อธิบายวิวัฒนาของส้วมในสังคมไทย และความน่าสนใจของส้วมที่คุณอาจไม่รู้
คุณรู้จักส้วม...ดีแค่ไหน?
นักเรียนครับ ลองนึกดูว่าในหนึ่งวันมีห้องใดในบ้านของเรา ที่เราต้องเกี่ยวข้องกับห้องนั้นมากที่สุด คงมีนักเรียนหลายคนตอบว่าห้องนอน ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น แต่มีอีกหนึ่งห้องที่เราไม่อาจละเลยความสำคัญของห้องนี้ได้เลยและคิดว่าทุกๆบ้านจะต้องมีห้องนี้ ห้องที่เรากำลังพูดถึงก็คือห้องส้วม เรารูจักกับห้องส้วมกันดีหรือยัง มาทำความรูจักกับห้องส้วมกันดีไหมครับ
ความหมายของคำว่าส้วม
ความหมายของ “ส้วม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต มีความหมายถึง ที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ(ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ที่อึและที่ฉี่”) ซึ่งคำว่า “ส้วม” เป็นคำเก่าแก่ที่ใช้กันมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์
จากหนังสือ "ส้วมและเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศไทย" ของมนฤทัย ไชยวิเศษ ได้แจกแจงความหมายของคำว่า "ส้วม" ไว้ดังนี้
คำว่าส้วมในภาษาล้านนามีความหมายว่า “หิ้งบูชา หรือที่นอนของพระ” โดยเฉพาะของเจ้าอาวาส ส่วนทางอีสานหรือลาว คำว่า “ส้วม” จะหมายถึง ห้องนอนของลูกสาวหรือเจ้าบ่าว-เจ้าสาวด้วย ส่วนคำอื่นที่มีความหมายว่าส้วม เช่น ห้องสุขา เวจ (เว็จ) ถาน (ส้วมของพระ) สีสำราญ และอุโมงค์ (สองคำหลังเป็นคำเรียกสถานที่ขับถ่ายของผู้หญิงที่อยู่ในวังหรือผู้หญิงชาววังที่มิใช่เจ้านาย) แต่สำหรับเจ้านายชั้นสูงหรือกษัตริย์จะใช้คำว่า “ห้องบังคน” เป็นคำที่มาจากภาษาเขมร ส่วนในปัจจุบัน คำว่า “ห้องส้วม” หรือ “ห้องสุขา” มักจะหมายถึง ห้องหับเล็ก ๆ ที่มิดชิด มีส่วนประกอบคือโถนั่งแบบชักโครก หรือส้วมที่ต้องนั่งยอง ๆ
คำว่า “สุขา” น่าจะมาจากชื่อของ ”กรมศุขาภิบาล” ที่ก่อตั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกสั้น ๆ ว่า “กรมศุขา” (มีความหมายถึง การบำรุงรักษาความสุข) และมีการเปลี่ยนคำเขียนเป็น สุขาภิบาล ดังนั้นห้องสุขาภิบาลหรือที่เรียกอย่างย่อว่า ห้องสุขา มีความหมายว่า "ห้องที่สร้างโดยสุขาภิบาลสำหรับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ" โดยมีหน่วยงานกรมศุขาภิบาลทำหน้าที่ในการรักษาความสะอาดของพระนครและป้องกันโรคระบาดในสมัยนั้น
หลักฐานในสมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา
วิวัฒนาการของส้วมในไทยมาเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับบุคคลชั้นสูง โดยเฉพาะกษัตริย์หรือเจ้านายที่มีอภิสิทธิ์ในการสร้างที่ขับถ่ายในที่พักอาศัย ราษฎรทั่วไปไม่อาจทำได้ โดยอาจกั้นห้องเป็นสัดส่วน มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ที่ลงบังคน หรือ ห้องบังคน เพราะเรียกอุจจาระของเจ้านายว่า บังคน เช่นกัน เจ้านายจะขับถ่ายลงในภาชนะรองรับ จะมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้นำไปทิ้ง ส่วนสถานที่ของส้วมหรือสถานที่ลงพระบังคน น่าที่จะอยู่ห่างจากพระราชมนเทียรพอสมควร เพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เขียนเล่าไว้เมื่อปี พ.ศ. 2231 ว่า
