“โรงเรียนดี” ไม่สำคัญเท่ามี “พ่อแม่ดี”


3,575 ผู้ชม

การเอาใจใส่ดูแลของพ่อแม่ มีผลต่อความสำเร็จทางการเรียน มากกว่าการเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงดี


ผลวิจัยชี้ “โรงเรียนดี” ไม่สำคัญเท่ามี “พ่อแม่ดี”

การเอาใจใส่ดูแลของพ่อแม่ มีผลต่อความสำเร็จทางการเรียน มากกว่าการเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงดี

เชื่อว่าพ่อแม่หลายต่อหลายคน เป็นกังวลไม่น้อยเรื่องการพยายามสรรหาโรงเรียนที่ดีให้กับลูกๆ ของตัวเอง พ่อแม่หลายคนพยายามให้ลูกได้เข้าโรงเรียนอินเตอร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีค่าเล่าเรียนราคาแสนแพง เนื่องจากคัดสรรครู ที่มีคุณภาพชั้นดี หรือ มีอุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน หรือไม่ก็พยายามให้ลูก กวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนชื่อดัง เป็นโรงเรียนเก่าแก่ ที่มีอัตราการแข่งขันสูง รับเด็กได้จำนวนจำกัด เพราะคิดว่า นี่คือการรับประกันความสำเร็จในอนาคตของลูก

 “โรงเรียนดี” ไม่สำคัญเท่ามี “พ่อแม่ดี”

แต่จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำการทดสอบกับเด็กวัยรุ่น 10,000 กว่าคน จากโรงเรียนประมาณพันแห่งในรัฐต่างๆ

พบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของโรงเรียน แต่กลับเป็นความเอาใจใส่ดูแลของพ่อแม่ผู้ปกครองมากกว่า

นักวิจัยพบว่า เด็กนักเรียนวัย 18 ปี ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนธรรมดา ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานเท่าที่ควร แต่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความเอาใจใส่ดูแลในด้านการเรียนของลูกจะทำคะแนนสอบได้ดีกว่า เด็กนักเรียนที่เรียนโรงเรียนดี สภาพแวดล้อมดี แต่พ่อแม่ไม่ได้ใส่ใจในด้านการเรียนของลูก

ความใส่ใจของพ่อแม่นั้น นักวิจัยกลุ่มนี้ วัดจากระดับคะแนนความสัมพันธ์ว่า พ่อแม่ผู้ปกครองเชื่อมั่นในลูกของตัวเองมากน้อยแค่ไหน พ่อแม่ช่วยตรวจทานเวลาลูกทำการบ้าน ให้กำลังใจ มีการพูดคุยเรื่องกิจกรรมของลูกที่โรงเรียนบ้างไหม และพ่อแม่เข้าไปร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน

การที่พ่อแม่มีเวลา เอาใจใส่ พูดคุยเรื่องการเรียนกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ยังเป็นการสื่อสัญญาณให้ลูกรับรู้ว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา โดยปัจจัยต่อการเรียนรู้จากพ่อแม่นี้ จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อลูกยังอยู่ในระดับประถมศึกษา

ในส่วนของคุณภาพของโรงเรียนนั้น นักวิจัยวัดระดับจาก คะแนนที่พ่อแม่ให้กับคุณครู มาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียน โอกาสของนักเรียนในการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนและกิจกรรมกีฬา การสื่อสารระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครอง และ โรงเรียนไม่มีปัญหาเรื่องเด็กเกเร เป็นต้น

นักวิจัยกลุ่มนี้ ทำการติดตามผลการเรียนของเด็กแต่ละคนเป็นระยะยาว โดยวัดคะแนนสอบในสี่วิชา คือ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ(การอ่าน) วิทยาศาสตร์ และ ประวัติศาสตร์ พวกเขาพบว่า ปัจจัยจากโรงเรียนและปัจจัยจากพ่อแม่ ล้วนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการเรียนของเด็ก แต่เห็นได้ชัดว่า

การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น สำคัญกว่า และ นำไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนได้มากกว่า ชื่อเสียงของโรงเรียน

“การวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่า พ่อแม่ควรตระหนักในความสำคัญของตัวเองให้มากขึ้นว่า พ่อแม่สามารถช่วยให้ผลการเรียนของลูกดีขึ้นได้ และควรเอาใจใส่ให้เวลากับลูกๆ ด้วยการหมั่นตรวจสอบการบ้านของลูก เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน และให้ความสนใจพูดคุยกับลูกเรื่องการเรียนอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ ให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ มากกว่า การลงทุนลงแรงในการพยายามให้ลูกได้เข้าโรงเรียนชั้นดี”

บทความโดย ภรณี ภูรีสิทธิ์ (ครูเก๋)

บทความต้นฉบับ : www.telegraph.co.uk

อัพเดทล่าสุด