จัดการศึกษาให้ลูกของคุณอย่างฉลาดและสร้างสรรค์(เปิดหน้าต่างLD)
จัดการศึกษาให้ลูกของคุณอย่างฉลาดและสร้างสรรค์(เปิดหน้าต่างLD)
โดย Cindy Haines (1997)
อาจถือได้ว่า การเป็นพ่อแม่เด็กแอลดีเป็นหนึ่งในการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที เดียว ในฐานะที่ดิฉันเป็นติวเตอร์ส่วนตัวมา 14 ปี ดิฉันได้เห็นพ่อแม่จำนวนมากต่างดิ้นรนกับประเด็นที่แตกต่างกันเมื่อต้อง จัดการกับเด็กแอลดี และนั่นก็ คือ หน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องคิดว่า ตัวเองเป็นผู้จัดการที่มีหน้าที่ประสานงานและดูแลทั้งทางด้านสังคม การศึกษาและอารมณ์ของเด็กแอลดีให้มีความเหมาะสม หัวข้อข้างล่างต่อไปนี้คือ
กลยุทธ์ ที่เคยได้ให้คำปรึกษาและดูแลแก่ครอบครัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นการรวบรวมเรียบเรียงถ้อยคำที่ท่านอาจจะเคยได้ยินมาก่อน เป็นกลยุทธ์การจัดการซึ่ง สร้างความแตกต่างให้กับครอบครัวจำนวนมาก เป้าหมายที่รวบรวมหัวข้อเหล่านี้ ขึ้นมาก็เพื่อช่วยเด็กๆ แอลดีให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข
1. สำคัญที่สุดคือ ให้การศึกษาตัวเอง
เข้าร่วมการประชุม อ่านหนังสือแนะนำและสร้างเครือข่ายกับพ่อแม่คนอื่นๆ ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย ฟังอย่างตั้งใจและอ่านอย่างระมัดระวัง ให้เรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่สามารถเกี่ยวกับธรรมชาติของความยุ่งยากในการ เรียนรู้ของลูกของคุณ จดบันทึกเกี่ยวกับการเป็นพ่อแม่ที่ต้องมีความพิเศษหรือกลยุทธ์ทางวิชาการ ซึ่ง ใช้แล้วประสบความสำเร็จ และคุณคิดว่าจะใช้ได้ดีกับลูกของคุณ อาจจะเริ่ม ต้นด้วยการอ่านการดูแลทางการศึกษาโดย Mel Levine พ่อ แม่ที่ให้การศึกษาตนเองจะมีความเชื่อมั่นในตนเองขึ้นอย่างมาก บ่อยทีเดียว ที่การเรียนรู้เกี่ยวกับความยุ่งยากของลูกของคุณจะช่วยเสริมความรู้สึก “กล้า” ให้คุณมีมากขึ้นด้วย
อย่าหลีกหนีจากความรู้สึกเหล่านี้ คุณอาจจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องเสมอไป หรือแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเองอย่างที่ต้องการ แต่ให้จำไว้ว่า คุณ รู้จักลูกของตัวเองดีที่สุด การให้ความรู้กับตนเอง ไม่เพียงแต่คุณจะมี ความเชื่อมั่นในตนเองที่จะปรึกษาหารือกับผู้ชำนาญในสาขานี้ แต่คุณจะอยู่ใน ภาวะที่มั่นคงขึ้นในการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพในการศึกษาและชีวิตทางอารมณ์ ของลูกของคุณอีกด้วย
2. สร้างสรรค์สมุดบันทึกงานของลูกของคุณ