“ในประเทศสยามถือกันว่าเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติมาก ถ้าบุคคลใดได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่เทโถพระบังคล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะต้องนำไปเทลง ณ สถานที่อันกำหนดไว้เพื่อการนี้ และมียามเฝ้าระวังรักษาอย่างกวดขัน มิให้ผู้ใดอื่นกล้ำกรายเข้าไปได้ อาจเป็นเพราะความเชื่อถือโชคลางทางไสยศาสตร์ ซึ่งชาวสยามเชื่อว่าอาจมีผู้ทำกฤตยาคุณได้จากสิ่งปฏิกูลที่ถ่ายออกมาจากร่างกายนั้น”
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง แสดงการ “ไปทุ่ง” หรือ “ไปป่า” ของชาวบ้านสำหรับพระสงฆ์แล้วในพระธรรมวินัยกำหนดไว้ว่าจะต้องมีสถานที่ขับถ่ายโดยเฉพาะเช่นกัน เรียกว่า เวจ หรือ เวจกุฎี โดยมีลักษณะเป็นหลุมถ่ายก่ออิฐหรือหินหรือไม้กรุเพื่อไม่ให้ขอบหลุมพัง มีเขียงแผ่นหินหรือแผ่นไม้รอง ปิดทับหลุม เจาะรูตรงกลางสำหรับถ่ายอุจจาระ หรืออาจมีฝาทำจากไม้ อิฐ หรือหิน ในบางแห่งมีล้อมเป็นผนังให้มิดชิด
และสำหรับชาวบ้านทั่วไป จะเรียกว่าการไปขับถ่ายว่า “ไปทุ่ง” “ไปท่า” และ “ไปป่า” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านไม่มีสถานที่เฉพาะสำหรับการขับถ่ายภายในบ้านของตน จะถ่ายตามทุ่งหรือป่าหรือใกล้แหล่งน้ำ ชุมชนบ้านป่าเมื่อปวดท้องถ่าย จะเดินไปหาที่เหมาะ ๆ ในป่าเพื่อปลดทุกข์ ขณะชาวบ้านทุ่งก็ต้องเลือกป่าละเมาะหรือพุ่มไม้ในหรือสวนไร่นาของหมู่บ้าน อาจจะถือไม้ไปคอยไล่หมูไม่ให้เข้ามากวน ส่วนชาวชุมชนที่อยู่ใกล้น้ำก็อาศัยขับถ่ายบริเวณท่าน้ำหรือริมน้ำและสามารถใช้น้ำชำระล้างได้เลย
ยุครัตนโกสินทร์ :ในเขตพระมหามณเฑียร
ในพระราชพงศาวดาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้กล่าวถึงที่ลงพระบังคนว่า "ด้วยแต่เดิมหาได้ลงพระบังคน บนพระมหามณเฑียรเหมือนทุกวันนี้ไม่ ต่อเวลาค่อนย่ำรุ่ง ยังไม่สว่าง เสด็จไปที่ห้องพระบังคนหลังพระมหามณเฑียร" ทั้งนี้เป็นการค่อนข้างอันตรายหากจะเสด็จออกนอกพระมหามณเฑียรเพื่อลงพระบังคน ด้วยมีเหตุที่เคยมีคนร้ายจะลอบปลงพระชนม์ นับแต่นั้นมาจึงโปรดให้ทำที่ลงพระบังคนให้ปลอดภัยกว่าเดิมซึ่งก็น่าจะอยู่ภายในพระราชมณเฑียร ในสมัยรัชกาลที่ 2 ที่ลงพระบังคนที่พระตำหนักเดิมที่อัมพวา มีลักษณะเป็นหีบสี่เหลี่ยมหรือเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยมทึบ ทำด้วยไม้ ด้านบนเจาะเป็นช่องให้นั่งถ่าย ข้างในเป็นที่ว่างและสามารถเปิดด้านข้างได้ เพื่อเอากระโถนหรือกระทงใหญ่ ๆ ที่วางไว้ข้างใน ออกมานำไปเททิ้ง ที่ลงพระบังคนชนิดนี้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายและจะมีพนักงานเชิญลงไปทิ้งในน้ำ
