พระราชดำรัสเพื่อความสงบสุข รู้แพ้รู้ชนะ เลิกทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนกันเสียที


1,207 ผู้ชม

ตอนนี้เรากำลังจะมีนายกฯคนใหม่แล้ว หากจะมาจากคนเก่าก็ไม่ถือว่าสืบทอดอำนาจ เพราะลงสนามการเลือกตั้งฟอกขาวบริสุทธิ์มาแล้ว แต่ไม่ว่าใครจะมา...


ตอนนี้เรากำลังจะมีนายกฯคนใหม่แล้ว หากจะมาจากคนเก่าก็ไม่ถือว่าสืบทอดอำนาจ เพราะลงสนามการเลือกตั้งฟอกขาวบริสุทธิ์มาแล้ว แต่ไม่ว่าใครจะมา ก็ถึงเวลาที่ประเทศชาติจะต้องเดินหน้ากันแล้ว ต้องร่วมแรงร่วมใจกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อประเทศชาติที่เป็นของทุกฝ่ายและทุกคน และความสงบสันติเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้ายังขัดแข้งขัดขาก่อกวนไม่รู้จักจบ ประเทศก็ไปไหนไม่ได้ มีแต่จะถอยหลังให้คนอื่นเขาแซงขึ้นหน้าไปหมด

ฉะนั้นความสงบสุขของสังคม จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนในชาติปรารถนา หวังว่ายังคงจำกันได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ มีพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสอยู่เสมอในเรื่องความสงบสุขของบ้านเมือง อย่างเช่น ในการเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี ๒๕๕๑ ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

“…ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้า เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงเท่านั้นที่จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ยิ่งกว่าส่วนอื่น…”

พระราชดำรัสเพื่อความสงบสุข รู้แพ้รู้ชนะ เลิกทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนกันเสียที

ซึ่งแนวทางในการสร้างความเจริญมั่นคงเป็นปกติสุขในบ้านเมืองนั้น ก็ทรงพระราชทานพระราโชวาทและพระราชดำรัสมาหลายครั้งแล้ว เช่น

“…ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้…”

พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๖
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๒

“…ข้อสังเกตที่ประทับใจข้าพเจ้าในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศต่างๆเหล่านี้ ข้อหนึ่งนั้นก็คือ ประเทศไหนประชาชนพลเมืองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี มีระเบียบวินัยดี ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี ยิ่งมีความสมัครสมานกลมเกลียวกันมาก ก็ยิ่งเจริญมาก จึงเห็นได้ว่าความสามัคคีกลมเกลียวกันระหว่างคนในชาติ และความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยนี้แหละ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่จะช่วยนำประเทศชาติสู่ความวัฒนาถาวร ข้าพเจ้าใคร่ขอฝากข้อคิดนี้ไว้แก่ท่านทั้งหลายด้วย…”

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสเสด็จออกให้ประชาชนเฝ้าฯ
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๐๔

พระราชดำรัสเพื่อความสงบสุข รู้แพ้รู้ชนะ เลิกทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนกันเสียที

“…คนไทยนำตัว นำชาติให้รอดพ้นอันตราย และเจริญเป็นอิสระมาโดยตลอดได้ ด้วยอาศัยความเพียรพยายาม คือพยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเครื่องทำลายตัว ทำลายผู้อื่น พยายามลด พยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้น ให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น ความเพียรที่ชอบ ๔ สถานนี้ เป็นข้อที่ควรศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล แต่ละคนจะเป็นสุขขึ้น และเจริญขึ้น ทั้งในฐานะความเป็นอยู่ ทั้งในความคิดจิตใจ…”

พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์
เพื่อให้อ่านในการประชุมสามัญประจำปี วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๒๖

“…การทำความสงบนั้น ต้องเริ่มที่ภายในตัวในใจก่อน เมื่อภายในสงบ ความคิดจิตใจก็ตั้งมั่น สามารถคิดอ่านด้วยเหตุผล ความละเอียดที่รอบคอบ และสามารถค้นหา จำแนกข้อเท็จจริง ถูกผิด ดีชั่วได้โดยกระจ่างและถูกต้อง…”

พระบรมราโชวาทพระราชทานไปอ่านในพิธีเปิดประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศครั้งที่ ๑๘ณ สำนักงาน ก.พ. วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๓๐

“…คนที่จะรักษาความเป็นไทยได้มั่นคงที่สุด ดีและเหมาะสมที่สุด ไม่มีใครอื่นนอกจากคนไทย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งใด คนไทยมีหน้าที่ต้องรักษาความเป็นไทยเสมอ ทั้งทางวัตถุ ทางจริยธรรม และภูมิปัญญา…”

พระบรมราโชวาทพระราชทานสมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์ วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗

“…ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้ แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบาย ความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้…”

พระราชดำรัสในโอกาสที่คณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนักเรียนทุนพระราชทาน เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙

“…คนไทยเรานั้น แท้จริงมีนิสัยจิตใจดี เป็นนักต่อสู้ เป็นคนซื่อตรง ขยันขันแข็งและอดทน เป็นคนรักเผ่าพันธุ์พวกพ้องและบ้านเกิดเมืองนอน แต่ละคนจะต้องหยิบยกเอาคุณสมบัติเหล่านี้ที่มีอยู่ในตัวขึ้นมาปฏิบัติให้ได้ผล โดยถือว่าทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อประเทศชาติอยู่ด้วยกันทั้งนั้น…”

กระแสพระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่
วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๓

“…ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน แก้ปัญหา เพราะว่าอันตรายมีอยู่เวลาคนเราเกิดความบ้า เ ลื อ ด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่ากรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งสิ่งปรักหักพัง…”

พระราชดำรัสเมื่อครั้งที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้า ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๓๐ น.

แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่า ทำอย่างไรที่จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ซึ่งทรงตรากตรำทำงานเพื่อความสุขของคนทั้งชาติมาตลอด ๖๓ ปีที่ครองราชย์

ที่สำคัญ ความสงบสุขของคนทั้งชาติ เป็นหน้าที่ของเราทุกคนแล้ว…

ภาพ : พล.อ.สุจินดาและ พล.ต.จำลองเข้าเฝ้าหลัง “พฤษภาทมิฬ”

ขอบคุณแหล่งที่มา : เรื่องเก่าเล่าสนุก

อัพเดทล่าสุด