ลงทุน ซื้อแฟ้มบันทึก รวบรวมงานทุกอย่างของลูกของคุณตั้งแต่ใบงานการบ้าน แบบทดสอบที่ได้รับคืนกลับมา จนกระทั่งใบงานทุกหน้า ให้จัดระเบียบกระดาษ งานเรียงลำดับเดือนปีและตามรายวิชา รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับเกล็ดประวัติด้วยบันทึกเล็กๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเหล่านี้อาจจะช่วยให้มองเห็นความ สามารถทางภาษา ความสัมพันธ์ทางสังคม และสภาวะทางอารมณ์ของลูกคุณด้วย ในฐานะพ่อแม่ สมุดตัดติดพวกนี้อาจจะมี ประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด นำเข้าสู่การประชุมในฐานะเป็นเอกสารที่เขียนขึ้น ถึงความก้าวหน้าของลูกของคุณ (หรืออาจจะไม่ก้าวหน้า) ในฐานะที่เป็นบันทึกประจำปีของงานประจำวันของเด็ก คุณสามารถจะวิเคราะห์ความผิดของตัวคุณเองได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น พ่อ แม่คู่หนึ่งพบว่า ลูกชายของตนทำคะแนนทดสอบคณิตศาสตร์ได้แย่มากซึ่งไม่ได้เป็นผลสะท้อนจากความ เข้าใจผิดในภาพรวมของคณิตศาสตร์ แต่เป็นความผิดพลาดธรรมดาที่เขาลืมลดเศษ ส่วนของตัวหารร่วม ในกรณีนี้พ่อแม่เป็นผู้เปิดเผยปัญหา พ่อแม่อีกคู่ หนึ่งสนใจไปที่แนวโน้มในแต่ละปี เธอบันทึกว่า มกราคมและกุมภาพันธ์เป็น เดือนที่ยุ่งยากมากที่สุดของลูกสาวที่จะมุ่งไปข้างหน้า ดังนั้นเกรดของเธอตกลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ จากจุดยืนทางวิชาการ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ปริมาณงานเพิ่มขึ้นอย่างมากและเนื้อหาที่ได้รับการสอนมา ใน เทอมแรกเริ่มที่จะบรรลุถึงจุดสูงสุดในช่วงนี้ สำหรับพ่อแม่คู่นี้มองดูแนวโน้มนี้เป็นสัญญาณสำหรับพวกเขาที่จะให้การเอาใจ ใส่และให้การสนับสนุนแก่ลูก มากขึ้นในระหว่างเวลานี้
3. รักษาความคาดหวังให้สูงไว้
บ่อยทีเดียวที่ คุณครูและคุณพ่อคุณแม่มีความคาดหวังในตัวเด็กแอลดีต่ำ ซึ่งโดยที่จริงแล้วเด็กๆ เหล่านี้ต้องการมาตรฐานสูงและเป้าหมายที่สมเหตุสมผล เมื่อความคาดหวังสูงนักเรียนแอลดีจะถูกบังคับให้เผชิยกับความยุ่งยากต่างๆ แต่สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและสนับสนุน พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะเอาชนะได้แน่นอน อาจจะมีช่วงเวลาที่ถอยหลัง ช่วงเวลาของความคับข้องใจ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงจะทำให้มาตรฐานของคุณต่ำลง แต่มันหมายถึงการช่วยเหลือให้ลูกของคุณมุมานะบากบั่นในการเผชิญกับความยาก ลำบาก แนะนำเขาให้ผ่านพ้นอุปสรรค แต่อย่ายอมแพ้ ความรู้สึกภายในของการบรรลุความสำเร็จจะมีน้ำหนัก มากว่าการดิ้นรนภายนอกใดๆ ที่จะไปถึงเป้าหมาย ข้อความที่คุณจะให้ลูกของคุณเมื่อต้องการรักษามาตรฐาน ที่สูงไว้คือ เราเชื่อมั่นในตัวลูก
4. เยี่ยมชั้นเรียนของลูกบ่อยๆ