สำหรับพระบรมมหาราชวังนั้นมีการสันนิษฐานตำแหน่งของที่ลงพระบังคน จากบทความ "ที่ลงพระบังคน" เขียนโดยจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ในนิตยสารสกุลไทย กล่าวว่า "ไม่เคยพบว่ามีหนังสือเล่มใดเขียนถึงที่ลงพระบังคน เป็นเพียงการเล่ากันต่อ ๆ มาว่า มีห้องเล็ก ๆ ข้างหลังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานมีไว้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเสด็จทรงลงพระบังคนซึ่งห้องสรงก็คงจะอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น"[9] เมื่อทรงลงพระบังคนแล้ว ก็จะมีพนักงานนำไปจำเริญ ซึ่งต่อมา โถลงพระบังคนของพระเจ้าแผ่นดินมักทำจากของมีค่า จะนำออกไปน่าจะมีปัญหา ภายหลังจึงโปรดให้พนักงานเตรียมทำกระทงไว้วันละ 3 ใบ เมื่อเสร็จพระราชกิจแล้ว เจ้าพนักงานเพียงเชิญกระทงไปจำเริญโดยวิธีลอยน้ำ
ต่อมาลักษณะและวัสดุของโถลงพระบังคนที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก ลักษณะและวัสดุของโถลงพระบังคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยทำด้วยทอง กะไหล่ทอง ทองคำลงยา ก็เปลี่ยนเป็นทำด้วยโถกระเบื้องเคลือบชนิดหนา ลักษณะเป็นโถปากกว้างมีหูจับ มีทั้งชนิดเคลือบสีธรรมดาและอาจมีลวดลายสวยงามต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้เล็ก ๆ เจ้านายบางพระองค์จะสั่งภาชนะ ที่เกี่ยวกับการสรงพระพักตร์ ล้างพระหัตถ์และถ่ายพระบังคน มาเป็นชุดเดียวกันและต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้สร้างพระราชวังดุสิตขึ้นนั้น ก็ทรงใช้วัฒนธรรมการขับถ่ายตามแบบยุโรป คือ ใช้ส้วมชักโครก
การจัดสร้างส้วมสาธารณะ
กรมสุขาภิบาลจัดสร้างส้วมสาธารณะที่กั้นแบ่งเป็นห้อง ๆ มีห้องประมาณ 5-6 ห้อง เป็นห้องแถวไม้ยาว มักตั้งอยู่บนถนนสายสำคัญซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนอยู่คับคั่ง เช่น ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และตามชุมชนวัด ทั้งบริเวณรอบวัด เช่น บริเวณหน้าวัดบรมธาตุ ข้างวัดกำโลยี่ ตรอกข้างวัดมหรรณ์ หรืออยู่ในวัด เช่น วัดบวรนิเวศ วัดราชบุรณะ นอกจากนี้ยังมีการจัดส้วมสาธารณะจำนวนมากใกล้กับบริเวณวังของเจ้านายและตามสถานที่ราชการ อย่างเช่น โรงพัก โรงพยาบาล เป็นต้น
รูปตัดของส้วมถังเทลักษณะส้วมสาธารณะในยุคแรกเป็นส้วมถังเท มีอาคารปลูกสร้างครอบไว้ ภายในมีฐานส้วมทำจากไม้ เจาะรูสำหรับนั่งขับถ่าย ข้างใต้มีถังสำหรับรองรับอุจจาระ ซึ่งจะมีบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐอย่าง “บริษัทสอาด” หรือ “บริษัทออนเหวง” เป็นผู้ทำหน้าที่จัดการเก็บและบรรทุกถังบรรจุอุจจาระและเปลี่ยนถ่ายถังใหม่ทุกวัน[7] รัฐมีนโยบายจะเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่ายของประชาชนโดยการสร้างเวจหรือส้วมสาธารณะในรูปแบบของส้วมแบบถังเทในเขตเมืองและในรูปแบบของส้วมหลุมในเขตท้องถิ่น และออกกฎหมายบังคับและมีบทบัญญัติลงโทษผู้ฝ่าฝืน ทำให้คนเมืองหลวงรู้วิธีการใช้ส้วมและเห็นความสำคัญ จนเริ่มมีผู้สร้างส้วมไว้ในบ้านตนเองภายในช่วงระยะประมาณ 10 ปี หลังการออกกฎหมาย
