คงมีคนไม่น้อยที่หาเช้ากินค่ำ เร่งรีบ จนจู่ๆวันหนึ่งมีใบสั่งส่งมาถึงบ้านว่าได้ทำผิดกฏจราจรไป แต่พอแลเห็นตัวเลขค่าปรับแล้วก้ต้องอุทานหาตัวเงินตัวทองกันเลยทีเดียว เพราะเงินจำนวนนั้น มันค่าแรงของทั้งวัน หรืออาจจะ 2-3 วันรวมกันเสียอีก
คงมีคนไม่น้อยที่หาเช้ากินค่ำ เร่งรีบ จนจู่ๆวันหนึ่งมีใบสั่งส่งมาถึงบ้านว่าได้ทำผิดกฏจราจรไป แต่พอแลเห็นตัวเลขค่าปรับแล้วก้ต้องอุทานหาตัวเงินตัวทองกันเลยทีเดียว เพราะเงินจำนวนนั้น มันค่าแรงของทั้งวัน หรืออาจจะ 2-3 วันรวมกันเสียอีก ทีมงานสยามนิวส์ต้องขอออกตัวก่อนว่า เราไม่สนับสนุนให้ใครทำผิดกฏจราจร หรือทำผิดกฏหมาย แต่หากการกระทำนั้นเรามั่นใจว่ามันไม่ยุติธรรมแล้วหละก็ วันนี้เรามีวิธีแก้เผ็ดแบบเจ็บแสบ ตามสำนวนกฏหมายเพื่อไม่ให้เราผู้หาเช้ากินค่ำถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไป
โดยทางเฟซบุ๊ก Chokchai Superluck ได้ชี้แจง แตกประเด็นกรณีที่ นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายคนดังในโลกโซเชียลได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการกวดขันจราจร โดยมีเนื้อหาใจความว่า…
ใครโดนใบสั่งจากกล้องวงจรปิดควรฟังไว้!!!… ผมบอกเลยว่าเรื่องนี้ดีมีประโยชน์มากๆ สักวันหนึ่งคุณอาจได้ใช้มันยาวหน่อยน่ะทนอ่านให้จบแล้วจะพบคำตอบ!!!
กลายเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ใช้รถใช้ถนนในขณะนี้ ภายหลังกองบัญชาการแบบตำรวจนครบาล (บชน.) มีคำสั่งให้ทุกสน.ในพื้นที่ใช้กล้องถ่ายรูปตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมายจราจร
โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา และเฉพาะในวันแรกมีผู้กระทำผิดมากกว่า 1,600 ราย แต่ผู้กระทำผิดจะต้องไปชำระค่าปรับภายใน 7 วัน หากไม่ไปตามเวลาที่กำหนด
เจ้าหน้าที่จะส่งจดหมายตอบรับไปยังที่อยู่ และจะต้องไปชำระค่าปรับภายใน 30 วัน ซึ่งถ้าหากไม่ดำเนินการ ทางเจ้าหน้าที่จะส่งข้อมูลไปยังกรมการขนส่งทางบกเพื่อทำการงดเว้นต่อทะเบียนรถเป็นการชั่วคราว และเมื่อเดินทางไปชำระค่าปรับจะต้องจ่ายเงินค่าเสียค่าปรับช้าอีก 1,000 บาท และค่าปรับตามใบสั่งซึ่งจะสอดรับกับการแก้ไขกฎหมายใบสั่งใหม่ด้วยนั้น
ล่าสุด นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายคนดังในโลกโซเชียลได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า “เห็นความพยายามของตำรวจ ที่บังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มแข็งเหลือเกิน ผมเห็นด้วยกับการใช้กล้องและเทคโนโลยีแทนเจ้าพนักงานจราจร (บางอย่าง) แก้ไขการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ถูกต้อง และการโต้เถียงของประชาชนได้