อาสาให้เวลาแก่ ชั้นเรียนลูกของคุณเท่าที่จะทำได้ ประการแรก จะเป็นการช่วยให้คุณเห็นการทำหน้าที่ของลูกของคุณเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ประการที่สอง เป็นการเพิ่มเวลาให้กับคุณครู โดยให้เวลาอย่าง มีคุณภาพให้กับคุณครูโดยเฉพาะช่วงที่มีการประชุมอย่างเป็นทางการ เป้าหมาย ของคุณคือกระชับความสัมพันธ์ในการทำงานให้ใกล้ชิดกับคุณครู ลูกของคุณจะได้ ประโยชน์จากการปฏิสัมพันธ์บ่อยๆ เหล่านี้ เพราะว่า คุณจะเป็น “ผู้รู้ตลอดเวลา” โดยเฉพาะในเรื่องการคาดหวังจากงานหรือการบ้านของลูก ยิ่งกว่านั้น คุณจะได้มีทัศนะแบบผู้อยู่วงในในสไตล์การสอนของคุณครู ด้วย ทัศนะนี้ จะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อต้องจัดการกับการศึกษาของลูก คุณโดยทั่วๆ ไป และสามารถมากขึ้นที่จะช่วยเหลือการทำการบ้านแต่ละชิ้นงานโดยเฉพาะ คุณแม่คน หนึ่งบอกว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เธอเคยทำให้กับลูกชายคือ “การมีส่วนร่วมและคงการมีส่วนร่วมอยู่”
5. รวบรวมแฟ้มไว้อ้างอิงอย่างมีศักยภาพ
ใครควร จะมีชื่ออยู่ในแฟ้มนี้บ้าง สำหรับการเริ่มต้น ชื่อของติวเตอร์ที่มี ชื่อเสียงซึ่งฝึกฝนในการสอนภาษาอย่างมีโครงสร้างแบบใช้ประสาทสัมผัสที่หลาก หลายควรจะอยู่ในแฟ้มหลักนี้ ชื่อของแพทย์ทางกุมารเวชซึ่งเข้าใจในความ บกพร่องนี้เป็นเเรื่องจำเป็น ถ้าคุณมีประเด็นทางการให้ยาซึ่งต้องการการใส่ ใจอย่างระมัดระวังนั้น คุณอาจต้องเลือกแพทย์ที่ไม่เพียงแต่มีความเห็นอก เห็นใจเท่านั้นแต่ยังรู้เกี่ยวกับความต้องการเป็นพิเศษของลูกคุณ ที่ปรึกษา ซึ่งจัดการเกี่ยวกับที่นั่งเรียนของเด็กแอลดีเป็นพิเศษอาจจะเป็นแหล่งข้อมูล ที่มีประโยชน์ แม้ว่าลูกของคุณอาจจะเรียนอยู่ในระดับเกรด 6 แล้วในปัจจุบัน คุณก็ต้องตระเตรียมอนาคตให้เขาโดยให้บุคคลคนนั้นให้หลัก ประกันคุณในกรณีที่คุณต้องการบริการช่วยเหลือ ผู้ส่งเสริมที่ไว้วางใจได้ เป็นอีกแหล่งทรัพยากรที่จะรวบรวมไว้ในแฟ้ม บุคคลนี้อาจจะเป็นเพื่อนร่วมวัตถุประสงค์ซึ่งสามารถเข้าร่วมการประชุมที่ โรงเรียนกับคุณได้ นักจิตวิทยาซึ่งเคยรักษาเด็กและวัยรุ่นแอลดีควรจะใส่ ชื่อรวบรวมไว้ในแฟ้มด้วย ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งความพยายามเอาชนะ อุปสรรคสำหรับนักเรียนส่วนมาก ซึ่งมันอาจจะเกิดปัญหาที่เป็นลักษณะเฉพาะสำหรับเด็กแอลดี ถ้าเกิด วิกฤตการณ์ขึ้น คุณจะมีรายชื่อบุคคลไว้เรียบร้อยแล้วที่จะช่วยจัดการกับ ปัญหา ให้คุณคิดถึงแฟ้มหลักนี้ไว้เป็นหลักประกัน จดชื่อข้อมูลอ้างอิงที่ มีศักยภาพ ตระเวนสนทนากับพ่อแม่คู่อื่นๆ ของเด็กแอลดีด้วยกัน ลองค้นหาว่าพวกเขาร่วมปรึกษาปัญหากับใครบ้าง รักษา เครือข่ายเอาไว้เสมอและจัดการปรับข้อมูลในแฟ้มหลักให้ทันสมัยอยู่เสมอ
6. อดทนกับช่วงขณะ “ปิดสวิทซ์” ของเด็กแอลดี
