เผย ชีวิต (ไม่) ลับนักเรียนแพทย์ 6 ปีกับชีวิตนักเรียนหมอ


2,190 ผู้ชม

ชีวิต (ไม่) ลับนักเรียนแพทย์


ชีวิต (ไม่) ลับนักเรียนแพทย์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  Doctor's knowledge-based center


https://www.nctms.in.th/stories.php


โดย นพท.เสรษฐสิริ พันธุ์ธนากุล (พี่โตโต้ วพม.๒๗)

ก่อนอื่นขอให้น้องๆ แยกหัวสมองออกเป็นสองส่วนก่อนนะครับ แล้วค่อยมองกันทีละอย่างนะ "หมอ" กับ "หมอทหาร" เสร็จแล้วค่อยมาคิดกันนะครับ ว่าน้องจะเป็นอะไรดี หมอหรือหมอทหาร หรือว่าอย่าไปเป็นเลยทั้งคู่ เป็นอย่างอื่นดีกว่า

          เรามาดูทางด้านหมอก่อนดีกว่า พี่เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนนะครับ ที่อยากเข้าหมอ แต่ก่อนอื่น น้องต้องถามใจตัวเองก่อนว่าที่อยากเข้าหมอน่ะ เพราะอะไรหรือ.... ส่งคำตอบได้ละครับ ส่วนมากนะมักจะตอบแบบนางสาวไทยล่ะสิ "หนูอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ" ชัวร์เลย อันนั้นมันก็ความคิดที่ดีครับน้องๆ แต่ต้องดูว่ามัน จริงแท้แค่ไหนเพราะพี่เห็นหลายคน ตอนสัมภาษณ์ก็อยากช่วยเพื่อนมนุษย์แต่พอต้องออกต่างจังหวัดตอนใช้ทุนก็เลย เปลี่ยนใจมาช่วยตัวเองดีกว่า ส่วนตัวพี่ คุณตาพี่เป็นหมอจีน คุณพ่อพี่เป็นหมอเด็กแล้วก็เป็นอาจารย์แพทย์ด้วย พี่ก็เลยเข้าใจชีวิตหมอพอสมควร เพราะพี่ไปนอนโรงพยาบาลอยู่เวรกับพ่อหลายครั้ง เลยเข้าใจชีวิตหมอและพี่ก็รักในวิชาชีพนี้มากเลยทีเดียว แล้วใครจะรู้ล่ะว่าอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หรือว่าท้อใจไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว ก็ต้องมาดูก่อนว่าน้องจะรับชีวิตอันแสนจะลำเค็ญของนักเรียนแพทย์ได้หรือ เปล่า พี่จะเล่าให้ฟังแล้วน้องจะซึ้ง....อันดับแรกน้องก็ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมฝีมือ พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลมากๆ เพื่อจะได้ใช้ความรู้และดวงทำข้อสอบเอ็นท์ เอาให้มันติดหมอกะชาวบ้านเค้า นี่คือความเซ็งอันดับ แรก..

          ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย น้องก็จะต้องเรียน basic science หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ ทั้ง bio-chemistry, microbiology, physics, calculus และวิชาอื่นๆ มหาศาลราว 44 - 48 หน่วยกิต ทั้งที่มหาวิทยาลัยส่วนมากให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วยกิต แต่เราคือยอดมนุษย์ เราต้องทำได้น้อง

          พอปีสองความแกร่งและอึดในการอ่านหนังสือที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้ เริ่มเอามาใช้ซะที ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆ หลายอย่างที่เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แบบปกติ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ( anatomy) หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด เรียกว่าคลุกคลีกับศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียน chem. ในร่างกายเรา เรียนว่าร่างกายหล่อๆ สวยๆ ของเรานี้มันทำงานกันยังไงหนอ...เค้าเรียกว่าวิชา physiology แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆ เนี่ยเราทำได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...


          พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติ มาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค เวลาไม่สบายเป็นไงหนอ.. เชื้อโรคคือใครเหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกับยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยล่ะ แล้วมันจัดการกับเชื้อโรคได้ไงเนี่ย...วิชายากๆ ทั้งนั้นเลย เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ) คนอื่นเรียนมหาวิทยาลัย มีคาบว่าง ส่วนพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก มีคาบว่างทีนึงยังกะขึ้นสวรรค์...อยากหยุดเวลาไว้จัง แล้วพอปลายๆ ปีสามน้องก็จะเริ่มได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ อาจารย์จะพาไปชม ไปพูดคุย คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า ส่วนเราก็จะคิดในใจ "เป็นไงเป็นกันล่ะ เผย ชีวิต (ไม่) ลับนักเรียนแพทย์ 6 ปีกับชีวิตนักเรียนหมอ " ถึงจะโง่ ก็ขอเก๊กทำท่าหมอไว้ก่อน ไม่รู้ก็ทำหน้าเหมือนรู้เข้าไว้ คนไข้เห็นแล้วศรัทธา...ซึ่งก็เป็นสิ่งกระตุ้นอย่างหนึ่งให้เราต้องเรียนรู้ เพื่อไม่ให้ความศรัทธาของคนไข้สูญเปล่า พอจบปีสาม คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!

