10 ยาและการรักษาสุดแปลกที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
กว่าการแพทย์จะพัฒนาก้าวหน้าจนสามารถหาวิธีรักษาโรคร้ายได้อย่างในปัจจุบัน ล้วนเคยผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจากในอดีต และก็เป็นธรรมดาของการลองผิดลองถูกเมื่อสุดท้ายจะได้พบว่า วิธีการที่แพทย์คิดว่ามีประสิทธิภาพที่สุดแล้วในเวลานั้นกลายเป็นวิธีที่ใช้ไม่ได้ผลหรือเลวร้ายที่สุดในปัจจุบัน กระปุกดอทคอมขอถือโอกาสนี้พาท่านไปเปิดโลกการแพทย์ยุคเก่า กับ 10 ยาและการรักษาทั้งแปลกและโหดที่เคยเกิดขึ้นในโลกแห่งการแพทย์ จาก เว็บไซต์ cracked.com ที่เรานำมาฝากกัน
1. ยากล่อมเด็กหลับสูตรผสมยาเสพติดนานาชนิด (Children's Soothing Syrups)
การเลี้ยงเด็กน้อยเป็นเรื่องยุ่งยากไม่เบา บรรดาแม่ ๆ หรือใครก็ตามที่ต้องเลี้ยงเด็กย่อมรู้ดี ในช่วงศตวรรษที่ 19 จึงได้มียากล่อมเด็กที่จะช่วยให้พ่อหนูแม่หนูตัวน้อย ๆ นิ่งสงบหลับปุ๋ยอย่างน่าเอ็นดูออกมาวางขายในชื่อที่แสนน่าฟังว่า "Soothing Syrup" หรือ "น้ำเชื่อมกล่อมหลับ" ซึ่งที่จริงก็มีออกมาทั้งรูปแบบเป็นยาน้ำและแบบลูกอม ที่หลอกล่อให้เด็ก ๆ กินได้ดีนักเชียว
น้ำเชื่อมกล่อมหลับกลายเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับครอบครัวที่มีเด็กไปโดยปริยาย จนกระทั่งในปี 1910 หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ก็เป็นตัวตั้งตัวตีออกมาชี้ข้อมูลว่า การใช้ยานี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ดีต่อเด็กในระยะยาวแน่ ๆ เนื่องจากสารที่ทำให้ยาน้ำเชื่อมรสหวานมีฤทธิ์กล่อมหลับได้ล้วนมาจากสารเสพติดอันตรายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีน ซัลเฟต, คลอโรฟอร์ม, มอร์ฟีน ไฮโดรคลอไรด์, โคเดอีน, เฮโรอีน, ผงฝิ่น และกัญชา แถมยากล่อมหลับบางยี่ห้อก็ผสมสารเสพติดฤทธิ์กล่อมประสาทพวกนี้ลงไปตั้งหลายตัว ..ถึงว่าสิ ใช้กับเด็กแล้วได้ผลดีชะงัดนัก ว่าแต่กลัวหนูน้อยทั้งหลายจะติดยางอมแงมเสียก่อนโตสิน่า
2. ปรอทรักษาโรค (The Curative Powers of Mercury)
เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปในปัจจุบันว่า ปรอท เป็นสารอันตราย ทว่าครั้งหนึ่งในอดีต ปรอทกลับถูกยกให้เป็นสารวิเศษที่สามารถรักษาโรคได้สารพัดชนิด หกล้มหัวเข่าถลอกให้เอาปรอททาบาง ๆ หรือขับถ่ายมีปัญหาให้กินยาผสมปรอท !! และอีกนานาสารพัดความเจ็บป่วยที่ใช้ปรอทในการบำบัด สมมติว่าหากคุณเกิดเมื่อสัก 100 ปีที่แล้ว ก็คงจะได้ผ่านการใช้ปรอทในการรักษาความเจ็บป่วยมาบ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน
ทว่าในที่สุดแพทย์ก็ได้พบความจริงว่า แม้ปรอทจะดูคล้ายช่วยรักษาโรคได้ แต่ไม่นานบุคคลเหล่านั้นก็จะตายลงจากพิษปรอทสะสม โดยร่างกายที่ได้รับพิษของปรอทสามารถแสดงอาการเจ็บหน้าอก หัวใจและปอดทำงานผิดปกติ ไอ ตัวสั่น กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการทางจิต เริ่มเห็นภาพหลอน และมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย หรือถ้าไม่ฆ่าตัวตายก็เจ็บป่วยทรมานจากพิษปรอทจนวาระสุดท้ายของชีวิต คิด ๆ แล้วก็โชคดีที่เกิดมาพร้อมการแพทย์สมัยใหม่ ไม่ต้องหลงใช้สารพิษรักษาโรค
3. ยาแก้ไอใส่เฮโรอีน (Calm Your Cough with Heroin)
สมัยนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่า "เฮโรอีน" เป็นยาเสพติดให้โทษร้ายแรง แต่ถ้าย้อนกลับไปในยุคศตวรรษที่ 19 สมัยวิคตอเรียน คนยุคนั้นไม่ได้ตระหนักถึงโทษของมันเลย แถมยังนำมันมาใช้แบบเชิดหน้าชูตาในฐานะ "ยาแก้ไอ" อีกต่างหาก และดูท่าว่าจะได้รับความนิยมไม่เบา เพราะหมู่ชาววิคตอเรียนนั้นแคร์เรื่องมารยาทยิ่งกว่าสิ่งใด หากไปออกงานสังคมแล้วมัวแต่ไอแค่ก ๆ จนหัวสั่นหัวคลอนจะแลดูไม่งาม จึงต้องพึ่งยาแก้ไอที่ระงับอาการไอระคายคอได้ชะงัดนัก แต่ใช้ไปใช้มาก็จะดันพบว่าตัวเองติดยาแก้ไองอมแงม เพราะฤทธิ์ของเฮโรอีนที่ผสมอยู่นั่นเอง
โดยบริษัทผู้ผลิตยาแก้ไอใส่เฮโรอีนออกมาวางจำหน่ายเป็นเจ้าแรก ก็คือบริษัทยาชื่อดังระดับโลกจากเยอรมนี "ไบเออร์" (Bayer) ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยให้ความร่วมมือกับบริษัทวิจัยเคมี อิก ฟาร์เบน (IG Farben) สนับสนุนการทดลองของเหล่าทหารนาซี รวมถึงจัดหาก๊าซพิษให้เพื่อใช้ในการรมพิษฆ่าหมู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่สองด้วย
4. ช็อตไฟฟ้ารักษานกเขาไม่ขัน (Electrical Impotence Cures)
อาการนกเขาไม่ขันของคุณผู้ชายเปรียบเสมือนฝันร้าย แต่วิธีการรักษานกเขาที่ไม่ยอมขันด้วยการช็อตไฟฟ้าเป็นนั้นเป็นฝันร้ายยิ่งกว่า แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่บุรุษในยุคศตวรรษที่ 19 ผ้ประสบปัญหาบนเตียงต่างเชื่อกันจริง ๆ จัง ๆ ว่ากระแสไฟฟ้าจะช็อตเจ้าโลกให้ตั้งเด่ชูชันขึ้นมาได้ ถึงขนาดมีหลายเจ้าแข่งกันผลิต "เข็มขัดคล้องไข่ใช้ไฟช็อต" (electric dick-shock belt) ออกมากมาย ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้นก็ไม่น่าถาม... ถ้ายังได้ผลดี ป่านนี้คงมีขายกันอยู่เกลื่อนกลาดแล้วล่ะ
หากคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีภาวะซึมเศร้า เครียด หรืออาจเข้าข่ายป่วยทางจิต ขอให้รีบไปพบจิตแพทย์เสีย จงคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่เจ็บป่วยด้วยอาการเหล่านี้ในยุคที่การแพทย์เจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว เพราะหากเป็นเมื่อช่วงยุค ค.ศ. 1940 ล่ะก็ คุณอาจถูกส่งตัวไปรักษาด้วยการทำ "โลโบโทมี่" (Lobotomy) วิธีผ่าตัดสุดสยองที่ใช้แท่งโลหะจิ้มผ่านเบ้าตา เอาค้อนตอกให้มันทิ่มลึกไปถึงสมอง แล้วกวัดแกว่งแท่งโลหะนั้นไปมา นัยว่ากำลังทำการผ่าตัดกำจัดสมองส่วนที่เป็นปัญหาออกไป
ผู้ป่วยที่ถูกส่งไปรักษาตัวด้วยวิธีการนี้ มีตั้งแต่คนที่ป่วยจิตเภทบ้า ๆ บอ ๆ ไปจนถึงคนที่มีอาการของโรคซึมเศร้าและเครียด หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่ดื้อด้านก้าวร้าวผิดปกติ ก็จะถูกส่งไปรักษาด้วยวิธีนี้ด้วยเช่นกัน
การรักษานี้เป็นที่นิยมมากในช่วงครึ่งแรกของยุคศตวรรษที่ 20 แล้วจึงค่อย ๆ เสื่อมซาลงไปหลังมีคนพบว่า มันไม่ได้ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางสมองได้จริงสักหน่อย แต่อย่างไรก็ดีมีคนไข้ที่ผ่านการรักษาด้วยการผ่าตัดสมองผ่านสองเบ้าตาไปแล้วกว่า 70,000 ราย ยิ่งไปกว่านั้น อันโตนิโอ อีกัส โมนิซ (Antonio Egas Moniz) ศาสตราจารย์ชาวโปรตุเกสผู้คิดค้นวิธีการรักษานี้ขึ้นมา ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขารางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ไปครองเมื่อปี 1949 ด้วย
6. ชโลมผิวด้วยฉี่ (Urine Therapy)
เวลาได้ทาโลชั่นหอม ๆ แล้วช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายแถมสบายตัวอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่คนยุคก่อนเชื่อยิ่งกว่า คือ การนำน้ำปัสสาวะมาทาชโลมร่างกายจะช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคได้สารพัด ซึ่งถ้ามีฉี่มากพอจะนอนแช่ไปทั้งตัวเลยก็ได้ (หากทนกลิ่นไหว) นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะดีต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีกหากได้ดื่มฉี่ของตัวเอง แถมการเอาน้ำปัสสาวะมาสวนทวารจะช่วยชำระล้างพิษภายในได้ดีนักเชียว
ทว่าไม่ใช่แค่คนยุคก่อนเท่านั้นที่เชื่อเช่นนี้ ขอบอกว่านี่เป็นวิธีรักษาที่ยังถูกใช้มาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่เคยมีผลการศึกษาจริง ๆ จัง ๆ ออกมายืนยันถึงประสิทธิภาพของก็ตาม ว่าแต่อยากลองทำตามดูบ้างไหมล่ะ ?
7. หลั่งเลือดรักษาโรค (Bloodletting)
การรักษาความเจ็บป่วยไม่สบายกายต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นกับผู้คนในยุคศตวรรษที่ 19 มีวิธีการง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ยา แค่เอามีดกรีดแขนให้เลือดเสีย ๆ ไหลออกมาบ้างก็เท่านั้นเอง !!
