20 เรื่อง นิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้านสั้นๆ ( นิทานพื้นบ้านภาคกลาง สั้นๆ )


131,631 ผู้ชม


นิทานพื้นบ้าน (เป็นร้อยเรื่อง)
๑๐๘ นิทาน
(ได้มีการพิมพ์เพิ่มเติมจากร้อยแปดเรื่อง)
 
ทั้งเรื่องโบราณ และปัจจุบัน ทั้งขบขันและภาษิต
 
นิทาน  ๑๐๘  เรื่องเป็นนิทานโบราณประยุคสมัยและเป็นคำโบราณคำใต้มาก   ทั้งเป็นภาษาพื้นเมือง อ่านได้คลายเครียด เป็นภาษิตเทียบเคียงวิถีชีวิตสำหรับเป็นคู่มือของนักพูดนักเขียน นักเทศน์ เอาไปเข้ากับเรื่องนั้น เพราะหากเอานิทานเข้าประกอบ ผู้ฟังจะจำได้ง่าย   หลวงวิจิตรวาทการท่านเล่าว่า ทนายความชั้นหนึ่งของประเทศอังกฤษชื่อใดข้าพเจ้าลืม    ว่าความได้ดีมาก โดยท่านเอานิทานเข้าประกอบเรื่องที่ท่านเล่า  ที่ข้าพเจ้าเขียนนี้ก็บางเรื่องเป็นนิทานประกอบของนักแสดงธรรม เช่น เรื่องเรียนวิชาเป็นเศรษฐี และเรื่องเพื่อนเลียนแบบ เป็นเรื่องไม่ควรทำจำเจ กลัวเพื่อนจะเลียนแบบจะเสียหายเรื่องควายฝากเครื่องมือไว้กับต้นกล้วย ฝากอันใหญ่ได้คืนอันเล็ก  นักเลงโตตั้งแต่หัวโค้ตายายและลูกเรือปะทะลูกสิงห์ เรื่องตรวจใบผ่านทาง เรื่องยั่วโมโห เรื่องเสียทั้งไก่ทั้งเมีย (เป็นเรื่องดุ) และเรื่องขบขัน เช่นเรื่องตะเกียงเดินได้ เรื่องพ่อไม่ตาล่อ เรื่องให้แล้วไม่เอา เรื่องเหมิ่นหย่อง เรื่องกราบไหว้จอบ เรื่องบอกเงินฝัง คาถาเหาะ เสกคนให้เหาะ ลดงัว เป็นหมาตามเดิม เรื่องเกี่ยวกับผู้ใหญ่ด้วง เมาชอบสนุก เวสนู จะจบเหรอ กินข้าวกับไหร ยาถอนฟัน เรื่องไม่รู้ภาษา พูดผิดเสียวัว พ่อท่านลืมยะถาตาชีขี้โลภ (เป็นเรื่องขัน ๆ) และเรื่องที่ไม่ทันคิด เพื่อนจ้างให้งมพร้า พระอิศวรให้พรเสือ ทอนเบี้ยผิด เรื่องยิงเสือลำบาก หล่นสะพานรถไฟ ซี่ไหนซี่นั่น เรื่องผู้ใหญ่ด้วงหนีนาย แก้ผ้าตัดสาคู  คนไม่มีบุญเช่นเรื่องเทวดาเห็นดูให้เงินก้อนนอนโก้รวย  เรื่องแนวอภินิหาร เช่น เรื่องบารมีดีดั่งใครดีเข้ามา อาจารย์ให้ยิงคนศิษย์สัปดนท่ายิงผี เรื่องพ่อท่านทอง เรื่องราชานก เรื่องหละปาก  เรื่องลูกเสือปะทะสิงห์ และสุดท้ายนิทานที่ ๑๐๘ เป็นนิทานยาวเล่าไม่จบ
 