ช่วง ขณะ “ปิดสวิทซ์” คือช่วงที่ทุกสิ่งไม่ปกติสำหรับลูกของคุณ การอ่านออกเสียงของเด็กแอลดีซึ่ง อาจจะช้าตามแบบฉบับแต่แม่นยำ กลับกลายเป็นช้ามากขึ้นอย่างหาข้ออธิบายไม่ได้ ไม่แม่นยำเป็นเท่าตัวและมีความยุ่งยากกลับคืนมา คุณควรจะรู้ว่า มันเป็นวัน “ปิดสวิทซ์” ของพวกเขา ไม่เพียงแต่จะเพิ่มสัญญาณความกลัดกลุ้ม เช่น การหาวหรือการหายใจหนักๆ เท่านั้น ระดับความอดทนโดยทั่วไปก็เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน มันราวกับว่า “พลังงานทางสมอง” ทำงานมากเกินไป ที่จะทำให้เป็นปกติ และขณะเดียวกันต้องใช้ความพยายามที่จะอ่านให้คล่อง แม่นยำและแสดงออกอย่างถูกต้อง เป็นงานที่เป็นไปไม่ได้เลย! ผลก็คือ ความคับข้องใจอย่างสุดแสน คุณพ่อคุณแม่ควรต้องคิดเสมอว่า ความไม่คงที่ เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแอลดี เป็นเรื่องจำเป็นทที่จะต้องช่วยให้เด็กแอลดี จดจำวันเหล่านี้และยอมรับความคับข้องใจและความท้อแท้จากการนี้ นอกจากนี้ ต้องช่วยให้พวกเขาพัฒนาวิธีการที่จะจัดการกับวันเหล่านี้ให้ได้ ในคืนที่มี การบ้านหนักโดยเฉพาะ คุณอาจจะต้องเข้าร่วมอ่านด้วยให้มากขึ้น เขียนรายงาน หนังสือที่กำลังจะมาถึง หรือเลื่อนการฝึกทำคณิตศาสตร์ไปในวันต่อไป อย่า ลืมบอกลูกของคุณว่า วันที่ “ปิดสวิทซ์” จะเกิดขึ้นได้เสมอ ให้รับรู้ว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นปกติเองจนสามารถทำงานได้สำเร็จ โดยไม่ต้องให้ใครช่วยเหลือ
7. อ่านดังๆ ให้ลูกของคุณทุกๆ วัน
การอ่าน หนังสือให้ลูกของคุณฟังจะสร้างความแตกต่าง ไม่เพียงแต่พัฒนาศัพท์และ ความเข้าใจโดยทั่วๆ ไปให้เขาเท่านั้น แต่ยังพัฒนาทักษะการถอดคำด้วย ขณะที่ลูกของคุณได้รับการ รักษาจากความยุ่งยากในการถอดคำพูดนี้ พวกเขาก็กำลังอ่านข้อความที่ถูก บังคับไว้ด้วย ทันทีที่เขาได้อ่านข้อความที่ถูกบังคับไว้น้อยลง เขาจะต้องพบกับคำต่างๆ ที่มีเสียงแตกต่างกันมากมายซึ่งบางคำเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน พอถึงจุดนี้ เขาต้องใช้ทักษะการถอดรหัสคำเพื่อจะออกเสียงคำที่ไม่คุ้นเคยเหล่านี้ ถ้าคำ นั้นเป็นศัพท์ที่เขาเรียนรู้จากการฟัง โอกาสที่เขาจะอ่านออกเสียงได้ด้วยตน เองจะมีมากกว่วคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จากการสังเกตของทางคลินิค ดิฉันพบ ว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นเสมอ นักเรียนแอลดีซึ่งได้ฟังจากการ อ่านอย่างกว้างขวางจะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมากกว่านักเรียนแอลดีที่ไม่ ได้รับการเปิดหูเปิดตาทางภาษา
8. ยอมให้ลูกของคุณเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ”