วิธีการหลั่งเลือดรักษาโรคมีต้นกำเนิดมาจากชาวกรีกและใช้กันเรื่องมาจนถึงยุคศตวรรษที่ 19 โดยทฤษฎีโบราณอันเป็นหลักการรักษากล่าวไว้ว่า ในตัวเรานั้นมีของเหลวอยู่ 4 อย่าง คือ เลือด เสมหะ น้ำดีเหลือง และน้ำดีดำ ร่างกายที่แข็งแรงจะมีปริมาณของเหลวทั้งสี่นี้ในระดับสมดุล แต่หากเจ็บป่วยลงเมื่อไร เป็นไปได้ว่าในตัวมีปริมาณเลือดมากเกินไปจนเป็นพิษ เพราะมันไปเบียดสมดุลของเหลวตัวอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการกรีดนำเลือดเสียเหล่านั้นออกมา
หากเจ็บป่วยแล้วจะลองรักษาดูด้วยการหลั่งเลือดบ้างก็คงไม่เสียหาย (มั้ง !?) โอเค คุณอาจรู้สึกตัวหวิว ๆ เบา ๆ แต่คงนั่นไม่ใช่ความเจ็บป่วยได้อันตรธานไป แต่เป็นอาการหน้ามืดเพราะเสียเลือดมากต่างหากล่ะ ว่าแล้วถ้าอยากเสียเลือดมากขนาดนี้ ก็ไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลเลยจะดีกว่านะ
8. ยาลดความอ้วนสูตรไข่พยาธิ (Hard Core Diet Remedies)
ถึงสมัยก่อนนู้นจะนิยมสาวอวบอิ่ม (ไม่เชื่อลองดูภาพหญิงสาวจากงานเขียนของศิลปินในยุคก่อน ๆ จะออกแนวเจ้าเนื้อกันทั้งสิ้น) แต่พอเขยิบมาถึงเข้ายุคศตวรรษที่ 20 ปุ๊บ กระแสผู้หญิงผอมสวยก็นำเทรนด์ขึ้นมาแทน (และยังนำโด่งมาจนถึงทุกวันนี้) จนทุกสาวทุกนางต่างสรรหาสารพัดวิธีที่จะทำให้ตัวเองผอมได้ และแล้ว "ยาลดความอ้วน" ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา บางขนานกินแล้วช่วยให้ผอมได้จริง แต่ก็ทิ้งผลข้างเคียงไว้เป็นอาการหน้ามืด ใจสั่น ตาบอด ไปจนถึงเสียชีวิต (เหมือนยาลดความอ้วนยุคนี้เปี๊ยบ) แต่สิ่งที่เอ็กซ์ตรีมสุด ๆ นั้นเกิดขึ้นในยุค 20-30 เมื่อเขาวางขายยาลดความอ้วนจากไข่พยาธิและพยาธิตัวตืดอบแห้ง นัยว่ากินเลี้ยงพยาธิไว้ในท้องสักฝูงแล้วก็สามารถกินอะไรได้ตามใจปาก เพราะมีพยาธิช่วยสลายความอ้วนให้อีกต่อ ฟังดูออกจะน่ากลัวแต่นี่ดันกลายเป็นจุดขายที่ดี ถึงขนาดมีใบโฆษณาประกาศหราว่า "ยาลดความอ้วนยี่ห้อนี้ดีจริงเพราะมีไข่พยาธิ" ..แล้วก็เป็นที่ดึงดูดใจสาว ๆ มากเสียด้วย !
