รีวิว Honda Civic e:HEV RS 2022 ขุมพลังไฮบริด 2.0 ลิตรใหม่ นอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตจัดจ้านกว่ากว่ารุ่น Turbo RS เดิมแล้ว
หากย้อนกลับไปที่งาน Bangkok International Motor Show 2022 เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จู่ๆ ฮอนด้าประเทศไทยก็ตัดสินใจนำเอา Civic e:HEV มาจัดแสดงกันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังประกาศราคาจำหน่ายเบื้องต้นออกมาเสร็จสรรพเรียบร้อย สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ร่วมงานหรือแม้กระทั่งเหล่าบรรดาสื่อมวลชนเองก็ตาม เพราะนั่นเท่ากับว่า Civic Turbo RS จะมีอายุตลาดแสนสั้นเพียงปีเศษเท่านั้น ขึ้นบัญชีรถแรร์ที่จะถูกเอามาใช้เป็นจุดขายในตลาดมือสองต่อไปในอนาคต
สำหรับ Honda Civic e:HEV ขุมพลังไฮบริดในปัจจุบันมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ e:HEV EL+ และ e:HEV RS วางจำหน่ายควบคู่ไปกับรุ่น Turbo EL และ Turbo EL+ เดิม แต่ถึงกระนั้นระหว่างรุ่น e:HEV EL+ และ Turbo EL+ ก็จะมีอุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันไปพอสมควร อย่าเพิ่งคิดว่าใช้ชื่อ EL+ เหมือนกัน ก็จะมีออปชันมาให้เหมือนๆ กันไปเสียก่อนล่ะ
แต่ในบทความนี้เราจะเน้นไปที่รุ่น Civic e:HEV RS ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดที่มาพร้อมขุมพลังไฮบริด 2.0 ลิตร ให้อุปกรณ์มาตรฐานมาแบบครบเครื่อง แลกกับค่าตัวอยู่ที่ 1,259,000 บาท เทียบกับรุ่น Turbo RS เดิมที่มีราคาจำหน่าย 1,199,900 บาท ซึ่งส่วนต่างเกือบ 6 หมื่นบาท นอกจากจะได้เครื่องยนต์ไฮบริดที่มอบความประหยัดขึ้นแล้วนั้น ยังมีออปชันหลายอย่างที่ฮอนด้ายอมใส่มาให้เสียที ทั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, เบาะหลังปรับพับแยกแบบ 60:40 หรือแม้กระทั่งพนักพิงศีรษะสำหรับผู้โดยสารตำแหน่งตรงกลาง ซึ่งเหล่านี้ควรจะมีมาให้ตั้งนานแล้ว
ภายนอก
ในด้านของดีไซน์ Honda Civic e:HEV ใหม่ คงไม่ต้องพูดถึงกันมากนัก เพราะหลายคนคงเห็นรถรุ่นนี้วิ่งบนท้องถนนกันทั่วไปแล้ว แต่ในรุ่น e:HEV ทั้ง EL+ และ RS ก็มีจุดต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ซึ่งก็คือไฟหน้าแบบ LED ที่ถูกตกแต่งด้วยกรอบโครเมียมเล็กๆ บริเวณตำแหน่งไฟสูงด้านใน ส่วนรุ่น EL+ จะได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลวดลายเดียวกับรุ่น Turbo RS เดิม แต่เปลี่ยนไปใช้สีทูโทนเทา-เงิน ขณะที่รุ่น e:HEV RS จะได้ล้ออัลลอยลายใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 18 นิ้ว ตกแต่งด้วยสีทูโทนดำ-เงิน ทั้งยังใจป้ำหุ้มด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4 ขนาด 235/40 ZR18 มาให้ (ซึ่งสัญลักษณ์ Z ก็หมายถึงดัชนีความเร็วของยางที่รองรับความเร็วมากกว่า 240 กม./ชม. ขึ้นไป)
ไฟหน้าแบบ LED ของรุ่น e:HEV RS ยังมีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED (ซึ่งออปชันที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น) เสริมความสปอร์ตชุดแต่งภายนอกแบบ RS, มือจับประตูด้านนอกสีดำตัดกับโครเมียม, ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำ, ปลอกท่อไอเสียโครเมียม, สปอยเลอร์เหนือฝากระโปรงท้ายสีดำ และเสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ โดยกระจกมองข้างของรุ่น e:HEV RS ยังสามารถปรับพับได้อัตโนมัติเมื่อล็อก-ปลดล็อกประตูรถ ไม่ต้องมาคอยกดพับกระจกให้วุ่นวายแต่อย่างใด
ภายใน