๑...เรื่องเรียนวิชากับเศรษฐี
 
เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งอยากจะร่ำรวยเป็นเศรษฐี พยายามทำงานจนอายุใกล้จะกลางคนก็ยังไม่ร่ำรวย จึงมาคิดขึ้นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จะต้องมีครูอาจารย์สอน  ก็เมื่อเราไม่ไปศึกษาหาอาจารย์มาก่อนจึงร่ำรวยไม่ได้  คิดได้เช่นนั้นก็เตรียมตัวไปหาเศรษฐี ซึ่งอยู่ต่างตำบลกัน  ท่านผู้นี้ปัจจุบันเป็นกำนันสืบทราบมาว่าเมื่อก่อนท่านเป็นลูกกำพร้ามาก่อน อาศัยวัด มีอาจารย์เป็นเจ้าอาวาสสั่งสอนท่านจนออกมาทำงานสร้างฐานะได้ จนสมัยนั้นคนฐานะดี ความประพฤติดี มีจนนับหน้าถือตาอยู่ก่อน  ท่านนายอำเภอจึงลงมาแต่งตั้งให้เป็นกำนันเมื่อตำแหน่งว่าง 
          ชายคนนั้นเดินไปถึงบ้านกำนันตอนบ่ายใกล้จะใกล้จะค่ำ ก็เข้าไปยกมือไหว้กราบท่าน  ท่านกำนันใช้ให้นั่งตามสบาย ถามว่ามาจากไหนจะธุระอันใด  ชายคนนั้นก็ตอบว่า อยากจะมาเรียนวิชาให้เป็นเศรษฐีกับท่าน กำนันว่าเมื่อท่านสมัครใจก็ได้ แต่วิชานี้จะต้องใช้เวลานานถึง ๔-๕ ปี กว่าจะสำเร็จ กลัวว่าท่านจะอยู่นานไม่ได้
          ชายนั้นว่าได้ เพราะตั้งใจมั่นคงแล้วว่านานเท่าใดก็ไม่ท้อ ขออย่างเดียวให้จบวิชาหลักสูตรนี้ จะช่วยทำงานรับใช้ท่านตลอดทั้ง ๔-๕ ปี  เป็นอันว่าตกลง ก็เริ่มสอนวิชาให้ศิษย์ว่า คนที่จะร่ำรวยได้นั้น จะต้องขึ้นต้นที่ขยันมานะอดทน ทำสิ่งใดต้องรัก ห่วงดูแลเอาใจใส่ ไม่ทอดทิ้ง ให้ได้ผลทุกอย่างในงานนั้น ๆ และทั้งจะต้องใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ศึกษาค้นคว้าโดยไม่หยุดยั้ง ทั้งจะต้องเลียนแบบเอามาดัดแปลงบ้างเพื่อให้ดีขึ้น เมื่อได้ผลเป็นเงินทองขึ้นมาแล้ว อันสำคัญของวิชาเศรษฐีอยู่ที่รู้จักเก็บรู้จักใช้จ่าย เหมือนภาษิตสุนทรภู่ กวีเอกของโลกสอนไว้ในภาษิตสอนหญิงว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดด้วยของต้องประสงค์ เมื่อได้น้อยจ่ายน้อยคอยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน ครั้นพ่อแม่แก่กายชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ ฯล ด้วยชนกชนนีมีพระเดช ได้ปกเกศเกศามาจนใหญ่ อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร หวังจะได้พึ่งพาสุดาดวง ลฯ
          และสอนต่อไปว่ามนุษย์ที่ดีนั้น จะต้องรู้จักบุญคุณต่อสิ่งมีพระคุณ หลักใหญ่ของบุญคุณก็คือธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ธาตุสี่กองนี้เป็นต้นตอของธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทั้งให้คุณและให้โทษกับสัตว์โลก ทุกอย่างเมื่อจำแนกก็จะแยกไม่หมด ให้เราจับเอาแต่สิ่งเฉพาะ ๆ ก่อนว่า อย่าทรยศกับสิ่งที่มีพระคุณกับเรา และจะต้องเมตตาสงสารต่อสัตว์โลกที่ด้อยกว่าเรา  อันนี้ ชายนั้นก็ก้มลงกราบจะเก็บไว้เหนือหัวเอาไปปฏิบัติ  เรียนวิชาเป็นเศรษฐีนี้ ต้องรู้เก็บรู้ประหยัด เป็นเรื่องใหญ่  สอน ๆ จนใกล้ค่ำ ถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ ก็ใช้ให้ไปอาบน้ำ แล้วจะได้มารับประทานอาหารพร้อมกัน
          คนใช้ก็ยกสำรับกับข้าวออกมาให้เศรษฐีทานกับศิษย์ท่าน เรียกศิษย์เข้ามานั่งใกล้ หยิบขวดเหล้ามาถามว่าชอบกินหรือไม่ ชอบ ชายคนนั้นตอบ  =ศ= หากไม่กินจะตายหรือไม่  =ช= ไม่ตาย  ถ้าไม่ตายไม่ต้องกินมัน กินนานมากจะเสียคนได้ จึงให้คนใช้เอากลับไปเก็บ  =ศ= ข้าวนี้กินสองคนหมดหรือไม่  =ช= ไม่หมด  เศรษฐีใช้ให้แบ่งพอกินสองคนหมด  แกงก็ให้แบ่งพอกิน พอสำหรับสองคน ทุกสิ่ง ปลาเค็มแบ่งไว้พอกินประหยัดไว้กินรุ่งขึ้นอีก  หากมีมากขืนกินจะขาดทุนเปล่า
กินข้าวเสร็จใกล้ค่ำก็สั่งสอนต่อ เพราะธรรมดาอาจารย์ทุกคน หากศิษย์เอาใจใส่อยากเรียน อาจารย์ผู้สอนก็ไม่เบื่อที่จะสั่งสอน เพื่อให้ศิษย์ได้ดี  พอตกมืดค่ำก็นั่งสอนกันในที่มืด  เพราะไม่ต้องอ่านหนังสือ ทั้งประหยัดไฟได้ขั้นหนึ่งด้วย  สอนไป ๆ จนถึงเวลานานก็ใช้ศิษย์ไปนอน ไม่ไกลท่านนัก  ได้ยินเสียงศิษย์ สกเส็ก สกเส็ก ยังไม่นอนจึงถามไปว่า ทำอะไรอยู่อีกจึงไม่นอน ศิษย์ตอบว่าแก้ผ้าถุงเก็บพับให้เรียบร้อยตั้งข้างนอน นอนบนจะสึกหรอเสีย เพราะมืด ๆ นอนแก้ผ้าก็ไม่มีใครรู้เห็นจะได้ประหยัดผ้าใช้ไปได้นาน  รุ่งขึ้นก็ใช้ให้ศิษย์กลับได้แล้ว เรียนพ้นหลักสูตรไปแล้ว แต่แรกว่า 5 ปี คืนเดียวจบ
 
๒...เรื่องเวสนู คนพูดจมูกอี้
 
          น้าปลอด เวสนู ท่านเป็นคนรุ่นน้องของพ่อข้าพเจ้าและเป็นเพื่อนต่อนกเขากับพ่อข้าพเจ้า และอีกคนเป็นไทยอิสลามพูดติดอ่าง (อ้ง) สามคนทั้งพ่อผม คอเดียวกัน กลางคืนนั่งคุยกันจนดึกดื่น ไม่ค่อยมีเรื่องอื่นปน เรื่องนกเขาชวาเขาใหญ่เท่านั้น  แต่คืนหนึ่งมีเรื่องพิเศษขึ้นเมื่อบังเหล็มถามว่า ปลอด บ้านเดิมเอ็งเกิดที่ไหนและเหตุผลกลใดจึงได้มาอยู่คลองรำนี้ ชื่อจริงชื่อปลอด เวสนู เป็นนามฉายา เพราะพูดจมูกอี้
          น้าปลอดจึงเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนท่านอยู่พัทลุงตอนบนและพอหนุ่มแน่นก็ย้ายทำจ้างมาอยู่พัทลุงตอนล่างคือระหว่างพัทลุง หาดใหญ่   สมัยนั้นรถประจำทางเป็นรถยนต์สองแถว ท่านมีโอกาสได้เป็นลูกน้องรถยนต์สายพัทลุง หาดใหญ่  รถยนต์นั้นมีเก้าอี้นั่งหันหน้าเข้าในข้างละแถว  จึงเรียกรถสองแถว   รถสมัยนั้นไม่ได้หุ้นรวมบริษัท  คนต่างเวียนหาคนขี่เอาเอง ใครเต็มรถก็ออกก่อน  คัน ๆ กว่าจะออก หากคนขี้เป็นลมเวียนหัวจะเป็นลมเสียก่อน เพราะรถเวียนหาคนขี่ให้เต็ม  ลูกน้องยืนท้ายรถก็ร้องเรียกคนเสียงดัง ๆ บอกว่ารถจะไปไหน  อันคันที่น้าปลอดเป็นลูกน้องนั้นจะไปหาดใหญ่ผ่านแม่ขรี  ลูกน้องรถจึงเรียกคนว่า แม่ขรี หาดใหญ่ ๆ ๆ   พอเวียนหลาย ๆ รอบรถทำท่าจะออกแล้วจึงรีบเรียกเร่งย่อเข้าเพื่อจะให้คนรู้ว่ารีบ ๆ รถจะออก  จึงเรียกย่อว่า ขรี ใหญ่ ขรี ใหญ่  น้าปลอดแกคนจมูกอี้ จึงย่อว่า หีใหญ่ หีใหญ่  พอรถคนเต็มก็ออกจากพัทลุง พอถึงป่าละเมาะสองข้างทางใกล้จะถึงที่ชุมชน ลูกน้องรถซึ่งยืนอยู่บันไดท้ายรถบอกคนขับให้หยุด ด้วยเสียงดังว่า หยุด ๆ ๆ คนขับก็เบรคให้หยุด ถามลูกน้องว่า หยุดทำไมในป่าสองข้างทาง  น้าปลอดโมโหบอกให้หยุด หยุด กูอีเย็ดคน เบ่อรถเข้าป่า หยุดเย็ด คนนั้นคือหยุดยัดคนบนเก้าอี้ให้แน่นเข้า  พอออกตลาดจะได้รับคนเพิ่มอีก ทำอยู่ไม่กี่เที่ยว ผู้โดยสารไม่ค่อยกล้าโดยสารเพราะกลัวน้าปลอดหยุดเย็ดคนในกลางป่า  ตกลงเลิกจากเป็นลูกน้องรถ เที่ยวทำงานจ้างเรื่อยมาจนถึงคลองรำ มาแต่งงานกับน้าปัจ แต่ก็ไม่มีลูกสักคนเดียว ตายด้วยไข้ป่าเกือบสงครามโลกสงบ คนจมูกอี้ส่วนมากช่างพูด พูดเก่ง คนชอบพูดด้วย
 