ช่วยให้ ลูกของคุณพัฒนาความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจไม่ใช่ทักษะทางวิชาการ เช่น เย็บผ้า วาดรูป การสร้างที่เก็บความรู้เกี่ยวกับวิชาเฉพาะสักวิชาหนึ่ง เช่น เรื่องลิง สงครามสมัยยุคกลาง หรือล่องเรือ ทำไมน่ะหรือ มีหลายเหตุผลทีเดียว เพราะ มันอาจใช้เป็นหัวข้อการเขียนเรียงความหรือรายงานเล่าเรื่อง ความเชี่ยวชาญ เฉพาะเหล่านี้อาจจะพัฒนาเป็นงานอดิเรกตลอดชีวิต เป็นการเตรียมชั่วโมงแห่ง ความพึงพอใจหรือความสนุกสนานส่วนบุคคล เมื่อเด็กๆ โตขึ้น พวกเขาจะถูกคาดหวังให้เป็นผู้ที่เก่งในเฉพาะทางเป็นพิเศษมากยิ่ง ขึ้น การช่วยให้เขาเริ่มต้นเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่เนิ่นๆ ยังจะมีข้อได้เปรียบอื่นๆ ด้วย มันอาจจะช่วยให้เขามีโอกาสเด่นขึ้นนำหน้าเพื่อนๆ วัยเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น มันยังช่วยให้เขาได้มีโอกาสพบกลุ่มคนซึ่งมีความ สนใจร่วมกัน นี่เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้มิตรภาพที่ยืนนานเริ่มต้น
9. เริ่มสนทนากับลูกของคุณ
คุยกับเขาเกี่ยวกับ ความบกพร่องในการเรียนรู้ที่เขาเป็น อย่างจริงใจ ตามความ เป็นจริง เป้าหมายของคุณคือ ลดความคิดที่ว่า บางสิ่งมันผิดปกติ พวกเขารู้สึกอยู่แล้ว ช่วยเขาให้ยอม รับความรู้สึกของตนเอง ทำให้ความรู้สึกบกพร่องของเขาออกมาเป็นความคิดเห็น หรือทัศนะ จุดเริ่มต้นอาจจะเป็นการสนทนาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับจุดแข็งและจุด อ่อนของเขา หรือคุยเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับว่าคนที่เป็นแอลดีมีใจที่จะเรียนรู้แตกต่างไปอย่างไร สิ่งที่ คุณทำคือ การสร้างพื้นฐานการสนทนาที่จะต้องดำเนินต่อไปอีกหลายปี มีพ่อแม่ คู่หนึ่งเริ่มต้นบทสนทนาโดยการอ่านชีวประวัติของ Nolan Ryan (มือโยนลูกคริกเกตที่มีชื่อเสียงของทีม Texas Rangers ซึ่งเป็นแอลดีด้านการบกพร่องทางการอ่าน) เมื่ออ่านมาถึงบทที่ว่าด้วยเรื่องปัญหาในการเรียนรู้ของเขา มันทำให้เป็นบทเริ่มต้นในการสนทนาอันยาว เมื่อบทสนทนาพัฒนาไป คุณอาจจะ พัฒนาจากการสนทนาเป็นการทำตนช่วยส่งเสริมลูกของคุณด้วยตนเอง โดยอาจใช้ บทบาทสมมติเข้ามาช่วยในช่วงนี้
10. รักษาอารมณ์ขันไว้เสมอ
การเรียนรู้เป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย และเจ็บปวดสำหรับเด็กแอลดี พวกเขาต้องการการหัวเราะมากๆ ในชีวิต
แปล และเรียบเรียงจาก Managing your child’s education : Creative and smart ideas โดย Cindy Haines, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเรียนรู้ในอิลลินอยส์ เป็นครูฝึกภาษาที่มีโครง สร้างด้วยประสาทสัมผัสที่หลากหลายของสมาคม Dyslexia นานาชาติสาขาอิลลินอยส์
แหล่งที่มา : Cindy Haines