ห้องโดยสารของ Civic e:HEV RS ถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำโดยไม่ขึ้นอยู่กับสีตัวถังภายนอก ทั้งยังได้เพดานหลังคาสีดำที่ช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารดูสปอร์ตเต็มพิกัด ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังกลับสลับหนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง สามารถปรับระดับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางฝั่งผู้ขับขี่ และปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางฝั่งผู้โดยสาร ส่วนเบาะนั่งด้านหลังได้เพิ่มฟังก์ชันพับเบาะแยกแบบ 60:40 มาให้เรียบร้อยแล้ว
โดยในรุ่น RS จะยังคงเป็นรุ่นเดียวที่ได้กุญแจแบบ Honda Smart Key Card นอกเหนือจากไปรีโมตแบบปกติอีกหนึ่งชุด แต่หากต้องการใช้ฟีเจอร์สตาร์ทเครื่องยนต์และระบบปรับอากาศด้วยรีโมต (Remote Engine Start) จำเป็นต้องใช้รีโมตแบบปกติในการสั่งงานเท่านั้น
ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ของรุ่น RS ประกอบด้วย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง (มีให้ตั้งแต่รุ่น e:HEV EL+ ขึ้นมา), ไฟตกแต่ง Ambient Light สีแดงบริเวณประตูคู่หน้าและที่เท้า ให้ความรู้สึกแบบรถระดับพรีเมียม, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง, แป้นคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต, ระบบตัดเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร ANC, กระจกหน้าต่างคู่หน้าขึ้น-ลงอัตโนมัติแบบ One-touch และที่ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย (Wireless Charger) เป็นต้น
หน้าจออินโฟเทนเมนท์ของรุ่น RS เป็นแบบสัมผัส Advanced Touch ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto, ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ในตัว, ระบบเชื่อมต่อ Smartphone, ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, ช่อง USB สำหรับเชื่อมต่อ 1 ตำแหน่ง และชาร์จไฟอีก 3 ตำแหน่ง, ลำโพง 8 ตำแหน่ง และยังเป็นรุ่นเดียวที่ติดตั้งระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาให้จากโรงงาน
สำหรับ Honda Civic ใหม่ นอกจากจะมีระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้ามาให้แล้ว ยังมีระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ด้วย ซึ่งจุดนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าบริเวณเบาะนั่งตอนหลังจะไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำหนักเหมือนกับเบาะนั่งคู่หน้า เพียงแต่จะปรากฏเป็นสัญญาณเตือนบนหน้าจอผู้ขับขี่เพื่อให้รัดเข็มขัดนิรภัยเท่านั้น
ทุกรุ่นย่อยถูกติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ทำงานโดยอาศัยกล้องที่ติดตั้งไว้บริเวณกระจกบังลมหน้า ซึ่งประกอบไปด้วย
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (ACC with LSF)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (LCDN)
ส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานอื่นๆ ของรุ่น e:HEV RS ได้แก่ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch), ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor), กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA), ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD), เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS), ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย เป็นต้น