๓....เรื่องราชานก
 
          พระอิศวรผู้เป็นเจ้าป่าวร้องให้พวกนกทั้งหลายน้อยใหญ่ให้มาประชุมกันเลือกตั้งหัวหน้าให้เป็นราชานกเพื่อเป็นตัวแทนได้ขึ้นเฝ้า พระอิศวรจะสั่งการงานอะไรมาง่ายขึ้น  นกทั้งหมดมีเหลือร้อยแปดพันนกต่างประชุมกันเสนอให้นกดุกซึ่งอยู่เคร่งขรึมน่าเกรงขาม แต่พวกนกเล็ก ๆ มากมายตื่นกลัวความเคร่งขรึมและเสียงดุของนกดุจึงไม่เอา  เสนอนกอินทรีย์มีฤทธิ์อำนาจมากเกินพวก นกน้อย ๆ ไม่ชอบอีก  จึงเสนอนกกาดำ เพราะไม่เล็กไม่ใหญ่ นกต่าง ๆ ก็ตกลงตั้งให้กาเป็นราชานก  พอรุ่งเช้าพระอิศวรสั่งให้ขึ้นเฝ้าเวลาเช้า ๘.๐๐ น.
          พอรุ่งขึ้นนกกาก็แต่งตัวสอดปีกขนดำเป็นมันให้สมกับราชานกเพื่อขึ้นไปฟังโอวาทพระอิศวร  พอบินมาได้พักหนึ่งจะเหินขึ้นฟ้าก็บังเอิญกลิ่นเหม็นซึ่งนกกาชอบมาปะทะจมูกเข้า  เจ้านกกาบินไปไม่รอดจึงแวะเข้าไปดู  เห็นหมูนอนตายเหม็นคลุ้งอยู่ เจ้ากาน้ำลายไหลวิ่งเข้าไปจิกกิน  ยิ่งกินยิ่งอิ่มอร่อยเพราะยิ่งเข้าไปถึงตับไตใส้พุง จนลืมการประชุม  นึกได้ก็เลยเวลาเป็นชั่วโมง  พระอิศวรก็ไล่กลับเพราะไม่ตรงเวลาเป็นหัวหน้าเพื่อนไม่ได้  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าสันดานเดิมยังทิ้งไม่ได้ เหมือนภาษิตว่า จริตติดตัว ทิ้งเสียผัวไม่ทิ้งจริต
          พวกนกทั้งหลายจึงประชุมกันตั้งหัวหน้าใหม่ คราวนี้ให้บินสูงแข่งกัน  ใครบินสูงกว่าเพื่อนก็ให้เป็นราชานก  นางนกฝ้ายตัวเล็กเจ้าปัญญาจึงกระโดดเข้าไปซุ่มอยู่ในขนหลังของนกอินทรีย์ พอบินโผนสูงสุด  นกฝ้ายจึงลอยออกจากตัวนกอินทรีย์ จึงลอยอยู่สูงกว่าเพื่อน  ตกลงนางนกฝ้ายได้เป็นราชานกมาจนทุกวันนี้
          ก็สมเหตุผล รังนางนกฝ้ายทำด้วยใบไม้ใบเดียวห่อเข้าเป็นกรวย โดนลมฝนก็ไม่เปียก ทั้งในรังนั้นนุ่มด้วยสำลี สมเป็นราชานก  ข้าพเจ้าจำได้เมื่อตอนเล็ก ๆ ย่าไล่ตีหากไปเล่นรังนางนกฝ้าย คุณย่าว่ามันจะแช่งถึงตายได้เพราะเป็นราชานก
 
๔...เรื่อง พูดจริงไปนรก พูดหกได้สวรรค์
 
          เรื่องมีอยู่ว่าคืนนั้นมีงานมหรสพในวัด ชาวบ้านสมัยนั้นเมื่อหนังโนราเล่นในวัดต่างแห่กันไปดูหมดบ้าน ทิ้งเรือนไว้ให้คนที่ไม่คนเฝ้าเพียงคนเดียวหรือผลัดคืนกันไปดูการละเล่นในวัด
          คืนนั้นใกล้ดึก   คนพูดจริงชายผู้นั้นก็ไปดูมหรสพเหมือนกัน   เดินไปกลางมืดคนเดียว    ผ่านเรือน ๆ หนึ่งเดินทางข้างเรือน ได้ยินเสียงกรุบกริบ กรอบแกรบอยู่บนเรือน  และมีเสียงซุบซิบพูดกันค่อย ๆ  ชายคนพูดจริงคนนั้นก็เดินผ่านไป  พอถึงวัดก็เจอกับผัวเจ้าของบ้านก็พูดตรง ๆ ว่า อ๊ะ กูเดินผ่านข้างเรือนหมึงมา ก็ได้ยินเหมือนเสียงหมึงอยู่บนเรือน  แล้วมาเร็วพรือมาอยู่ในวัดแล้ว
          ชายผู้ผัวผู้นั้นพอจับใจความได้ในคำพูดของคนพูดจริง ก็เร่งรีบกลับถึงบ้าน เอามีดพร้าฟันชู้ของเมียที่คนจริงนั้นไปบอกในวัดคอขาดตาย ภาษิตนี้บอกให้รู้ว่า พูดจริงได้พลอยไปนรก
 