ในช่วงปี พ.ศ. 2460-2471 มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์จากสหรัฐอเมริกา เข้ามาช่วยเหลือทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยส่งเสริมการจัดสร้างส้วมในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคพยาธิปากขอ ซึ่งต่อมาคนไทยก็ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นส้วมรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเองที่เหมาะสมกับท้องถิ่นของไทย เช่น “ส้วมหลุมบุญสะอาด” ที่มีกลไกป้องกันปัญหาการลืมปิดฝาหลุมถ่าย และส้วมคอห่านทำงานร่วมกับระบบบ่อเกรอะบ่อซึม แก้ปัญหาเรื่องแมลงวันและกลิ่นเหม็นย้อนกลับมาของส้วมหลุมแบบเก่า ส้วมประเภทนี้ยังประหยัดน้ำ ราคาถูก และสามารถสร้างได้สะดวก ต่อมาส้วมคอห่านก็แพร่หลายแทนที่ส้วมหลุมในที่สุด และยังคงได้รับความนิยมจนปัจจุบันนี้
สมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมนโยบายด้านสุขอนามัย ในด้านการขับถ่ายและชำระร่างกายของประชาชนในส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ได้จัดทำหนังสือแบบเรียนของเด็ก เพื่อปลูกฝังด้านสุขอนามัย และทำให้ประชาชนเห็นความสำคัญและมีทัศนคติที่ดีต่อส้วม
ส้วมในบ้าน
ในระยะแรกที่ส้วมชักโครกเข้ามาในประเทศไทย คือช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2460-2490 ส้วมชักโครกคงมีเฉพาะตามวังและบ้านเรือนของผู้มีฐานะดีที่จบการศึกษาหรือเคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ ไม่ค่อยแพร่หลายสู่คนทั่วไป ต่อมาเริ่มมีผู้ใช้ส้วมชักโครกมากขึ้นในช่วงที่มีการก่อสร้างบ้านแบบสมัยใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งต้นทศวรรษ 2500 โถส้วมชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมและมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ประเทศไทยก็มีการส่งเสริมให้ประชาชนสร้างส้วมราดน้ำหรือส้วมคอห่านใช้ในบ้านอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2485 เป็นต้นมา และรัฐบาลโดยความร่วมมือจากองค์การยูซ่อมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2503[11] โดยเริ่มโครงการพัฒนาการอนามัยท้องถิ่น มีกิจกรรมสำคัญคือการสร้างส้วมและรณรงค์ให้ประชาชนถ่ายอุจจาระในส้วม
ในแผนพัฒนาสาธารณสุขฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2534-2539) กรมอนามัยได้ส่งเสริมให้ประชาชนเปลี่ยนรูปแบบจากส้วมซึมมาใช้เป็นระบบส้วมถังเกรอะ เหตุเพราะทางด้านมาตรฐานและสุขอนามัย กล่าวคือระบบส้วมซึม ถังส้วมสร้างด้วยอิฐ หรือวงของซีเมนต์ (วงของส้วม) เป็นถังส้วมที่น้ำ สามารถซึม เข้า-ออกได้ ถังจะเก็บกักสิ่งปฏิกูลและฝังลงในดิน โดยดินรอบ ๆ ถัง ทำหน้าที่กรองน้ำไหลออกจากหลุมส้วม และสารอินทรีย์ที่ไหลออกมากับของเหลวนี้จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในดินไปตามธรรมชาติ การไหลซึมออกได้ของน้ำนี้ จึงเรียกส้วมชนิดนี้ว่า "ส้วมซึม" ส่วนระบบส้วมถังเกรอะ ประกอบด้วย ถังเก็บกักของเสีย ฝังอยู่ในดิน ทำหน้าที่แยกของแข็งจากของเหลว เกิดการย่อยสลายอินทรีย์สาร วัสดุของถังเกรอะจะทำจากวัสดุที่ป้องกันน้ำซึมเข้าหรือออกจากถังได้ เพื่อเก็บกักน้ำเสียไว้ในถัง และจะเกิดการตกตะกอน รวมทั้งขบวนการย่อยสลายต่าง ๆ ในถัง และปล่อยของเหลวส่วนที่เป็นน้ำใสไปตามท่อสำหรับระบายออกจากถังเกรอะโดยเฉพาะ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2550 สำรวจการใช้ส้วมในครัวเรือน พบว่าใช้ส้วมซึม 87.3% ส้วมชักโครก 8.5% และอื่น ๆ 4.2 %