          อ้อ … เดี๋ยวนี้คณะแพทย์หลายคณะเริ่มมีการเรียนการสอนแบบบูรณาการ หรือที่เขาเรียกสั้นๆ ว่า Block นั่น แหละครับ ก็คือจากเดิมที่เราเรียนทีละกลไกแยกตามวิชา ก็นำมารวมกันเสีย เรียนตั้งแต่อวัยวะเริ่มก่อตัวจนเป็นโรคและวิธีการรักษา ด้วยกระบวนการที่เขาเรียกว่า PBL (Problem Base Learning) เป็นการฝึกให้น้องขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะการเรียนแพทย์ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกครับ ดังนั้นน้องก็จะเปลี่ยนการเรียนจากรายวิชาที่กล่าวมาแล้ว เป็นการเรียนตามระบบต่างๆ ของร่างกาย อาทิ ระบบหัวใจและหลอดเลือด น้องก็จะเรียนตั้งแต่ หัวใจเจริญมาจากเซลล์ไหน เนื้อเยื่ออะไร บีบตัวได้อย่างไร ทำไมหัวใจตีบ หัวใจวาย แล้วใช้ยาหรือวิธีการอะไรรักษา เป็นต้น


          ขึ้นปี 4 เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว เค้าเป็นอะไร มีอาการยังไง ป่วยเมื่อไหร่ ซักประวัติมาให้หมด ....เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา แล้วเค้นออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรนะ.... เรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืน แล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน เอาน่า!!...3 วันอยู่เวรครั้งนึง ไม่เท่าไหร่หรอก ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆ ที่ว่า คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยต้องก็รักษาจะมาหยุดได้ไง จริงอ๊ะป่าว หมอเลยไม่มีเสาร์ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด ทำงานแบบ 7 - 11 จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาเถอะเพื่อคนไข้ผู้เปรียบได้กับอาจารย์ใหญ่ที่มีชีวิต เค้าอุตส่าห์บริจาคทั้งร่างกาย จิตใจ และยอมเสียเวลาให้เราตรวจ จบปี 4 ฉันตรวจร่างกายเป็น พอจะบอกได้ว่าคนไข้น่าจะเป็นโรคอะไรบ้าง.... เก่งมากๆ อ่ะ ปิดเทอมซะ 14 วันได้มั้ง ในขณะที่เด็กมหาวิทยาลัยคนอื่นๆ เค้าปิดกันเป็นเดือนๆ...เฮ้อ


          ขึ้นปี 5 ช่วงต้นปีจะเริ่มรู้ข่าวคราวของเพื่อนๆ สมัย ม.ปลายที่เรียนคณะอื่นๆ เค้าเรียนจบกันแล้ว บ้างก็ทำงาน บ้างก็แต่งงาน บ้างซื้อบ้านซื้อรถ บางคนวางแผนจะมีลูกกันแล้ว แต่ฉันยังเป็นนักเรียนอยู่เลย แต่ก็เอาเถอะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว อย่างน้อยเจอคนไข้ ตรวจคนไข้ ฉันพอจะรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆ ปลาๆ ให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง จนปลายปี สอบรวมคราวนี้ล่ะวัดกันเลยใครจบ ใครไม่จบ ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอนท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องนะคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้ (ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าสอบใหม่ได้นะ)

          พอปี 6 คราวนี้ใครๆ เค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆ ที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง กลางวันตรวจคนไข้ กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้ อ่ะโห..พี่หมอคะ พี่หมอขา เท่สุดๆอ่ะ จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน ออกไปทำงานใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด โชคดีก็ได้ที่สบาย อยู่ในเมือง โชคร้ายหน่อยก็นู่น เข้าป่าเป็นหมอผีไป ทั้งอนามัยมีแต่ ยาแดงกับพารา.รักษาใครได้มั่งก็ม่ายรู้ อยู่เวรคืนเว้นคืน นอนตอนไหนไม่รู้ อยู่ๆ ตีสองตื่นมา คุณหมอหนูจะคลอด แล้วเราจะนอนต่อได้ไงล่ะเนี่ย เอ้า...ทำคลอดกันไป นึกซะว่าฝันไปละกันนะ แล้วก็เป็นแบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต...