๕...เรื่องพูดโกหกได้สวรรค์
 
          ผัวเมียคู่หนึ่งทะเลาะกันเข้าขั้นแตกหัก จึงแยกกันอยู่คนละหมู่บ้านเสียหลายวัน  มีชายพูดโกหกคนหนึ่งเมื่อไปพบนางเมียก็พูดว่า ผัวเอ็งปรารถถึงความดีความงามของเอ็งอยู่ ขอคืนดีก็ไม่กล้ามา  แล้วอยู่มาก็ไปพบฝ่ายผัวอีก ก็พรรณาโกหกปั้นน้ำเป็นตัวให้ฝ่ายผัวฟังอีกว่า เมียหมึงเจอกูก็พูดถึงอยู่  ชายขี้โกหกคนนั้น  ไปพูดข้างผัวบ้าง ไปโกหกให้เมียฟังมั่งหลาย ๆ ครั้งเข้า ผัวเมียคู่นั้นก็กลับคืนดีกัน อันนี้พูดโกหกได้สวรรค์
 
๖...เรื่อง โง่เหมือนควายพาของที่ท่านให้ไปไม่รอด
 
          เรื่องเล่าว่าควายถอดของที่พระอิศวรให้  ตั้งฝากต้นกล้วยไว้ข้างสระน้ำ แล้วลงเล่นน้ำดำผุดอยู่เพลิน เจ้าม้าก็กลับมาจากขอของใช้จากพระอิศวรเหมือนกัน ได้มาโดยความจำใจเล็กเกินไปไม่สมดุลย์  จึงผ่านมาเห็นของควายตั้งพิงต้นกล้วยอยู่ ก็เอาอันเล็กตั้งไว้ ได้เครื่องใช้ที่ใหญ่โต ม้าก็ดีใจ รีบเดินไป หัวเราะฮิ ๆ ๆ    ส่วนควายนั้นอาบน้ำจนเย็นก็ขึ้นจากสระน้ำ     เห็นของม้าอันเล็กตั้งอยู่ก็เสียใจร้องไห้หวะ หว้า ๆ ๆ มาจนทุกวันนี้ และความอาฆาตพยาบาทกับต้นกล้วยยิ่งนัก เพราะก่อนลงอาบน้ำถอดฝากต้นกล้วยไว้  แต่กลับได้ม้าไป ควายจึงเห็นต้นกล้วยไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ เห็นกล้วยแล้วจะฟันด้วยเขาควายจนละเอียด
 
๗...เรื่อง ยากินข้าวได้
 
          มีชายคนหนึ่งอายุเกือบกลางคนแล้ว เบื่อข้าวจึงมาหาหมอพื้นบ้านหมอยาสมุนไพร    เดินมากลางงายเช้ามาพบลุงหมอที่กำลังขุดตอเพื่อจะหักเป็นบิ้งนาอยู่  เข้ามายกมือไหว้ หมอถามว่าธุระอะไรหรือ  ชายคนนั้นก็บอกว่ามาหายากินข้าวได้  เบื่อข้าว
          ลุงหมอคนนั้นก็ยื่นจอบให้ขุดตอเล่นไปพลาง ท่านจะไปหายาสมุนไพรให้  ชายคนนั้นดีใจเมื่อลุงหมออาสาไปหายาให้ก็ขุดตอไม่ได้หยุด  คุณลุงหมอก็ไปเก็บยาข้าง ๆ หนำนานั้น แทนที่เป็นรากยาสมุนไพร หมอไปเก็บยอดไม้หน่อไม้สมรมเอาขึ้นหนำ หุงข้าว ตำน้ำพริกให้อร่อย แล้วแกงเลียงสมรม ผัดหวาน ผักตำลึง ลูกแตงเบา เห็ดนา หน่อไม้ทอด สารหุงพอควร  เสร็จแล้วเรียกชายเบื่อข้าวให้มาอาบน้ำ หยิบชามมาจากบนผลา กะลาที่คว่ำย่างฟืนหอมอยู่ มาตักข้าวขึ้นอายโพ ตักแกงเลียงสมรมใส่พรกหอม ใส่ช้อนลงน้ำชุบพาตั้งเข้าข้าง  กินกันสองคนอย่างเอร็ดอร่อย แล้วคุณหมอหันไปถามชายเบื่อข้าวว่าพรื่อมื้อนี้   ตอบว่ากินข้าวได้แล้วคุณลุง นั่นแหล่ะหลานยากินข้าวได้ ให้ออกกำลังกายก่อน กระเพาะจะย่อย จะทำงานเหมือนอวัยวะภายนอกเช่นกัน  เมื่อย่อยดีแล้วก็อยากอาหารเข้าไปทดแทนอีก จึงกินข้าวได้ เพราะทุก ๆ ส่วนของร่างกายจะทำงานพร้อมกัน
 