เครื่องยนต์
Honda Civic e:HEV ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฮบริดที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC ความจุ 2.0 ลิตร ที่มีกำลังสูงสุด 141 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 182 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ที่มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT สามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้ และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 25 กม./ลิตร ตามที่ปรากฏบน ECO Sticker
บริเวณพวงมาลัยจะมีแป้น “+” และ “-“ ติดตั้งอยู่ ซึ่งไม่ใช่เปลี่ยนเปลี่ยนเกียร์เหมือนกับรถรุ่นอื่นๆ ทั่วไป หากแต่เป็นแป้นสำหรับเลือกระดับการชาร์จไฟกลับไปยังแบตเตอรี่แบบเดียวกับที่พบใน HR-V e:HEV ยิ่งตั้งไว้สูงมากเท่าไหร่ ตัวรถก็จะมีการหน่วงความเร็วในขณะปล่อยคันเร่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็จะไม่ลดความเร็วจนถึงจุดหยุดนิ่งเหมือนกับระบบ e-Pedal ของ Nissan Leaf เพียงแต่จะค่อยๆ คลานไปด้วยความเร็ว Idle speed เท่านั้น
นอกจากนี้ ระบบไฮบริดของ Honda Civic e:HEV จะแตกต่างไปจากระบบไฮบริดที่หลายคนคุ้นเคยกันดี เนื่องจากจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยจังหวะ “ออกตัวและใช้ความเร็วต่ำ” จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า โดยไม่มีการใช้เครื่องยนต์เลยแม้แต่น้อย จากนั้นเมื่อความเร็วได้ที่แล้ว เครื่องยนต์จะติดขึ้นเพื่อ “ปั่นไฟ” ส่งไปยังมอเตอร์หรือแบตเตอรี่เท่านั้น โดยไม่ส่งไปใช้กับระบบขับเคลื่อนโดยตรงแต่อย่างใด ซึ่งถือเป็นลักษณะการทำงานคล้ายกับ Series Hybrid ของ Nissan Kicks e-POWER นั่นเอง
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ขับขี่ “ใช้ความเร็วสูงและคงที่” ระบบจะหันไปใช้กำลังจากเครื่องยนต์แทน โดยหน้าจอจะปรากฏสัญลักษณ์รูปเฟืองขนาดเล็กอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และล้อ ซึ่งแสดงว่ามีการใช้กำลังจากเครื่องยนต์เพียวๆ อยู่ในขณะนั้น แต่ถึงกระนั้น การทำงานของโหมดดังกล่าวจะเกิดขึ้นน้อยมาก เว้นแต่ผู้ขับขี่จะเลี้ยงความเร็วอย่างคงที่จริงๆ สัญลักษณ์รูปเฟืองจึงจะปรากฏให้เห็นแบบวับๆ แวมๆ พองาม
ส่วนโหมดการขับขี่สามารถปรับตั้งผ่านปุ่ม “DRIVE MODE” บริเวณใกล้กับคันเกียร์ได้ โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 โหมด ได้แก่ Sport Mode, Normal Mode และ Econ Mode โดยที่ Econ Mode จะปรับการทำงานของระบบแอร์ให้อุ่นขึ้นเล็กน้อยควบคู่กับการหน่วงคันเร่งมากกว่าปกติ เพื่อรีดความประหยัดให้ได้มากที่สุด ส่วน Sport Mode ก็จะปรับการทำงานของคันเร่งให้ตอบสนองได้ไวขึ้น ช่วยรีดกำลังให้แรงติดเท้ามากยิ่งขึ้น
การขับขี่
ในด้านอัตราเร่งต้องยอมรับว่าระบบไฮบริดของฮอนด้าขึ้นชื่อในเรื่องอัตราเร่งที่จี๊ดจ๊าดตั้งแต่เริ่มออกตัวอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่ง Honda Civic e:HEV RS คันนี้ เพราะทันทีที่กดคันเร่งก็สามารถสัมผัสถึงแรงบิดที่ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง โดยการประมาณคร่าวๆ รถคันนี้สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ป้วนเปี้ยนราว 8 วินาทีเท่านั้น (ในโหมด Sport) แถมยังรู้สึกว่ามันสามารถตอบสนองได้ดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ 1.5 ลิตรด้วยซ้ำไป เนื่องจากแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ต้องอาศัยการรอรอบเหมือนกับเครื่องยนต์เทอร์โบนั่นเอง