ประเภทของส้วมในประเทศไทย
ส้วมหลุม
เป็นส้วมรูปแบบแรกที่คนไทยใช้ ประกอบด้วยหลุมดิน โดยขุดเป็นหลุมกลมหรือหลุมสี่เหลี่ยม แล้วปลูกตัวเรือนครอบหลุมไว้ อาจใช้ไม้กระดาน ๒ แผ่นพาดปากหลุมสำหรับนั่งเหยียบ และเว้นช่องตรงกลางไว้สำหรับถ่ายทุกข์ หรือทำฐานโดยใช้แผ่นไม้กระดานมาปิดปากหลุมแล้วเจาะช่องสำหรับถ่าย ส้วมหลุมแบบนี้ต้องสร้างไว้ไกลจากบ้านพอสมควร เพราะมีกลิ่นเหม็น เมื่อหลุมเต็มก็กลบหลุม ย้ายไปขุดที่ใหม่
คนไทยสร้างส้วมหลุมลักษณะดังกล่าวใช้กันมาแต่โบราณ กระทั่งในยุคที่รัฐเข้ามาจัดการเรื่องส้วมของประชาชนนับตั้งแต่ทศวรรษ ๒๔๔๐ ส้วมที่กรมสุขาภิบาลแนะนำคือส้วมหลุมและส้วมถังเท
ส้วมหลุมที่มีลักษณะถูกต้องตามแบบของกรมสุขาภิบาลต้องมีฝาปิดและมีท่อระบายอากาศ อาจทำจากไม้ไผ่ทะลุปล้องให้เป็นท่อกลวง เจาะทะลุพื้นส้วมเป็นการลดกลิ่นเหม็นจากภายในหลุมส้วม
ส้วมถังเท
ลักษณะคล้ายส้วมหลุม แต่ใช้ถังวางไว้ในหลุมใต้ฐานไม้สำหรับรองรับอุจจาระของผู้ขับถ่าย ปรกติการเก็บและบรรทุกถังอุจจาระไปเททิ้งจะทำวันละครั้ง
บริษัทแห่งแรกในพระนครที่ดำเนินการรับจ้างขนเทอุจจาระคือ “บริษัทสอาด” ซึ่งตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ สมัยเริ่มดำเนินการในช่วงแรกตั้งอยู่ที่บางขุนพรหม กิจการของบริษัทสอาดดำเนินการมาประมาณ ๒๐ ปี ก็ได้ขายกิจการให้บริษัทออนเหวงทำต่อ บริษัทออนเหวงมีที่ตั้งอยู่แถวราชวงศ์ นับเป็นบริษัทรับขนเทอุจจาระรายใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เพราะรับเหมาสัมปทานเวจสาธารณะของกรมสุขาภิบาลและของประชาชนทั่วไป
ส้วมบุญสะอาด
ประดิษฐ์โดยนายอินทร์ บุญสะอาด ผู้ตรวจการสุขาภิบาลประจำอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๔ เป็นส้วมหลุมที่มีลักษณะพิเศษ คือฝาปิดหลุมส้วมมีลักษณะเป็นลิ้น และลิ้นนี้จะเข้าไปขัดกับประตูส้วม คนที่เข้าส้วมต้องใช้เท้าถีบ ให้ลิ้นที่เป็นฝาปิดนี้ไปขัดกับประตู และจะมีส่วนยื่นออกมานอกประตู คนข้างนอกเห็นก็จะรู้ว่ามีคนใช้ส้วมอยู่ เมื่อเสร็จกิจแล้วผู้ใช้ต้องปิดฝาหลุมไว้ดังเดิม ไม่เช่นนั้นประตูจะเปิดไม่ออก เป็นกลไกเพื่อป้องกันการลืมปิดฝาหลุมนั่นเอง
ส้วมคอห่าน
พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี) อดีตสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลพิษณุโลก เป็นผู้ประดิษฐ์ “ส้วมคอหงษ์ หรือ คอห่าน” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสวรรคโลกและจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลร่วมมือกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ทำโครงการปราบโรคพยาธิปากขอ และรณรงค์ให้ราษฎรทั่วประเทศใช้ส้วม
ส้วมที่ใช้กันในช่วงเวลานั้นเป็นส้วมหลุมและส้วมถังเท ซึ่งมีกลิ่นเหม็นและป้องกันแมลงวันได้ไม่ดี พระยานครพระรามได้คิดค้นลองทำส้วมหลายแบบ ในที่สุดได้ทดลองทำหัวส้วมที่ช่องปล่อยทิ้งของเสียด้านใต้โถมีลักษณะเป็นท่อกลมที่โค้งกลับขึ้นด้านบน จึงสามารถขังน้ำไว้ในคอท่อนั้นได้ ส้วมชนิดนี้ใช้น้ำราดให้อุจจาระตกลงไปในบ่อฝังอยู่ใต้ดิน แมลงวันตามลงไปไม่ได้เพราะติดน้ำกั้นอยู่ อุจจาระและน้ำในบ่อจะไหลซึมลงไปในดิน จึงเรียกวิธีการนี้ว่า “ส้วมซึม”