๘...เรื่องพ่อท่านทองทายแม่น
 
          เรื่องมีว่าสำนักสงฆ์ของพ่อท่านทองนั้น เป็นศาลาสงฆ์ตั้งอยู่ไม่ห่างทุ่งนาและบ้านคนอาศัยมากนัก  พ่อท่านทองท่านอยู่สำนักองค์เดียว มีศิษย์วัดอยู่คนหนึ่ง มาอาศัยท่านอยู่ด้วย อยู่มา ๆ ก็ท่านที่มีความรู้น้อย คนชาวบ้านก็ถอยศรัทธา ทำท่าจะอดเพราะไม่มีใครใส่บาตรและเอาข้าวมาสำนักสงฆ์  ท่านจึงออกหัวคิดให้ศิษย์ไปลักคันไถแล้วพาไปซุ่ม แล้วกลับมาบอกท่านว่าซ่อนอยู่ตรงไหน มีต้นไม้หรือปลวกอะไรเป็นเครื่องสังเกตุ เมื่อลักแล้วรุ่งเช้า เจ้าของคันไถจะไถนาก็หาคันไถไม่พบ ส่วนเด็กศิษย์ท่านทองนั้นก็ไปเที่ยวเดินเล่นอยู่ ถามกันรู้ว่าคันไถหาย ศิษย์ท่านทองว่าลองไปให้พ่อท่านทองทายดู เจ้าของคันไถก็ไปที่พ่อท่านทอง ท่านก็ทายได้ตรงทุกครั้ง คนก็เริ่มนับถือท่าน ทำท่าดังและไม่อด
          อยู่มาวันหนึ่งเพชรเจ้าเมืองหาย หาเท่าใดก็ไม่พบ คนที่ใกล้ชิดเจ้าเมืองจึงบอกให้เจ้าเมืองไปหาพ่อท่านทองมาทายดู เพราะทายแม่นเหมือนตาเห็น เจ้าเมืองจึงใช้มหาดเล็ก ให้แจวเรือไปนิมนต์พ่อท่านทองให้มาให้ได้ มหาดเล็กก็ไปถึงนิมนต์ พ่อท่านจะไม่ไปก็ไม่ได้ขัดคำสั่ง จึงห่มวรสะพายย่ามเข้า รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนจะไข้เพราะตัวเองไม่รู้ ท่าน ผิด ๆ จะถูกประหารแน่นอน พอลงเรือคนที่นิมนต์คนหนึ่งพายเรือ คนที่นิมนต์นั่งใกล้ท่านทอง ท่านทองพอลงนั่งเรือแล้วรู้สึกไม่สบายเหมือนจะไข้หนักจึงครางขึ้นว่า ฮื่อตายแหละหมึงอ้ายทองเหอ อยากหากินเบล่อ ๆ คนที่นั่งใกล้พ่อท่านได้ยินดั่งนั้นรู้ได้ว่าพ่อท่านรู้ว่าตัวเองลัก ก็คนที่ลักชื่อทอง เป็นคน ๆ เดียวกันกับมานิมนต์พ่อท่าน คน ๆ นั้นตกใจ พอท่านเอ่ยชื่อว่า ตายแลไอ้ทองเหอ อยากหากินเบล่อ เบล่อ  จึงนั่งลงกราบพ่อท่านว่าท่านโปรดช่วยผมสักครั้งผมผิดไปแล้ว ท่านทองรู้ทันทีว่าคน ๆ นั้นลักเพชร ก็หายไข้ทันที แล้วพูดไปว่า เออ กูจะช่วยเหลือมึง ให้มึงตายกูก็บาป แต่มึงต้องเอาเพชรกลับมาให้กู เมื่อกูทายต่อหน้าเจ้าเมือง อ้ายทองคนนั้นก็รับคำ  พอถึงเข้าเฝ้าเจ้าเมืองก็ทักทายทันที แต่ขอต่อเจ้าเมืองก่อนว่าอย่าฆ่า บาปจะถึงท่านด้วย เจ้าเมืองรับคำ พ่อท่านจึงชี้ตัวอ้ายทองให้เอาเพชรมาคืน ทองก็เอาเพชรมาคืนให้เจ้าเมือง
          เสร็จแล้ว เจ้าเมืองสั่งบ่าวไพร่ให้ยกสำรับกับข้าวมาถวายพ่อท่านทองหน้าบัลลังก์  พระองค์ทรงขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์
          พ่อท่านฉันไปฉันมา กระดูกเป็ดก็ติดค้างคอ เพราะไม่มีฟันเคี้ยว พูดไม่ออก ยกมือขึ้นขวายหลาย ๆ (ทำมือไขว้ ๆ) องค์ราชานึกว่าพ่อท่านกวักมือเรียกจึงรีบลงจากบัลลังก์มา ๓-๔ ก้าว ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงไฟกระจายทั้งบัลลังก์  หากท่านทองไม่กวักมือพระองค์ก็ถูกฟ้าผ่าตาย จึงรีบเข้านั่งลงกราบพ่อท่าน  ส่วนพ่อท่านทองนั้นตกใจที่ฟ้าผ่า กระดูกไก่ก็หลุดจากคอ
          เป็นอันว่าพ่อท่านทองดวงหมอท่านดีมาก ช่างเป็นเหตุบังเอิญทั้งนั้นที่ทำให้พ่อท่านดัง  พอรอดตายกลับมาสำนัก พ่อท่านก็หนีหายสาบสูญไปโดยไม่กล้าอยู่เพราะหกทั้งเพ ไม่มีความรู้อะไรเลย
 
๙...เรื่องเขยอวดแรงพ่อตาอวดรู้
 
          ได้เขยใหม่เรือนยังเล็กอยู่ สมัยก่อนก็ต้องพาลูกเขยไปฟันไม้ทำเสาเรือน เพื่อต่อเรือนให้ใหญ่พอได้อยู่  ฟันไม้กันสองคนตา-เขย  เขยนั้นฟันไม้ไม่ชำนาญ ฟันไปเก็บเกล็ดไม้ไป  ส่วนพ่อตานั้นรู้ทำจึงไม่ต้องเก็บเกล็ด  พอกลับถึงบ้าน กินข้าวมื้อค่ำร่วมกัน  ลูกสาวตักข้าวตักแกงออกมา  พ่อตาพูดเย้ยเขยว่า ไหนแกงเห็ดละอีสาว   ลูกสาวว่าเห็ดที่ไหนไม่มีเห็ดแกง ก็กูเห็นเณรฟันเสา เก็บเห็ดพลาง (คือหยิกเกล็ดไม้พลาง เรียกเก็บเห็ด)
          พอวันต่อมาฟันไม้เสาเสร็จ หามไม้เสาเต็มหนัก พ่อตาอยู่ข้างหน้า เขยอยู่ตอนหลัง หามออกจากป่า เขยรุนพ่อตาพักเดียว เพราะแรงดี  พ่อตาเอามือรูดซ้ายรูดขวาคือเกาะต้นไม้เล็กรูดใบระนาวนาวมาสองข้างทาง เพราะเขยรุนจนจะล้ม
          พอถึงอาหารค่ำลูกสาวยกสำรับกับข้าวมากินกันพร้อมกัน เขยจึงถามเมียว่า ไหนผักเหนาะละอีสาว เมียว่าเบ่อไม่มีผักเหนาะ  ก็กูเห็นพ่อแกรูดซ้ายรูดขวามานึกว่าได้เหนาะกับข้าว   (ภาษาที่ใช้ในนิทานเป็นภาษาพื้นบ้านทั้งนั้น ของคนใต้บ้านเรา)
          กลอนคำใต้บ้านเรา เป็นกลอนสี่กลอนโนราบ้านเรา
          กล่าวก่อนชาวใต้ ไปไร่มาเริ้น เที่ยวไป ๆ ไชไปเอิน อย่าเที่ยวทำเมินเม่อเดินข้ามเตราะ ถึงคลองหมาหมุด หยุดเก็บผักเหนาะ ใส่ลงในเตาะ เกาะราวให้ชับ ถลำไถลเดินไปกุบกับ อย่าทำราตับ หรือหยับขี้คร้าน เดินไปเก็บไปไม่ไหรผักหวาน ผักหมึงผักคลานขี้คร้านเด็ดมา ผักเบื้องพังแหระอย่าแลแต่ตา หน่อไม้ได้มา ลิดผ่าใส่สมรม
 
๑๐...เรื่องจะจนเหลย (จะจนอีก)
 