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ Honda Civic e:HEV RS ก็คือการออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำคล้ายกับรถสปอร์ตแท้ๆ ส่งผลให้ตัวรถมีความนิ่งแม้ใช้ความเร็วสูง ประกอบกับพวงมาลัยที่มีการเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความเร็ว ทำให้ Civic e:HEV เป็นรถที่สามารถควบคุมได้ง่ายและมั่นใจแม้ว่าจะใช้ความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ขึ้นไปก็ตาม เรียกว่าเป็นรถที่ตอบสนองได้ดีมากทั้งในเมืองและนอกเมือง
ส่วนการซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนถูกเซตมาในแนวนุ่มหนึบ มากกว่าที่จะเน้นความแข็งแบบรถสปอร์ต ซึ่งอาจจะขัดใจเหล่าบรรดาขาโหดที่ชอบเล่นโค้งไปบ้าง แต่กลับกันคุณจะได้ช่วงล่างที่นุ่มนวล นั่งสบาย แต่ก็ยังมีความเฟิร์มกระชับให้เห็นพอประมาณ เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป โดยเฉพาะถนนในกรุงเทพมหานครที่เต็มไปด้วยหลุมและฝาท่อ ส่วนตัวผู้เขียนเองจึงพูดได้เต็มปากว่าการเซตช่วงล่างในลักษณะนี้ถือว่าเหมาะสมกับการใช้งานจริงแล้ว
นอกจากนี้ Honda Civic e:HEV ยังได้เพิ่มระบบตัดเสียงรบกวน ANC - Active Noise Control ซึ่งสามารถส่งคลื่นเสียงเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวนที่เล็ดลอดเข้ามาจากภายนอก ทำให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารเงียบขึ้นอย่างรู้สึกได้เมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบที่เคยสัมผัสก่อนหน้านี้
ส่วนในด้านอัตราสิ้นเปลืองนั้น จากการทดสอบขับระยะไกลด้วยความเร็วประมาณ 110 - 120 กม./ชม. มีเร่งบ้างผ่อนบ้าง ผ่านพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นบ้าง มีการทดสอบอัตราเร่งเป็นระยะๆ หน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยป้วนเปี้ยนอยู่ที่ประมาณ 18-19 กม./ลิตร แม้ว่าจะคาดเคลื่อนไปจากที่เคลมไว้ 25 กม./ลิตร แต่ในด้านการใช้งานจริงก็ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย แลกกับสมรรถนะที่ได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นรถที่มีคุณงามความดีรอบด้านคันหนึ่งเลยก็ว่าได้
สรุป
Honda Civic e:HEV RS ไว้ใจได้ในเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ที่แรงสะใจ ควบคู่ไปกับความประหยัดทั้งในเมืองและนอกเมือง โดดเด่นด้วยช่วงล่างที่ให้ประสิทธิภาพการทรงตัวไม่แพ้รถสปอร์ตแท้ๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งความนุ่มสบายเหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานก็มีให้แบบครบๆ แม้ว่าหลายอย่างน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เช่น ความคมชัดของกล้องมองหลังที่มีให้แค่พอใช้งาน หรือบางทีก็ควรจะให้กล้องรอบคันมาได้แล้ว แต่ถึงกระนั้น Honda Civic e:HEV ขุมพลังไฮบริด 2.0 ลิตร ก็ถือเป็นรถที่ควรค่าแก่การเพิ่มเงินอัปเกรดจากรุ่นเทอร์โบ หรือหากใครที่มองรุ่นไฮบริดไว้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะผิดหวังแต่อย่างใด
ราคาจำหน่าย Honda Civic 2022 ใหม่
- รุ่น EL (Turbo) ราคา 964,900 บาท
- รุ่น EL+ (Turbo) ราคา 1,009,900 บาท
- รุ่น e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท
- รุ่น e:HEV RS ราคา 1,259,000 บาท *รุ่นที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้