20 นิทานพื้นบ้านเรื่องสั้น (ตลก เฮฮา ) เป็น นิทานสำหรับเด็กๆ


8,692 ผู้ชม


๖๑...เรื่องพาคนไปแลช้าง
 
          ชายคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดี่ยวกับท่านเป็นคนมีเงินทั้งแก่วัดช่างพูด  วันนั้นไปที่บ้านท่านกำนัน ท่านถามว่ามาทำไม ชายผู้นั้นก็บอกว่าจะมาแลช้าง  ท่านกำนันว่าเดี๋ยว  สั่งให้เมียคดข้าวหอเชอะปั้นแล้วชวนชายผู้นั้นเดินไปครึ่งวัน  จนถึงหลาทอดทุ่งจูดรูปช้างอยู่บนหลา  ท่าก็ชี้ให้ดูช้าง  เรื่องมาแลช้าง
 
๖๒...เรื่องนั่งเห็งโจร
 
          สมัยก่อนพอเกิดเรื่องมีคนลักวัวก็จะตามสะกดรอยไป ไปหายรอยบ้านไหนก็กลับมาหาคนใหญ่ (นักเลงประจำหมู่บ้าน) ให้ไปขอคืนให้ คนใหญ่ ก็ไปพบคนใหญ่ของชุมโจร พูดจ่ากันนาน  ฝ่ายวัวถูกลักโมโหลุกขึ้นชี้หน้าเรื่องนี้ มึงคนนั่งเห็งไว้  คนฝ่ายโจรก็ลุกขึ้นกับดูเท่นั่ง มึงแลกูนั่งเหงไว้ตรงไหน
 
๖๓...เรื่องพริ่มสีลบ
 
          สีลบคนเจ้าสำนวนท่านอยู่กลุ่มไหน คนกลุ่มนั่งจะยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริง เป็นคนพูดคม เจ้าสำนวน  สมัยหนุ่ม เพื่อนช่วยลากเมียให้ไปนอนหนำไร่หนำสูงสีเสาหรือหกทั้งเสาเบี่ยง   เมื่อรุ่งขึ้นเพื่อน ๆ ลากลับบ้านให้สีลมอยู่เฝ้าเจ้าสาวพอแดดออกรุ่ม ๆ ก็หาวนอน  เพราะตอนกลางคืนนอนน้อยไป เอนหลังลงนอนเล่นก็หลับไป  เจ้าสาวเดินลงจากหนำเอามือโยกห่มเสาหนำ เจ้าบ่าวก็ยังไม่ตื่น เจ้าสาวจึงวิ่งกลับบ้านเสีย พอเที่ยงเพื่อน ๆ ก็กลับไปเห็นสีลมนั่งอยู่คนเดียว ถามว่าไหนเจ้าสาว สีลมตอบว่า กูพริ่มไปหีดเดียวไม่รู้มันไปไหนเสียแล้ว จึงได้ชื่อ พริ่มสีลบมาจนทุกวันนี้
 
๖๔...ไก่ชนก็เสียเมียก็สูญ
 
          ผัวเมียคู่หนึ่งฐานะค่อนข้างดี ต่างคนก็หนุ่มแน่นอยู่ แต่เจ้าผัวชอบเลี้ยงไก่ชน ธรรมดาคนชอบไก่ชนเวลาหลับจากนาไร่ตาจะต้องมุ่งไปที่ไก่ชนก่อนลูกเมีย  วันนั้นเจ้าผัวกลับจากทำงานไม่เห็นไก่ชนถามเมีย ๆ บอกว่า ไก่มันขึ้นเรือนหลายตัวพ่อแกโมโหซัดตูดไก่ชนตายค่อยหาให้ใหม่  เจ้าผัวโมโหร้องพ่อด่าแม่ขวางกับพ่อตาขนาดจะฟันคอกัน ตกลงยกพายขาดกับเมียจนหมดชีวิตกันทั้งคู่  โดยไม่ได้รบรากันเลย
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า หากไม่วู่วามจะไม่เสียสักอย่างเดียว
 
