ศึกษาเรื่องราวทางศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อเป็นฐานความรู้ และประโยชน์เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์จริง
สืบเนื่องจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ให้ความอนุเคราะห์ สนับสนุนงบประมาณ เพื่อให้นักเรียนได้ไปทัศนศึกษา โดยเน้นการไปศึกษาแหล่งประวัติศาสตร์ แหล่ง โบราณคดีแหล่งทรัพยากรธรณี ที่จะเสริมกับการเรียนการสอนจึงขอความร่วมมือ จาก สพท.ได้ทำความเข้าใจกับโรงเรียนเพื่อดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูง (ที่มา พบกันทุกวันอังคาร กับเลขากพฐ. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา)
จากที่เราได้ตามรอยการสร้างเมืองของพญามังราย ที่แผ่ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ จนมาถึง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เวียงที่พระองค์ต้องอสุนีบาตสวรรคตลง
เนื้อหาสำหรับ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (บูรณาการ) สำหรับนักเรียน ครู ผู้สนใจใฝ่รู้ทั่วไป
จุดประสงค์ในการศึกษาเรียนร้
- เพื่อความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล
- เพื่อความ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของดนตรี ที่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล
- เพื่อความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล
สาระการเรียนรู้
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่..ศูนย์กลางอารยธรรมจักรล้านนา
ดอยสุเทพเป็นศรี ... ประเพณีเป็นสง่า ... บุปผาชาติล้วนงามตา ... นามล้ำค่านครพิงค์
(คำขวัญ จังหวัดเชียงใหม่ )
หลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลายๆอย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ เวียงกุมกาม แต่เวียงกุมกาม ก็มีภูมิประเทศไม่สมบูรณ์ มีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย นั่นก็คือ พ่อขุนรามคำแหง แห่ง สุโขทัย และ พญางำเมือง แห่ง พะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่ใหม่ และสร้างเมืองใหม่ ที่ชื่อว่า นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ป็นเมืองที่มีชัยภูมิที่ดีตามตำรา การสร้างเมือง
ในอดีตเชียงใหม่มีฐานะเป็นราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย
ตั้งแต่ พ.ศ. 1839-2101 เมื่อพ่อขุนมังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว ได้ทรงปกครองและประทับอยู่เมืองนี้ตลอด พระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นนักรบ นักปกครอง และอาจจะกล่าวว่าพระองค์เป็นนักพัฒนาก็ได้ ด้วยทรงเป็นผู้นำในการสร้างบ้านเมืองหลายเมือง ด้านการปกครอง มีการตรากฏหมายที่เรียกว่า มังรายศาสตร์ ในสมัยนี้สันนิษฐานว่า พ่อขุนมังรายจะทรงปกครองเฉพาะเมืองเชียงใหม่ เท่านั้น ส่วนเมืองอื่นเช่นเมืองเชียงราย เมืองหริภุญไชยนั้น คงแต่งตั้งให้ราชโอรสหรือข้าราชการขุนนางที่มีความสามารถไปปกครองแทน และพระองค์ก็ได้ต้องอสุนีบาต สวรรคต ณ นครพิงค์ แห่งนี้
กษัตริย์องค์สำคัญพระองค์หนึ่ง ของล้านนาไทย คือ พระยาติโลกราช ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1984 - 2030 พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจึงทำให้ยุคนี้มีการสร้างวัดวาอารามกันมาก นอกจากนี้ก็มีการทำสงครามระหว่าง อาณาจักรอยุธยา หรือกับ พม่าสงครามนี้ยังผลให้ล้านนาไทยอ่อนกำลังและเสียรี้พลเป็นจำนวนมาก ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสียเอกราชแก่พม่าในที่สุด ในสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง
หลังจากที่ยึดเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ในระยะแรกนี้พม่ามิได้เข้ามาปกครองโดยตรง แต่ได้แต่งตั้งให้พระเมกุฏิเจ้าเมืองเชียงใหม่ ปกครองบ้านเมืองตามเดิม ในฐานะเมืองประเทศราชของพม่าซึ่งเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง จะต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินปีละ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อย จะต้องส่งส่วยเป็นสิ่งของตามที่พม่าต้องการ เช่น ช้าง ม้า น้ำรัก เครื่องแพรพรรณต่างๆ และจะต้องจัดหากำลังคน เสบียงอาหารช่วยพม่าในยามเกิดศึกสงคราม เชียงใหม่ถูกปกครองโดยพม่ามานานกว่าสองร้อยปี
จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้มีการทำสงครามเพื่อขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่และเชียงแสนได้สำเร็จ โดยการนำของเจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้าน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ พระยาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการครองเมืองเชียงใหม่ พระยากาวิละครองเมืองลำปาง
พม่ายังพยายามยึดเชียงใหม่กลับคืนโดยยกกองทัพเข้าเมืองมาหลายครั้ง พระยาจ่าบ้านป้องกันเมืองเชียงใหม่อย่างเข้มแข็ง แต่ในที่สุดก็รักษาเมืองไว้ไม่ได้เพราะผู้คนมีน้อยและอยู่ในสภาพอดอยาก และช่วงปลายสมัยธนบุรี เชียงใหม่ถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้างรวมทั้งเมืองอื่น ๆ ในล้านนาไทยด้วย
อิทธิพลของพม่าในล้านนาไทยถือว่าสิ้นสุดลงในสงครามขับไล่พม่าปี พ.ศ. 2347 โดยกองทัพเชียงใหม่นำโดย พระเจ้ากาวิละ รวมกับกองทัพฝ่ายไทยยกไปตีเมืองเชียงแสนซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของพม่าสำเร็จ การฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่เริ่มตั้งแต่ตั้งเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2339 จนถึงขับไล่พม่าออกไปจากล้านนาไทย
ในปี พ.ศ. 2347 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการรวบรวมพลเมืองเข้ามาในเมืองเชียงใหม่ เป็นยุคที่เรียกว่า "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" พระยากาวิละกวาดต้อนชาวเมืองเชียงใหม่ที่หลบหนีเข้าป่าให้กลับสู่เมือง และเริ่มกวาดต้อนผู้คนจากสิบสองปันนา ไทยใหญ่ ไทยลื้อ ไทยเขิน และยอง ผู้คนที่กวาดต้อนมามีหลายชนิดเข้าใจว่าเป็นช่างฝีมือหรือไพร่เมืองชั้นดีให้ตั้งถิ่นฐานในตัวเมือง เช่น เขิน ที่ถนนวัวลาย ส่วนไพร่ที่ไม่เป็นช่างฝีมือจะไว้นอกเมือง เช่น เขินที่สันทราย ยองที่ลำพูน ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนมาก็จะตั้งชื่อหมู่บ้านของตนตามชื่อบ้านเมืองเดิมที่ตนถูกกวาดต้อนลงมา เช่น เมืองวะ เมืองเลน เมืองขอน เมืองกาย พยาก เป็นต้น
ในสมัยพระยากาวิละเชียงใหม่จึงพ้นจากสภาพเมืองร้าง และยังมีการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ใน รูปแบบต่างๆ เช่น ราชประเพณี โดยการกระทำพิธีราชาภิเษก สถาปนาราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ขึ้นปกครอง สืบต่อจากราชวงศ์มังราย การทำนุบำรุงพุทธศาสนา โดยสร้างวัด พระพุทธรูป การสร้างกำแพงเมืองขึ้นใหม่
นับว่าพระยากาวิละและเจ้านายบุตรหลานได้สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงแก่เมืองเชียงใหม่ และล้านนาไทยยิ่ง การปกครองเชียงใหม่ในยุคนี้ เป็นในรูปแบบปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือในฐานะประเทศราชของสยาม และราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ หรือ ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน ซึ่งเป็นเชื้อสายของพระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองต่าง ๆ สืบต่อมา
สะพานนวรัตน์ในอดีต (ขั้วเหล็ก)