          ไชยชาย คำว่า ไชยชายสมัยก่อนก็คนชายโสดสมัยนี้
          เรื่องมีว่า พ่อท่านเจ้าวัดนั้นดูดวงชะตาราศีแม่นนัก  คนไปดูไม่ค่อยขาดทั้งหญิงชาย  วันนั้นเห็นท่านว่างหลังจากดูคนอื่นแล้วไชยชายมาเที่ยวเตร่ในวัดบ่อย ก็ให้พ่อท่านดูดวงให้มั่งว่าจะรวยต่อใดบ้าง พอท่านตรวจดูดวงไชยชายคนนั้นแล้วทายว่า หมึงอีจนเหลยนี่ไชยชาย  ไชยชายได้ฟังหยับไม่ค่อยเชื่อ จะจนไปถึงไหนเหลย ก็เมื่อบ้านเรือนที่ดินนาสวนไม่มีเลย เงินก็ไม่มีสักสตางค์เดียว อาศัยกินข้าววัด และก็มีมีดพร้าคอหักกับผ้าเรื้อยชายนุ่งอยู่ผืนเดียวเท่านั้น  ก็เดินออกจากวัดมาพบเจ้าแลนวิ่งเข้ารู ไชยชายนึกอยากได้ก็แก้เอาผ้านุ่งไปอุดรูแลนไว้ แล้วเอามีดพร้าเดินไปหาเชือกเพื่อจะเอามาดักปากรูเวลาแลนแล่นขึ้น  พอได้เชือกมาถึงใกล้รูที่แลนเข้า  แลนวิ่งออกมาผ้านุ่งไชยชายก็ติดหัวแลนไป ไชยชายเห็นเช่นนั้นก็เอามีดพร้าขว้างตามไปจนหมดแรง  ตกลงผ้านุ่งหนึ่งผืนกับพร้าก้านหักเล่มก็ตามติดแลนไป  สมบัติติดตัวไชยชายมีสองอย่างเท่านั้นก็พลอยหมดไป เหมือนคำทำนายที่ว่า ยังอีจนเหลย
 
๑๑...เรื่องเสือขอพรพระอิศวร
 
          สมัยนั้นสัตว์และมนุษย์จะต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของพระอิศวรทั้งสิ้น เพราะตามมติพราหมณ์ พระอิศวรเป็นเจ้าผู้สร้างโลก  เรื่องมีว่าเสือก็ต้องขึ้นไปขอพรพระอิศวรด้วยเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์อื่น  พระอิศวรจึงให้พรให้เสือมีลูกได้  ปีหนึ่งเจ็ดครอก ครอกละ ๗ ตัว  และให้เลี้ยงลูกรอดทุกตัว
          พอให้พรแล้วพระอิศวรนึกได้เมื่อเสือลากลับลงมาแล้วว่า ๑ ปี ๗ ครอก ครอก ๑ เจ็ดตัว ฉิบหายแน่ เสือจะกินสัตว์ตลอดจนมนุษย์หมดทำอย่างไรได้ นึกขึ้นได้พระอิศวรจึงแปลงตัวเป็นนกกุ้มลงมาซุ่มดักเสืออยู่ทางที่เสือผ่าน เสือเดินท้องมา ๑ ปี ๗ ครอก ครอกละ ๗ ตัว  พอจะเหยียบนกกุ้มรีบบินผลู้ เสือตกใจ ๗ ปีต่อครอก ครอกละหนึ่งตัว  รอดไม่รอดเท่ากัน
 
๑๒...เรื่องฝึกทำได้
 
          พระราชาหนุ่มพระองค์หนึ่ง ราชาภิเษกกันใหม่ ๆ ก็พามเหสีประพาสป่า พระองค์ยิงธนูหน้าไม้แม่นฉมังยิ่งนัก  จึงประลองฝีมืออวดพระมเหสี  เห็นนกจับอยู่ปลายไม้สูง ๆ พระองค์บอกราชินีว่าจะยิงให้ถูกปลายปากนกคอยรอดู พอพระองค์ลั่นธนูไปก็ถูกปลายปากนกจริง ตกลงมาตรงหน้าพระองค์หันไปถามพระมเหสีว่า ยิงได้แม่นหรือไม่ พระมเหสีตอบว่า ฝึกทำได้  พระองค์ก็ยิงใหม่อีก ตัวหนึ่งที่จะยิงให้ถูกปีก  ตัวนั้นถูกปีกจริง ๆ ตกลงมา  พระองค์หันไปถามราชินีอีก ก็ตอบเช่นเดิมว่าอะไร ๆ ถ้าฝึกหัดก็ทำได้  ตกลงว่ามเหสีไม่ได้ยกยอว่าเก่งสักครั้งเดียว  เพียงพูดว่าอะไร ๆ ฝึกหัดแล้วทำได้  พระราชาโมโหจึงไล่พระมเหสีให้จากไปเสีย (แปลว่าเลิกจากกัน)
          ส่วนองค์ราชินีเมื่อสามีไล่ก็ซัดเซพเนจรไปพบบ้านตายายคู่หนึ่ง มีอันพออยู่พอกิน  แต่ไม่มีลูกหลาน  ก็รับไว้  และให้เลี้ยงแม่วัวตัวหนึ่ง ล้อมหญ้าที่เลี้ยงวัวกับเรือนที่อาศัยนั้นอยู่คนละฝั่งคลอง  เลี้ยงไปเลี้ยงมาแม่วัวก็เกิดลูกเป็นตัวผู้  เช้าจูงแม่ข้ามน้ำส่วนลูกก็อุ้มข้ามน้ำ ขากลับตอนเย็นก็อุ้มกลับ ทำเป็นประจำทุก ๆ วัน  วัวตัวผู้ก็โตขึ้นวันละเล็กละน้อยจนต้องแบกอย่าให้ถูกน้ำ แบกไปแบกมา ๓-๔ ปีเข้าวัวก็โตเต็มที่ ก็ยังแบกสบาย เพราะวัวขี้ขลาดน้ำและแบกทุกวันก็ไม่รู้สึกหนักเลย
          อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาก็กลับมาเที่ยวเยี่ยมราษฎรในละแวกนั้น เห็นผู้หญิงแบกวัวถึกได้ ก็รู้สึกประหลาดใจ จึงให้มหาดเล็กไปเชิญตัวมาพบ จะถามว่าเรียนวิชามาจากไหน ทำอย่างไรจึงมีพละกำลังเช่นนั้น  มหาดเล็กเชิญมาเข้าเฝ้า ก็จำได้ว่ามเหสีของท่านเองจึงถามว่า เธอได้วิชามาจากไหน มเหสีเก่าตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างฝึกทำได้
 
