ | โปรตีน | ไขมัน | คาร์โบไฮเดรต | เถ้า1 | พลังงานแคลอรี่/ น้ำหนักเนื้อ 1 กก. | อะโวคาโด | 76 - 85 | 0.8 – 1.7 | 4 - 20 | 1.5 –20 | 0.6 – 1.2 | 500 - 2205 | กล้วย | 75 | 1.2 | 0.2 | 20 | 0.8 | 1100 | ส้ม | 87 | 0.9 | 0.2 | 9 | 0.5 | 550 | แอปเปิ้ล | 84 | 0.3 | 0.4 | 11 | 0.3 | 640 | องุ่น(ยุโรป) | 80 | 0.8 | 0.4 | 15 | 0.5 | 770 | มะกอกดิบ | 75 | 1.5 | 14 | - | - | 1430 | แบล็คเบอรี่ | 85 | 1.2 | 1.1 | 6 | 0.5 | 440 | 1เถ้าประกอบด้วยแคลเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และแมกนีเซียม จาก Chatfield and Mclaughlin, 1931 เถ้าประกอบด้วยแคลเซียม เหล็ก โปแตสเซียม และแมกนีเซียม จาก Chatfield and Mclaughlin, 1931 1. เนื้อผลประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ประมาณ 4-20% แล้วแต่พันธุ์ โดยกรดไขมันในอะโวคาโด ร้อยละ 70 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิด monounsaturater fatty acid ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยช่วยลดปริมาณ LDL-cholesterol ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลเสียต่อร่างกายและเพิ่มปริมาณ HDL-cholesterol ในเลือดซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่เป็นผลดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจซึ่งเป็นประโยชน์ในการลดไขมันในเส้นเลือดคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงก็บริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ และใช้ลดน้ำหนักได้ดี เพราะปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจึงสามารถบริโภคผลไม้ชนิดนี้ได้ 2. น้ำมันอะโวคาโด (Avocado oil) เป็นน้ำมันสกัดจากเนื้อของผลอะโวคาโด เป็นน้ำมันที่ดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอัลมอนด์ และน้ำมันมะกอก ประกอบด้วยวิตามินอี กรดไขมัน linoleic และ oleic, phytosterol ใช้นวดศีรษะเร่งการงอกของผม น้ำมันนี้มีกลิ่นคล้ายเมล็ดถั่ว คงตัวดี น้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหารก็มีส่วนช่วยให้วิตามิน และสารอาหารที่ละลายในไขมันสามารถถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ สลัดผักจำพวกผักใบเขียว อย่างผักโขม เลตตูซ มะเขือเทศ และแครอท ที่ใช้น้ำมันสลัดที่ปราศจากไขมัน จะทำให้คาโรทีนอยด์ที่ละลายในไขมันซึ่งอยู่ในพืชผักเหล่านี้ไม่สามารถูกดูดซึมนำไปใช้ได้ ไขมันที่อยู่ในอะโวคาโดช่วยในการดูดซึมคาโรทีนอยด์ที่ช่วยต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไลโคพีนในมะเขือเทศ เบต้า-แคโรทีนในผักสีส้ม และลูทีนในผักใบเขียว 3. วิตามินสูง ประกอบด้วย วิตามิน เอ(เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน และโดยเฉพาะวิตามินอี ซึ่งเป็นสาร antioxidant ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ ในผู้ใหญ่ควรบริโภควิตามินอีอย่างน้อย 10 mg ต่อวัน ผู้หญิงในอเมริกาใต้และเม็กซิโกใช้ผลอะโวคาโดสดสำหรับบำรุงเส้นผมและผิวพรรณมานับพันปีแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ให้นำอะโวคาโดมาบดผสมกับกล้วยหอมสุข และน้ำผึ้ง ในอัตรส่วน 1:1:1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก คุณก็จะมีผิวพรรณที่ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา และยังใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญเพื่อการสกัดน้ำมันในอุตสาหกรรมทำเครื่องสำอางประทินผิวต่าง ๆ 4. อุดมไปด้วยแร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโซเดียม โพแทสเซียม โฟเลต ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอล โดยเฉพาะโฟเลตนั้น เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากโฟเลตเป็สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและสร้างเนื้อเยื่อของทารก คนไทยสมัยก่อนใช้กล้วยเป็นอาหารเลี้ยงทารก อะโวคาโดก็เช่นกันสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงทารกได้โดยอาจใช้เนื้ออะโวคาโดสุกป้อนเด็กทารกโดยตรงหรือผสมกับกล้วยน้ำว้าสุกอัตราส่วน 1:1 5. โปรตีนสูงกว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8 – 1.7 % โดยให้ค่า พลังงานความร้อนต่อร่างกายสูงแต่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเยื่อใยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ประโยชน์มากอย่างนี้หวังว่าคนไทยจะหันมาบริโภคอะโวคาโดกันมากขึ้น โดยสามารถนำอะโวคาโดมาจิ้มน้ำพริกแทนผัก ทำสลัด ไอศกรีม ซูชิ อะโวคาโด-ลอดช่องน้ำกะทิ ทาขนมปังแทนเนย รับประทานกับน้ำตาล รสหวาน มัน โรยเกลือป่นรสจะเค็ม ๆ มัน ๆ เราลองมาทำอาหารอร่อย ที่ปรุงง่ายจากอะโวคาโดกันดีกว่า AVOCADO BALL SALAD เครื่องปรุง กุ้งต้มสุก น้ำสลัดแบบฝรั่งเศส มายองเนส 6 ช้อนโต๊ะ อะโวคาโด 1 ผล น้ำมะนาวฝรั่ง (lemon หาซื้อได้ตามซูปเปอร์มาร์เก็ต) ผักสลัด หรือผลไม้ วิธีทำ 1. นำกุ้งต้มใส่ชามคลุกเคล้ากับน้ำสลัดฝรั่งเศสหมักล่วงหน้าไว้ 1 ชั่วโมง จากนั้นเทน้ำสลัดแยกออกไป แล้วนำมายองเนสมาคลุกกับกุ้งในชาม 2. ล้างผลอะโวคาโดให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ใช้มีดคมผ่าครึ่งผลตามแนวนอน แบ่งสองส่วนออกจากกันแล้วใช้ช้อนตักไอศครีมตักให้มีลักษณะกลม หรือแกะเม็ดออกบีบน้ำมะนาวชะโลมในผลอะโวคาโดแล้วตักส่วนผสมกุ้งกับมายองเนสใส่ลงไปกลางผล กะปริมาณพองาม นำลงวางบนจานแล้วแต่งด้วยผักสลัดที่จะรับประทานด้วยกัน AVOCADO SALAD PLATE ส่วนผสม เจลาติน (ไม่มีกลิ่น) 1 ช้อนชา น้ำสัปปะรด หรือน้ำเย็น 1/4ถ้วย อะโวคาโดสุก (1 1/2ปอนด์) 1 ผล น้ำมะนาว 2 ช้อนชา น้ำหัวหอม 1 1/2ช้อนชา (ถ้าชอบ) น้ำตาล 1/2- 1/4ช้อนชา (ถ้าชอบ) เกลือ 3/4ช้อนชา มายองเนส 3/4 ถ้วย วิธีทำ เลือกผลอะโวคาโดที่สุก และมีลักษณะดี นำมาปอกเปลือก แล้วมาบดผ่านตะแกรง เติมน้ำมะนาว น้ำตาลและเกลือ โรยผลเจลาตินลงในน้ำสับปะรด หรือน้ำเย็น ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วน้ำไปอุ่นในน้ำร้อนจนกระทั่งละลาย แล้วเติมมายองเนส คนให้เข้ากันดี นำไปราดบน อะโวคาโดที่เตรียมไว้ เสิร์ฟได้ทันที อโวกาโด – ลอดช่อง น้ำกะทิ ส่วนผสม อะโวคาโดลูกขนาดพอเหมาะ พร้อมรับประทาน ลอดช่อง ตัวสีเขียว น้ำกะทิสด น้ำตาลปี๊ป เกลือ วิธีทำ ผสมน้ำตาลปี๊ป และน้ำกะทิ เพื่อทำน้ำกะทิลอดช่อง ทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อต้องการเสิร์ฟ ให้นำอะโวคาโดมาผ่าครึ่ง นำเม็ดในออกใส่ลอดช่อง ราดด้วยน้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งได้ตามชอบ ไอศครีมอะโวคาโด - อะโวคาโดสุก 1 ผล
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 300 กรัม
- น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
- ผลไม้ตกแต่งตามชอบ เช่น มะม่วง สตอเบอรี่ ส้ม เป็นต้น
ไอศครีมอะโวคาโด - อะโวคาโดสุก 1 ผล
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 300 กรัม
- น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ
- ผลไม้ตกแต่งตามชอบ เช่น มะม่วง สตอเบอรี่ ส้ม เป็นต้น
วิธีทำ นำโยเกิร์ต 300 กรัมใส่ลงในถ้วย นำอะโวคาโดมาผ่าครึ่งแล้วควักเนื้อใส่ลงไปในโยเกิร์ต เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำไปใส่ในเครื่องปั่นทำไอศครีม ใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยผลไม้ตามต้องการ แหล่งที่มา : rdi.ku.ac.th |