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองประเทศราช และมีการจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลเรียกว่า มณฑลพายัพ หรือ มณฑลลาวเฉียง
ต่อมาเชียงใหม่ได้มีการปรับปรุงการปกครองและมีฐานะเป็น จังหวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงปัจจุบันที่มา
เชียงใหม่ในปัจจุบันถือได้ว่ายังคงเป็นศูนย์กลางของจังหวักภาคเหนือตอนบน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยว ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาอาศัยปะปนกันไป ในตัวเมืองเชียงใหม่คนที่เป็นคนเชียงใหม่จริง ๆ นั้นมีค่อยข้างน้อยลง ผู้คน ตึกรามบ้านช่อมเริ่มหนาแน่น มีการขยายทางการจารจรเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะเหมือน มหานครอย่างกรุงเทพไปทุกวัน
ประตูเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน ประตูเมืองเชียงใหม่ในอดีต
สภาพเชียงใหม่ในปัจจุบันยังคงมีร่องรอยทางวัฒนธรรมหลงเหลือจารึก ไว้เป็นอนุสรณ์ เป็นหลักฐานของการสร้างเมือง ที่แลกมาด้วยเลือดและชีวิตของบรรพบุรุษผู้กล้าล้านนา ก็คงเป็นหน้าที่ของ จิตสำนึก การตระหนัก และเห็นคุณค่า ของประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ที่เป็นมรดกของบรรพชนที่ สืบมาจนยุคนี้
ปี๋ใหม่เมืองในอดีต ปี๋ใหม่เมืองวันนี้
หรือโลกาภิวัฒน์ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ รวมไปถึง ระบบความคิด ทัศนคติ ค่านิยมของผู้คนในยุคนี้ ที่แปรเปลี่ยนไปตามกัน
สอดคล้องมาตรฐานสาระการเรียนรู้ศิลปะ
มาตรฐาน ศ ๑.๒ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล
มาตรฐาน ศ ๒.๒ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของดนตรี ที่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล
มาตรฐาน ศ ๓.๒ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล
คำถามสานต่อความคิด
- เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในเชียงใหม่ มีประเด็นใดที่ให้ความสนใจศึกษาเพิ่มเติม
- เราจะมีวิธีการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน ให้ลึกซึ้งได้อย่างไร
- ปัจจัยใดที่ทำให้ศิลปวัฒนธรรม ได้รับการถ่ายทอด องค์ความรู้ที่สืบต่อกันมา
- แนวทาง หรือ วิธีการใดที่จะทำให้ศิลปวัฒนธรรม ได้รับการธำรงไว้ซึ่งคุณค่าต่อไป
- ปัจจัยใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม และศิลปวัฒนธรรม
- จำเป็นหรือไม่ที่เราต้อง ศึกษาเรียนรู้ ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ และศิลปวัฒนธรรมต่างชาติ
- ทิศทาง และลักษณะของเมืองจากปัจจุบัน ไปสู่อนาคตจะป็นเช่นไร และเราต้องการให้เป็นเช่นไร
เชื่อมโยงในองค์ความรู้
ภาษาไทย การอ่าน การเขียนเรียงความ
สังคมฯ ศึกษาความเป็นมาของ ประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิศาสตร์
วิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อมรอบตัว
เพิ่มเติมเต็มกันและกัน
- จัดกิจกรรมทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา
- เชิญวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้
- แนะนำแหล่งศึกษาเรียนให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติม
- นำภาพย้อนอดีตมาให้นักเรียนได้มีโอกาสเห็น แล้วฝึกวาดแบบแรเงา
- จัดกิจกรรมการแสดงละครบทบาทสมมุติ ละครอิงประวัติศาสตร์
- ศึกษาการเปลี่ยนแปลงวิถีทางสังคม ที่มีผลต่อวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรม
- จัดแสดงนิทรรศการ นำเสนอผลงาน
- ศึกษา รับชม รับฟัง การแสดงและการบรรเลงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ
อ้างอิงข้อมูล
www.baanjomyut.com
www.wikipedia
ที่มา : https://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=458