๑๓...เรื่องยาถอนฟัน
 
          นายบ้านต้าเหย็บ หมู่ ๑๐ สมัยก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านเล่าว่าท่านไปตลาดนัดคลองแงะ เห็นหมอแขกเทศ (อินเดีย) ถอนฟันให้  คนมุงกลุ้มอยู่ชายตลาดนัด นายบ้านตะเหย็บเข้าไปดูวิธีถอน เอาน้ำยาชุบสำลีเล็กน้อย จุ่มเข้าที่โคนฟันที่จะถอน อยู่ไม่กี่นาทีใช้ให้ทำไอ ฟันซี่นั้นจะหลุดโดยง่ายดาย หรือไม่ก็เอามือไปจับโยกเล็กน้อยก็หลุด  นายบ้านเห็นใช้ได้ง่ายเช่นนั้นถามว่า ขายขวดเท่าใด  ก็สมัยนั้นขวด ๑๐ บาทใช้ได้ไม่ต่ำแต่ ๑๐๐–๒๐๐ ซี่ฟัน  ท่านว่าใช้ได้ผลเงินค่าถอนฟันพอได้จ่ายและคนเจ็บก็สรรเสริญท่านด้วย  ท่านกลับมาถึงบ้าน ฟันท่านโยกอยู่สองซี่กราม ท่านก็ทดลองดูก่อน เพื่อจะได้มั่นใจ  ค่อยถอนให้คนอื่นภายหลัง  หัวค่ำท่านเอาสำลีชุบยาแล้วจุ่มเหมือนหมอแขกเจ้ายาทำ  แล้วนั่งสักพักทำไอ ก็ไม่หลุด จนง่วงนอนคืนนั้นใกล้ดึก ลองเอามือโยกก็ไม่หลุด จึงนอนหลับรุ่ง  วันรุ่งขึ้นท่านลุกขึ้นบ้วนปากล้างหน้าหัวเช้า  อมน้ำบ้วนปาก ฟันก็ค่อยหลุดไปครั้งละซี่สองซี่  หยุดบ้วนปาก ไอก็หลุด จามก็หลุด ตกลงว่าไม่ใช่สองซี่ที่จุ่มหลุด  หลุดยกเบ้าไปเลย  แต่ดีว่าหมันไม่เจ็บ ปากผล่อไปเลย ตกลงยาขวดนั้นขว้างเข้าป่าทั้งขวดไป ไม่กล้าใช้กับคนอื่น
          ภาษิตบทนี้สอนให้รู้ว่า สิบรู้ไม่เท่าคนเคยทำ สิบลูกเขยไม่เท่าลูกเอง   สันนิษฐานว่าความชำนาญของหมอ   วิธีใช้ต้องมีเคล็ดลับ ผู้ไม่รู้ละเอียดจึงผิดพลาดได้
 
๑๔...เรื่องยาเท่าเมล็ดนุ่น
 
          ยาถ่ายสมุนไพรสี่ห้าอย่างตามตำราโบราณ เอามาตำให้ละเอียดทานครั้งละเท่าเมล็ดนุ่น  คนโบราณมักเขียนเช่นนั้น  คนกินทำเสร็จกินเท่าเมล็ดขนุน ก็ถ่ายจนเงยหัวไม่ขึ้น  เพื่อนจึงไปอ่านดูตำราเท่าเมล็ดนุ่น  หนุ่น คำเขียนโบราณ
 
๑๕...ตายทั้งคนไข้ทั้งหมอ
 
          เรื่องระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ น่าจะรุ่นเดียวกับนายบ้านตะเหย็บใช้ยาแขกมาถอนฟัน  เรื่องมีอยู่ว่า คนเกิดใหม่ ๆ ไม่สบาย หมอพื้นบ้านจึงหายาสมุนไพรมาต้มให้กิน  ปรากฏว่าคนไข้ตายในเวลากะทันหัน  แสดงอาการหนักตายเลยหลังจากกินยา  หมอที่ต้มยาจึงลองกินดูเอง อยู่ไม่นานนักหมอเองก็ตายตามไป  ทำศพพร้อมกัน  ก็ยาที่ต้มนั้น หัวดองดึงรวมอยู่ด้วย  ยาที่มีรสเมาอย่างนี้ ตามปกติหมอจะนำมาแซกเพียงเล็กน้อย และจะต้องเผาไฟเสียก่อนด้วย  อันนี้เอาเท่าตัวยาอื่น ใช้ทั้งสด ๆ อันนี้ตายเพราะรู้ไม่ถ้วนไม่ถึง
 
๑๖...เรื่องชิมเห็ดดิบเมาเกือบตาย
 
          เรื่องพบมากับตัวเอง  ข้าพเจ้ากลับจากนาข้าว  ฤดูเดือนหกฝนตกลงมา  เห็ดนางอก  ข้าพเจ้าพบเห็ดโคนเก็บมาได้สักหม้อแกง และเห็ดที่คอกควายเก่างอกเป็นรูปซีกเดียวคล้าย ๆ เห็ดชิง  ข้าพเจ้าก็เก็บมาล้างให้แม่ยายแกงกินหน้าตะวันเที่ยง  แม่ยายแกงเฉพาะเห็ดโคนได้ ๑ หม้อ  ส่วนเห็ดซีกนั้นแม่ยายแกงเป็นหม้อหลัง  พอตั้งขึ้นไฟก็กินเห็ดโคนกันจนหมดหม้อทั้ง 4 คนผัวเมีย
          ส่วนเห็ดที่แกงทีหลังยังไม่ได้กินนั้น ข้าพเจ้าล้างชิมดูดิบ ๆ สัก ๒ เท่าหัวไม้ขีดไฟคงจะได้  พอกินข้าวเที่ยงแล้วนอนวัน ตื่นขึ้นเวียนหัวเรือนหัน  ก็รู้ได้ว่าเมาเห็ด ถามคนอื่นที่กินพร้อมกันไม่มีใครเมา  ก็นึกได้ว่าเมาเห็ดดิบ ๒ เท่าหัวไม้ขีดไฟแน่  เมาเห็ดนั้นข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่าตายจริง  เพราะเพลียปลดข้อมือตีนยกไม่ขึ้นเลย  กินยาอะไรก็ไม่รับรู้  อาเจียนจนเหม็นน้ำล้างใส้  ข้าพเจ้านึกได้ลุงทองแก้วแนะยาให้แล้ว  ก็ขอช่วยน้าเณรคลักไปเอาชุมเห็ดใหญ่ทั้งห้ามาต้ม กินเข้าไปเจ็บท้องลั่นก็ให้เพื่อนหามไปส้วม พอกินชุมเห็ด ของในพุงถ่ายไปหมดพร้อมทั้งเชื้อเห็ดก็หายเวียนหัว แล้วกินน้ำพร้าวอ่อนตามเพิ่มกำลังก็หายเมาเห็ด
 