ระบบส้วมซึมในระยะแรกมีข้อเสียตรงน้ำอุจจาระที่ซึมสู่พื้นดินเป็นตัวการแพร่เชื้อโรคได้ ต่อมามีการปรับปรุงเป็นระบบบ่อเกรอะบ่อซึม โดยบ่อที่ฝังใต้ดินมักทำจากคอนกรีต แบ่งออกเป็น ๒ ห้องหรือมากกว่า ใช้สำหรับรับอุจจาระจากโถส้วม มีน้ำและแบคทีเรียเป็นตัวย่อยสลาย มีบ่อกรองที่เรียกว่าบ่อเกรอะ แล้วระบายน้ำสู่บ่อซึม ระบบนี้ดีกว่าบ่อซึมแต่ก็ยังไม่ปลอดภัยเต็มที่
หัวส้วมแบบคอห่านและระบบบ่อเกรอะบ่อซึม ซึ่งคนทั่วไปเรียกกันว่า “ส้วมซึม” ได้เข้ามาแทนที่การใช้ส้วมหลุม ส้วมถังเท ช่วยให้การขับถ่ายในส้วมมีความสะดวกสบายมากขึ้น ด้วยราคาค่าก่อสร้างที่ไม่แพงนัก และยังมีใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ส้วมชักโครก
ขุนนางชาวอังกฤษชื่อ เซอร์จอห์น แฮริงตัน เป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์ส้วมชักโครกรุ่นแรกขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๕๙๖ (พ.ศ. ๒๑๓๙) โดยมีถังพักน้ำติดตั้งสูงเหนือโถส้วม เมื่อกดชักโครกแล้ว ของเสียจะถูกส่งผ่านท่อไปยังถังเก็บ
กระทั่งปี ค.ศ. ๑๗๗๕ อเล็กซานเดอร์ คัมมิงส์ ได้พัฒนาส้วมชักโครกให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น โดยการดัดท่อระบายของเสียลงบ่อเกรอะเป็นรูปตัวยู จึงสามารถกักน้ำไว้ในท่อ เป็นตัวกันกลิ่นของเสียไม่ให้ย้อนขึ้นมาได้ นับเป็นต้นแบบของชักโครกที่ใช้งานในปัจจุบัน
ส้วมชักโครกแบบนั่งราบเริ่มแพร่หลายในเมืองไทยมากขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เรียกว่าชักโครกเพราะสมัยก่อนถังพักน้ำติดตั้งสูงเหนือโถ เวลาชักคันโยกปล่อยน้ำลงมาจะมีเสียงดังมาก น้ำจะไหลลงมาชำระให้อุจจาระลงไปสู่ถังเก็บกักอุจจาระที่เรียกว่าเซ็ปติกแทงก์ (Septic Tank)
ส้วมชักโครกยุคปัจจุบันได้รับการพัฒนาทั้งด้านการออกแบบให้มีรูปทรงสวยงาม ทันสมัย และเทคโนโลยีการใช้งาน เช่นเรื่องการประหยัดน้ำ ระบบชำระล้างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เสียงเบาลง หรือมีระบบอัตโนมัติต่าง ๆ มากมาย
มาตรฐานส้วมไทย
และจากการสุ่มสำรวจส้วมสาธารณะในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2549 สุ่มสำรวจส้วมจำนวนกว่า 6,149 แห่ง ในพื้นที่ 12 จังหวัด อาทิ นนทบุรี ลพบุรี ชลบุรี ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น กำแพงเพชร ฯลฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2549 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีส้วมที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานสูงถึง 5,993 แห่ง มีปัญหาเรื่องความสะอาด 90% ที่พบมากคือ ถังขยะไม่มีฝาปิด ไม่มีกระดาษชำระหรือสายฉีดน้ำ และไม่มีสบู่ล้างมือ ปัญหาเรื่องความพอเพียงพบ 76% ส่วนใหญ่ไม่มีส้วมสำหรับผู้พิการ ผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์ ส่วนเรื่องความปลอดภัยพบปัญหา 69% ไม่มีการแยกส้วมชาย-หญิง พื้นไม่แห้ง และส้วมตั้งอยู่ในที่เปลี่ยว