          จบเรื่องหมอ มาดูหมอทหารกันมั่ง ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องหลายคนอยากเข้ากันก็คือ โรงเรียนนายร้อยตั้งแต่ โรงเรียนนายร้อย จปร. (กองทัพบก) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ แต่ขอบอกชาติไทยของเราน่ะ มีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้เป็นนายทหารหลักของประเทศ ติดยศว่าที่ร้อยตรีด้วย นั่นคือ.....โรงเรียนแพทย์ทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง (ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ มีหวังหมอตายก่อน แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมา เรียนหมอด้วย ฝึกทหารด้วย ออกรบจะได้สู้เค้าได้ ไม่ถ่วงกองทัพ รอดตายกลับมา เรียน 6 ปีเหมือนที่อื่นๆ จบมาเป็นว่าที่ร้อยตรีเหมือน จปร. เด๊ะๆ เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ ที่นี่รับผู้หญิงด้วย แล้วเค้าทำอะไรกันมั่งเหรอมาดูกันเลยดีกว่า...


          ก่อนอื่นเข้า มาปีหนึ่งก็ใช้ชีวิตแบบพลเรือนทั่วๆ ไปนั่นแหละ ผมยาว อ้วนเป็นหมู เที่ยวเล่นไปวันๆ...1 ปีผ่านไปแสนสบาย แต่เรื่องเรียนก็หนักเหมือนกับนิสิตนักศึกษาแพทย์ทั่วๆ ไปนะครับ อย่าลืม

          พอปี 2 ละครชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหาร ตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวเหมือนกันหมด วันๆ เอาแต่ ฝึก..ฝึก..กิน ..ฝึก..นอน..ฝึก. เท่านั้นแหละ ราวๆ 3-4 เดือนได้ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน นอนดึกตื่นเช้า ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆ ปิดเทอมไปเที่ยวกัน แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ...หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้ แต่น้องๆ ที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนาการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง คำสั่งของพี่ๆ และคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้ ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเราอย่างนี้เลย ไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้ วิดพื้นมั่ง วิ่งมั่ง ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ น้องๆ สบายใจได้) สำหรับน้องๆ ผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายเล็กน้อยนะครับไม่ต้องตกใจ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้ (ล่ำขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น อิอิ) เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาล่ะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา ฝึกเป็นฝึก จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ้งจริงๆ แต่เหนื่อยจังเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ แถมยังต้องมาเรียนหมออีก แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างไหมเนี่ย

         .. พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่... ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้รุ่นน้องซะ จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง แล้วพอตอนปลายปี ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง ทำไงถึงจะรอดตาย แล้วยังรักษาทหารที่บาดเจ็บได้ด้วย เท่ห์ไหมล่ะ) แล้วก็ออกไปเรียนส่งทางอากาศ กระโดดร่ม...โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆ เลย มันมากๆๆๆๆๆๆ ได้ขึ้นชีนุคจริงๆ ก็คราวนี้แหละครับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอปเตอร์ที่มีสองใบพัดนะครับ เป็น ฮ. ลำเลียง ที่น้องๆ เห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ ถ้าเคยเล่นนะ) กลับมาก็ติดร่มเท่หืๆ ไว้ที่หน้าอก ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆ ใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ.. ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง

          .. พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย ก็เพราะว่าน้องต้องดูแลคนไข้ จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวจะไม่ไหวกันพอดี ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ แต่ระเบียบคือระเบียบ อาวุโสคืออาวุโส ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เอา จับไม่ได้สบายไป จับได้โทษหนักเพราะเราฝึกมาแล้ว เรารู้กฎอยู่แก่ใจ คล้ายๆ กับเวลาทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของโรงเรียน ม.ปลายตีก้น อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน คล้ายๆ กับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ด้วยทำนองนั้น

          .. พอปี 5 ใกล้จบละ ฉันเริ่มมีบทบาทหน้าที่มากขึ้นแล้ว ทั้งเรื่องกิจกรรมชมรมต่างๆ ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ เป็นคนรักษากฎ ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป ก็ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเรานี่นา แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้ว ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว สอบตกกันหมดพอดี

          .. ปี 6 พี่ใหญ่!!..คราวนี้ เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา น้องๆ ชั่งน่ารักกันซะทุกคนเลยสั่งอะไรทำตามตลอด แต่พี่ๆ ปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ กลับมาหอทีนึง แทบจำหน้าไม่ได้ นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก ก็ดาวมันจะติดไหล่อยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอทหารเวลาออกรบน่ะ ทำอะไรมั่ง เผื่อเจอของจริงจะได้เอาตัวรอดได้ แล้วก็ช่วยคนเจ็บได้... จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย


          ออกไปทำงานใช้ ทุนคราวนี้ล่ะครับชีวิตจริงๆ ของจริงๆ พี่ๆ เค้าจบไปก็ไปอยู่ตาม รพ.ศูนย์ของทหาร 1 ปี แล้วก็อยู่คุมทหารในค่ายทหารอีก 1 ปี จากนั้นก็ใช้ทุนอีก 8 ปีในโรงพยาบาลของกองทัพ รวมเวลาใช้ทุนก็ 10 ปี ลูกโตพอดีเลย... นั่นคือแบบธรรมดาๆ แต่ถ้าใครโชคดี ก็ไปติมอร์ ไปอิรัก ไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปืนจริง กระสุนจริง ระเบิดจริงๆ ยิงกันเข้าไป หมอก็รักษาไป โชคดีก็รอดกลับมา โชคร้ายก็อยู่ที่นั่นต่อไป พี่ๆ ที่นี่หลายคนออกรบมาแล้ว บางคนไปมาหลายครั้งแล้ว.. แต่ก็ยังไม่เคยมีใครที่จบจากโรงเรียนแพทย์ทหารแล้วบาดเจ็บล้มตายในสนามรบเลย เพราะเราไม่ต้องจับปืน ถือดาบไป ตบตี สู้รบกับใครเค้าหรอกครับ แค่หลบกระสุนแล้วก็รักษาคนเจ็บในฐานที่มั่นของเราก็จะไม่ไหวแล้ว เรื่องรบน่ะปล่อยทหารเหล่ารบเค้าไปลุยของเค้าเถอะ ถ้าเจ็บก็มาหาเราเดี๋ยวเราซ่อมให้ แล้วก็ปล่อยเค้าออกไปลุยต่อ อันนั้นคือแบบหวือหวา สีสันแห่งชีวิต

          จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆ อ่านมาหรอกครับ คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า จริงๆ แล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ อยู่เวรนะ คนไข้เยอะนะ เงินเดือนน้อยนะ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆ แปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้ไหมเนี่ย ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆ เขานะ ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้ ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลีกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียน อ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา เพราะหมอที่คนไข้อยากได้ คือหมอที่ดีและเก่ง หมอไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิครับ

          แล้วจะเป็นหมอทหารดีไหมล่ะ ชอบทหารไหมเนี่ย ฝึกไหวรึเปล่า ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวไหมล่ะ ผมสั้นนะ เครื่องแบบเท่ห์ก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกไหมล่ะ เรียนหนักเหมือนหมอคนอื่นๆ เค้าแต่ยังต้องมาฝึกทหารเพิ่มอีกเหนื่อยกว่ากันหลายเท่า ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะ ถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเขาน่ะ พร้อม จะแลกมั้ยล่ะ เครื่องแบบเท่ห์ๆ สวัสดิการสุดเลิศ (ไม่ต้องจ่ายค่าเรียน มีเงินเดือน มีเบี้ยเลี้ยง เครื่องแบบฟรี ที่พักหรูๆ ฟรี) ยศฐาบรรดาศักดิ์ กับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก ก็เข้ามา...หมอทหาร ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดในแง่ของการฝึกเมื่อเทียบกับโรงเรียนนาย ร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆ ก็ไหวครับแต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกครับที่จะเข้ามา แล้วก็เรียนไม่ไหว ทนระเบียบไม่ไหวจนต้องลาออกไป หวังว่าน้องๆ คงสามารถหาคำตอบที่อยู่ในตัวน้องๆ เองพบนะครับ

          สุดท้ายก็ขอให้น้องๆ โชคดีละกันนะครับ ใครฝ่ฝันอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร ก็ขอให้ขีดเส้นทางตามนั้นแล้วก็เดินไปตามทางแล้วก็จะได้ตามที่ฝันไว้เอง ใครฝันจะมาเป็นหมอช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ก็ขอให้ตั้งใจอ่านหนังสือ ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง แล้วสอบเข้ามาให้ติด พี่รอน้องๆ อยู่ ความรู้และความสามารถของพวกพี่ ยินดีจะถ่ายทอดให้น้องอยู่แล้ว ถ้าน้องอยากเดินทางเดียวกับพวกพี่ พวกพี่ก็พร้อมจะถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ โชคดีทุกคนนะครับ


With great knowledge comes great responsibility : ความรู้อันยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระอันหนักอึ้ง


ขอบคุณที่มาจาก : vchakarn.com

อัพเดทล่าสุด