9. เจาะกะโหลกรักษาโรค (Trepanation)
การเจาะกะโหลกรักษาโรคหรือเทรเพเนชั่น (Trepanation) อาจฟังดูคล้าย ๆ การผ่าตัดสมองในยุคปัจบัน ที่ต้องมีการเปิดกะโหลกออกเพื่อลงมือทำการผ่าตัด ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก ก็คือการทำเทรเพเนชั่นนั้นเขาไม่นิยมใช้ยาสลบ ลงมือเจาะกันสด ๆ ด้วยสว่าน หมุน ๆ ควง ๆ ให้ทะลุกะโหลกศีรษะ สมัยก่อนเชื่อว่าพอเจาะกะโหลกออกจะช่วยลดความดันในกระโหลกศีรษะได้ เป็นวิธีการรักษาโรคลมชักและไมเกรน ซึ่งวิธีนี้ถูกใช้ในการรักษาอาการปวดหัวหรือความเจ็บป่วยที่เชื่อว่ามีเหตุมาจากสมองมาตั้งแต่ยุคของชาวเผ่ามายันและอินคาด้วย
ส่วนในยุคใกล้เคียงปัจจุบันก็มีผู้ให้การสนับสนุนการรักษาโรคด้วยการเจาะกระโหลกอยู่เหมือนกัน เขาผู้นั้นคือ นายฮิวโก้ บาร์ท ฮิวเจส บรรณารักษ์ชาวดัตช์ ซึ่งก่อนหน้าเคยศึกษาโรงเรียนแพทย์ แต่โดนไล่ออกก่อนเสียที่จะเรียนจบเนื่องจากถูกพบว่าเสพกัญชา นายฮิวโก้ผู้นี้เชื่อว่า การเจาะรูที่กะโหลกช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดี ส่งผลดีต่อร่างกายและช่วยรักษาโรคทางจิตได้ด้วย ซึ่งเขาได้ลงมือเจาะกะโหลกศีรษะตัวเองในปี 1965 เพื่อทดสอบทฤษฎีที่ตนตั้งขึ้น อย่างไรก็ดีนายฮิวโก้เสียชีวิตลงในปี 2004 จากอาการของโรคหัวใจ ไม่เกี่ยวข้องกับการมีรูที่กระโหลกแต่อย่างใด
10. ไวเบรเตอร์บำบัดฮิสทีเรียในผู้หญิง (Female Hysteria Cures)
หนึ่งพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคฮิสทีเรียคือการแสดงอาการอันสื่อถึงการเชื้อเชิญทางเพศ ซึ่งนับเป็นเรื่องบัดสีและคอขาดบาดตายร้ายแรงมากสำหรับผู้หญิงในยุควิคตอเรียน เพราะสังคมได้กำหนดให้พวกเธอต้องเป็นสตรีที่ดีงาม มีความรักนวลสงวนตัว แล้วเมื่อสาว ๆ ยุควิคตอเรียนเธอป่วยเป็นโรคฮิสทีเรียขึ้นมา จะต้องทำอย่างไรกันล่ะนี่ ?
คำตอบคือเธอก็ต้องบากหน้าไปหาหมอนั่นล่ะ ซึ่งสิ่งเดียวที่หมอในยุคนั้นใช้บำบัดรักษาหญิงผู้มีความต้องการทางเพศสูง ก็คือใช้นิ้วของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ นวด ๆ กด ๆ กระตุ้นไปจนระบายความอัดอั้้นของเธอออกมาได้ แต่จะให้รักษาคนไข้ด้วยอาการนี้บ่อย ๆ เข้าก็คงจะเมื่อยมือกระมัง ประกอบกับกุลสตรีฮิสทีเรียก็คงจะลำบากใจไม่น้อยถ้าจะต้องไปหาหมอบ่อย ๆ ด้วยอาการนี้ จึงได้มีการคิดค้นไวเบรเตอร์ขึ้นมา เป็นอุปกรณ์ช่วยสั่นเอาไว้ใช้งานแทนการใช้มือ ช่วยให้พวกเธอระเบิดความต้องการออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งมือใคร ซึ่งจะว่าไป วิธีนี้ก็ยังถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่ใช่ในแง่ของการรักษาก็ตามทีเถอะ
ทั้งยาและการรักษาแต่ละวิธีแสนจะแปลกประหลาดพิลึกกึกกือขนาดนี้ อ่านแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเรานั้นช่างโชคดีเสียจริง ๆ ที่ได้เกิดมาในยุคปัจจุบันอย่างตอนนี้เนอะ ^^"
ที่มา : https://www.cracked.com/article_15669_the-10-most-insane-medical-practices-in-history.html