ส้วมสาธารณะในประเทศไทยยังไม่เอื้ออำนวยต่อคนพิการ กรมอนามัยเปิดเผยว่า จากการสำรวจส้วมสาธารณะใน 20 จังหวัด จำนวน 1,100 แห่ง เมื่อปี 2547 พบว่ามีส้วมคนพิการเพียง 10% คือสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น สถานที่ราชการ สถานีขนส่งทุกประเภท โรงแรม สวนสาธารณะ ร้านอาหาร สนามกีฬา สถานบันเทิง และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น ไม่มีส้วมสำหรับคนพิการ[21] และส่วนใหญ่ถ้ามีก็ไม่สามารถใช้งานได้ มักใส่กุญแจไว้ หรือใช้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแทน จึงเป็นความยากสำหรับคนพิการในการเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์ขอให้ทุกสถานที่จะต้องมีส้วมสำหรับคนพิการอย่างน้อย 1 ห้อง
การส่งเสริมและรณรงค์
ในปี พ.ศ. 2548 ทางกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาส้วมสาธารณะไทย โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายหลัก 11 ประเภท อาทิ สถานที่ราชการ โรงเรียน โรงพยาบาล ศาสนสถาน สวนสาธารณะ สถานีบริการน้ำมัน ตลาดสด ฯลฯ ด้วยการวางกรอบการพัฒนาไว้ 3 ประเด็น คือ สะอาด เพียงพอ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน หรือมีคำย่อว่า "HAS" ซึ่งมาจากคำว่า Healty Accessibility และ Safety
ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ งานประชุมส้วมโลก 2006 หรือ World Toilet Expo & Forum 2006 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ที่อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี โดยจะมีผู้แทนจาก 19 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมนี ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม เข้าร่วม ซึ่งเป็นงานที่มีการอภิปรายหาแนวทางการแก้ปัญหาเรื่อง “การพัฒนาส้วมสาธารณะ” รวมถึงมีการจัดนิทรรศการแสดงส้วมไทย และส้วมแปลก ๆ ที่มีความสร้างสรรค์ใหม่ ๆ งานครั้งนั้นยังเป็นการสร้างความตระหนักให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง หันมาดูแลส้วมสาธารณะให้ดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนั้นกรมอนามัยได้มีโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับส้วมสาธารณะ เช่นโครงการสายสืบส้วม (Toilet Spy) เป็นโครงการที่มีอาสาสมัคร ตัวแทนประชาชนในการเฝ้าระวัง ดูแล ตรวจตราและแจ้งเบาะแสส้วมทั้งที่ได้มาตรฐานให้กรมอนามัยทราบและดำเนินการ[26] และอีกโครงการของกรมอนามัย คือโครงการพัฒนาส้วมสาธารณะไทย พ.ศ. 2549-2551 โดยตั้งหลักชัยอยู่ที่ 3 คำสำคัญคือ สะอาด เพียงพอ และปลอดภัย มีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กรมการปกครอง กรมอุทยานแห่งชาติ และกลุ่มธุรกิจผู้ค้าน้ำมัน
วัฒนธรรมเกี่ยวกับส้วม
การใช้ส้วมของคนไทย