๑๗...เรื่องนักเลงโตแต่หัวโค้ตายาย
 
          โนราขำ จันทร์เขียว เล่าว่าสมัยรำโนราแกเป็นนางรำของโนราแคล้วโหละยาว  โนราขำว่าอีติดหราง (ตะราง) กับเล่นโนรา  เรื่องมีว่าที่พัทลุง บ้านใดผู้เขียนจำไม่ได้ มีการรับโนรา เชิญครูเข้าทรง คืนนั้นโนราแคล้วเชิญครูหมอให้หาทรงใหม่  ก็บังเอิญไปจับที่ลูกสาวเจ้าของเรือนที่รับโนราไปเชิญครู  เสียงลงลั่นสะเทือนอยู่ในห้องนอน รู้เช่นนั้นก็มีคนผู้เฒ่าไปช่วยแต่งตัวให้รัดกุม เพื่อผ้านุ่งจะไม่หลุด
          ฝ่ายพี่บ่าวซึ่งเป็นนักเลงโตในแถวนั้น ฉวยพร้าลืมงอเล่มไอเฒ่า มายืนจังก้าอยู่บนบันไดนอกชานเรือน  ยกร่ายรำมีดพร้าแบบนักเลงโตว่า ถ้าน้องสาวลงมาทางนี้กูอีฟันให้คอขาด
          พวกโนราอกสั่นขวัญหายไปตามกัน  ยิ่งได้ยินเสียงทรงสะเทือนบนบ้าน โนราก็เชิดเครื่อง น้องสาวจับลงรำแฉ้ลงมานอกชานจะผ่านพี่ชายนักเลงรำมีดพร้าลืมงออยู่  ทรงน้องสาวฉัดมีดพร้าปลิวหายไม่รู้ไปตกที่ไหน  กระโดดจากเรือนลงไปร่ายรำในโรงมโนรา รำก็ท่าหยาบ ๆ พูดหอบแบบนักเลงโต
          เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นักเลงโตมาแต่หัวโค้ตายาย
 
 ๑๘...เรื่องนับญาติไม่โร้เทียมครั้งโป่ครั้งย่า
 
          คนหรำบางพวก มีเหมือนกันที่ไม่รู้จักหัวโค้โป่ย่าตายาย คือไม่รู้จักนับญาติกัน (เรื่องที่เขียนมานี้เป็นคำใต้มาก นักเรียนสมัยนนี้อาจไม่เข้าใจ
 
๑๙...อยากก็สู้ยิ่งอิ่มยิ่งสู้
 
          เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านคลองทรายสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยใช้เงินเหรียญไม้เท้า ใครมีนามีวัวควายช้างก็เป็นคนรวย คนร่ำรวยสมัยนั้นเก็บเงินไว้ใช้เอง ไม่มีธนาคารฝาก เรื่องของต้นตระกูลอมแก้ ดูเหมือนเป็นปู่ของพี่เณรเขียนน้องเณรเยื่อง เป็นคนมีเงินสมัยนั้น  โจรก็ส่งข่าวมาจากคลองหอยโข่งว่าระวังโจรจะมาปล้น
          อยู่มาวันหนึ่งวันนั้นหน้าเที่ยง คน ๆ นี้แบกฟืนเต็ม แบกมาจากไร่เหลือบเห็นคนแปลกหน้านั่งอยู่บนเรือนห้าคน  ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นโจร มาคอยปล้นอยู่แล้ว  ท่านเห็นเช่นนั้นก็ มันผัดฟืนลงตรงหน้า แล้วบั่นด้วยพร้าเล่มเบ่อเร่อจนดอกไฟกระจาย ปากก็พูดว่า อยาก ๆ อยู่พรรณนี้ได้เห็นเลือดกัน
          พวกโจร ๕ คน เห็นแกโมโหอยากข้าวอยู่ก็ไม่ปล้น คอยให้แกกินข้าวอิ่มเสียก่อน จะหายโมโห  จึงรอคร่าวให้แกเข้าครัวหุงข้าวสุกกินเสร็จแล้วแกรีบออกมาจากครัวกระโดดลงไปหน้าบันไดรำพร้าเล่มเบ่อเร่อว่า ถ้ากูอิ่มแล้วอย่างนี้ให้มาสักสิบก็ไม่กลัว
          พวกโจรห้าคนต่างพยักหน้ากันลุกขึ้น เอามือปัดตะโพกเดินย่องกลับภูมิลำเนาเดิมโดยไม่กล้าสบตาเจ้าเรือน เรื่องนี้เป็นอันว่า อยากกูสู้ ยิ่งอิ่มยิ่งสู้หนักขึ้น
 
๒๐...เพื่อนเลียนแบบ
 
          เรื่องมีอยู่ว่าชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งได้เมียสวยอาชีพทอดแห ยืนหัวเรือทอดแหหัวเรือ ได้ปลากลับมาให้เมียขายในวันรุ่งขึ้น ธรรมดาคนเพิ่งได้เมียใหม่ พอไปทอดแหสักพักหนึ่งก็กลับมากินห่อตามธรรมดาข้าวใหม่ปลามัน
          มีชายคนหนึ่งเพิ่งสึกจากวัดผมพอดีดน้ำ หากินเลียนแบบเพื่อน ชอบมาลักซุ่มอยู่ข้างเรือนผัวเมียทอดแหเสอะห่อ  ชายเพิ่งได้เมียคนนั้นทอดแหสักพักก็กลับมาตั้งแหดังโครกนอกชานเรือนแล้วเข้าไป  เสอะห่อทุกคืนโดยนางเมียก็นอนไม่ใส่กลอนประตู  โดยไม่ต้องตื่นและลุกขึ้นให้เสียเวลา  ทำเช่นนั้นเป็นประจำทุกคืน  จนชายเพิ่งสึกจากวัดผมดีดน้ำคนนั้นเลียนแบบ  พอเจ้าผัวไปเสียพักหนึ่ง นางเมียสวยกลางหลับสนิท  ก็เอาแหตั้งโครกนอกชานแล้วเข้าไปทำเหมือนผัวนางคนนั้นทำ ทั้งเมียสวยเพื่อนกลางหลับ น่าจะสลึมสลือหรือผิดประหลาดไปบ้าง เอามือคลำหัวชาย ชายนั้นผมพอดีดน้ำก็ยกหัวให้สูงเสีย ทำงานกินห่อเสร็จก็ยกแหลงเรือนไป อยู่มาไม่นานเจ้าผัวก็ถลันเอาแหตั้งโครก เข้าไป นางเมียยังไม่ทันหลับดีก็ทำหลับ  พอถูกเข้าสองซ้ำในเวลาไล่เลี่ยกันนางเมียรู้แต่เฉย ๆ เสีย อย่าให้เรื่องอื้อฉาวจะละอายชาวบ้าน  เพราะไม่ใช่เจ็บช้ำอะไรเลย  หากพูดไปก็เสียชื่อเสียงเปล่า  (นิ่งไว้ได้กำไร พูดออกไปขาดทุน)  เรื่องจะจบเพียงครั้งเดียวหรือไปยาว ผู้อ่านลองคิดดูเอาเอง ผู้เขียนก็สันนิษฐานไม่ได้ว่าอย่างไร
 

อัพเดทล่าสุด