เพราะกล้องไม่โกหก ยกเว้นตำรวจมั่ว ส่งหมายใบสั่งผิดบ้าน แต่การออกมาตรการบังคับให้ไปชำระค่าปรับภายใน 7 วัน หากล่าช้าจะต้องชำระค่าปรับล่าช้าเพิ่ม 1,000 บาท และอายัดทะเบียนไว้ สำหรับผม ผิดก็ว่าไปตามผิด ผิดก็ต้องมีหน้าที่จ่ายค่าปรับตามกฎหมาย แต่ไม่เห็นด้วยกับการบังคับให้ชำระค่าปรับล่าช้าอีก 1,000 บาท รวม 1,500 บาท
มันโหดร้ายเกินไปใหมครับ แต่ตำรวจได้ค่าปรับ และเปอร์เซ็นต์ค่าปรับเพิ่มอีก 3 เท่า จาก 500 เป็น 1,500 ภายในเวลา 30 วัน มันจะน่าเกลียดไปไหมครับ 1,500 ซื้อนมลูกได้ทั้งเดือน
ท่านจะรีบใช้เงินไปไหน ใจเย็นๆ ให้เวลาชาวบ้านหายใจบ้าง ถ้าสมมุติว่า ชาวบ้านที่โดนใบสั่งทั้ง 1,600 คน ลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธีการทางกฎหมาย และใช้สิทธิทางศาลบ้าง
แทนที่จะยอมชำระค่าปรับ 500 หรือ 1,500 บาทในกรณีล่าช้า รวมใจรวมตัวกันเดินเข้า โรงพักแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า ไม่ชำระค่าปรับที่โรงพัก แต่จะไปสู้ในชั้นศาล หรือชำระค่าปรับที่ศาลแทน ถ้ามีสักเดือน ละ 1,000 คน งานคงล้นมือตำรวจ และพนักงานอัยการแน่นอน ลองดูไหมครับ ความผิดลหุโทษ ไม่ต้องประกันตัว เดินถือใบสั่งที่ตำรวจส่งไปให้ทางไปรษณีย์ แล้วบอกพนักงานสอบสวนว่า ขอไปต่อสู้ (ในกรณีไม่ผิด) หรือไปชำระค่าปรับที่ศาลแทน เมื่อไปถึงศาล ถ้าผิดก็รับสารภาพ ศาลก็ปรับ ครึ่งหนึ่งของ 500 บาท คงเหลือ จ่ายค่าปรับที่ศาลเพียง 250 บาท ไม่เสียค่าปรับล่าช้า ไม่ถูกอายัดทะเบียน เพราะถือว่าชำระค่าปรับตามคำพิพากษาแล้ว และที่สำคัญเงินค่าปรับในศาล ตำรวจจะไม่ได้เปอร์เซ็นแม้แต่สตางค์แดงเดียว อย่าบีบบังคับประชาชนเกินไปนะครับ
ผมเชื่อว่า ถ้ามีคนลุกสู้และใช้วิธีนี้ ตำรวจนั่นแหละครับที่จะเหนื่อยจนไม่ต้องทำงานอย่างอื่น เผลอๆ คดีขาดอายุความเพราะฟ้องไม่ทัน เสียงบประมาณซื้อกล้อง และงบประมาณพิมพ์ใบสั่งเปล่าๆ
ถ้าใครสนใจ ก็ลองรวมกลุ่มกัน พูดคุยกันดูนะครับ ผมพร้อมเป็นที่ปรึกษาให้ รวมทั้งเป็นทนายให้ ในกรณีไม่ผิดด้วย อย่าใช้กฎหมายรังแกประชาชนจนทนไม่ได้ ถ้าเห็นด้วยกับแนวคิดผม ช่วยกันแชร์ต่อด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ถูกเสียค่าปรับ คือการปฏิบัติตามกฏจราจร แต่หากทำแล้วยังซวยอยู่อีกก็สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ได้ ทีมงานสยามนิวส์เห็นใจทุกๆท่านที่ต้อง เสียเงินจากหยาดเหงื่อแรงงาน ที่กว่าจะหามาได้แต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น แต่ต้องมาเสียไปจากความผิดพลาดที่เราเองยังคาดไม่ถึง
ข้อมูลและภาพจาก : siamnews