วัฒนธรรมการใช้ส้วมของคนไทยนั้นแต่เดิมคนไทยจะใช้ท่านั่งยอง ๆ ในสมัยก่อนก็เหมาะกับลักษณะการบริโภคอาหารของคนไทยที่มักกินอาหารประเภทที่ย่อยง่าย กากใยสูง ใช้เวลาไม่นานก็ยังไม่ทันเป็นตะคริว ก็ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย ส่วนฝรั่งการนั่งยอง ๆ เป็นการไม่สะดวกเพราะอาหารส่วนใหญ่ เป็นเนื้อทำให้ต้องใช้เวลานาน ในระบบขับถ่ายจึงต้องนั่งแบบโถนั่งเหมือนเก้าอี้ ซึ่งพฤติกรรมในปัจจุบันได้เปลี่ยนไป เป็นแบบตะวันตกมากขึ้น เราจึงเห็นส้วมนั่งยอง ๆ มีน้อยลง ในขณะที่ส้วมแบบโถนั่งชักโครก มีจำนวนเพิ่มขึ้นทั้งในเมืองและในส่วนภูมิภาค[31] ซึ่งก็มีคนไทยบางส่วนมีความเคยชินกับการใช้ส้วมแบบนั่งยอง ๆ และพบว่า 22% จะใช้เท้าเหยียบลงบนที่นั่งบนส้วมแบบชักโครก
ส่วนเรื่องการต่อคิวส้วมสาธารณะ ในบ้านเรามักจะต่อคิวเข้าแถวเป็นห้อง ๆ แต่ในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ เขาจะเข้าคิวเดียวตรงทางเข้าเลย พอห้องไหนว่าง คนแรกในแถวก็เข้าไป การเข้าแบบนี้มีข้อดีหลายอย่างคือ ไม่ต้องรอนานและเป็นไปตามสิทธิ คือ มาก่อน เข้าก่อน
สำนวนไทย
มีสำนวนภาษาไทยที่ใช้ส้วมในคำเปรียบเปรย ซึ่งมีความหมายในแง่ลบ ในสำนวนโบราณ "เป็นขี้เจ็ดเว็จ" มีความหมายว่า "เกลียดที่สุด" เปรียบกับขี้ซึ่งเป็นของน่าเกลียด "เว็จ" หมายถึงส้วม ลำพังขี้เพียงนิดเดียวคนก็เกลียดแล้ว ถ้ามีจำนวนมากถึง "เจ็ดเว็จ" ก็มีความหมายว่า ยิ่งเกลียดมากขึ้น
และยังมีการนำห้องส้วม ในการเปรียบเปรยสิ่งที่น่ารังเกียจ คนโบราณนำไปเปรียบเปรยกับลูกผู้หญิงว่า "มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน" กล่าวคือห้องส้วมนั้นส่งกลิ่นเน่าเหม็นอยู่แล้วหากอยู่หน้าบ้านก็จะส่งกลิ่นเหม็นประจานเจ้าของได้ตลอดเวลา เปรียบกับลูกสาวบ้านไหนหากเผลอไม่ดูแลให้ดีก็อาจจะสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่พ่อแม่ เช่นการท้องไม่มีพ่อหรือท้องก่อนแต่งซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย
ส้วมในงานประพันธ์
ในส่วนการประพันธ์ มีการเอ่ยถึงส้วมอยู่บ้าง ทั้งในวรรณคดีและบทเพลง จากวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มีกล่าวถึงส้วมอยู่ 2 ตอน คือ ขุนช้างใส่ความขุนแผนว่า เป็นกบฎต่อพระพันวษา ข้อหาหนึ่งในจำนวนนั้นคือ ซ่องสุมผู้คนและบังอาจทำส้วมไว้ในที่อยู่ คือ การมีส้วมอยู่บนบ้านซึ่งสมัยก่อน ไม่นิยมเอาส้วม หรือ "เว็จ" มาไว้ในตัวบ้าน ดังที่ว่า
มันปลูกตำหนักป่าพลับพลาแรม ค่ายป้อมล้อมแหลมเป็นหน้าฉาน
ตั้งที่ลงบังคนชอบกลการ นานไปก็จะเกิดกลีเมือง
อีกตอนหนึ่งนางวันทองตัดเป็นตัดตายขุนแผน ตอนหึงนางลาวทอง นางเอกที่หัวใจสลายเพราะผัวรักอย่างวันทอง ยังระบายออกมาด้วยความคั่งแค้นว่
ประเด็นอภิปราย
- นักเรียนคิดว่าส้วมมีความสำตัญต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเราอย่างไร ?
- นักเรียนคิดว่า ส้วมมีความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว อย่างไร
การบรูณาการกับสาระการเรียนรู้อื่น
นักเรียยน สามารถเชื่อมโยงความรู้ได้กับ
- กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาในประเด็นประโยชน์ของห้องส้วม
- ภาษาไทย ในเรืองสำนวนไทยและคำประพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกับส้วม
อ้างอิงจาก
https://www.dek-d.com/
https://th.wikipedia.org/
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=128