๖๕...เรื่อง เต้นสีหลาด
 
          คำนี้ไม่รู้มาจากไหนผู้อ่านสอบถามผู้รู้ดูจะได้มาบอกข้าพเจ้าบ้างคำโบราณหรือคำบ้านเราที่ไม่กระจ่างแจ้ง  ส่วนมากข้าพเจ้าไปถาม ผ.ญ ฤทธิ์ อดีตหมู่ 3 เป็นผู้ให้ความรู้  เรื่องเต้นท่าสีหลาด นั้น
          มีเรื่องเล่าว่า สมัยทวดทำนาหักนาใหม่ที่ข้างถนนพาดทางทิศตะวันออกนั้น  ปู่เล่าว่า ทำคอกควายใหม่ป่าตอไม้เพิ่งโค่นบ้างไม่โค่นบ้าง เพื่อให้ควายโยกให้คลอนจนตายเปื่อยในฤดูฝน 
คืนนั้นทำคอกควายใหม่ใส่ควายฝูงแรกขัง  พ่อทวดไปนอนหนำเฝ้าควายพอไม่ทันหลับดี เสียงควายเหว๊ะ ๆ ตึง ตึง ทึ ทะ ในคอกใหม่  ทวดเข้าใจว่าควายผู้ชนกันในคอกกลัวคอกจะแหก เพราะในฝูงมีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่  ท่านเดินไปในความมืด พอถึงข้างคอกควายก็ตวาดควายนึกว่ามันชนกัน ที่ไหนได้ เจ้าเสือโคร่งวิ่งทึออกจากคอกควายเกือบเหยียบเอาพ่อทวด
รุ่งเช้าท่านไปเปิดควายให้กินหญ้าเห็นขนเสือติดตอไม้เกือบทุกตอ  แสดงว่าเจ้าพ่อกำลังอยากกระโดด เข้าไปตะครุยควายในคอก  ควายมันสู้รุมกันฟันเจ้าเสือเต้นท่าสีหลาดตามโคนตอไม้ขนเสือจึงติดอยู่หยูมหยาม
 
๖๖...เรื่อง ยิงเสือลำบาก
 
          สมัยข้าพเจ้าเด็ก ๆ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น กลางคืน เสือหาของกินไม่ได้ไซร์กลับมาลักหมู่ในบ้าน  จึงเกิดเรื่องยิงเสือขึ้นที่ทุ่งนาหว่านหน้าหมู่บ้านท่าท้อน ยิงด้วยปืนลูกซองนัดเดียวไม่ตายจึงใช้ชื่อว่า ยิงเสือลำบาก (คือตามยิงซ้ำเสือให้ตาย) ยังว่าเสือหากยิงนัดเดียวไม่ลง แม้แต่ค่างก็ต้องยิงหลายนัด  สมัยนั้นคนสวนใหญ่ ๓๐๐ ไร่ ก็เริ่มตัดยางแล้ว จึงแห่กันไปดูเขายิงเสือลำบากในทุ่งที่กล่าวนี้มีต้นหว้า ต้นขี้ใต้หลายฟันไม้ต่างคนต่างขึ้นปลายไม้กัน
          พอพรานปืนตามสะกดรอยเสือเจอเข้าก็ยิง โผง  เสือก็วูกสุดเสสียง  คนขึ้นต้นไม้ก็ขึ้นสุดยอดจนไม้ชะโงกนอนลงมาถึงดิน เพราะทานน้ำหนักไม่ได้ หากเสือถึงมาก็แน่ไปเลยยิงกันหลายนัดกว่าจะตาย คนดูก็ปีนป่ายขึ้นต้นไม้หลายต้น
 
๖๗...เรื่อง อนุเคราะห์ก่อน
 
          เด็กสมัยนี้ คำนี้คงไม่รู้เรื่อง  แปลว่าไตร่ตรองเสียก่อน  ภาษากฎหมายก็ว่าฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โทษหนักมาก  เรื่องมีว่า เขาพาเจ้าบ่าวไปดูตัวเจ้าสาวว่าจะตกลง ชอบหรือไม่  ตอนเขาให้ดูน้องแต่วันแต่งงานเปลี่ยนเป็นตัวพี่  เจ้าบ่าวยกขันหมากไปแล้วพาเจ้าสาวออกมาเจ้าบ่าวเห็นว่าไม่ใช่คนที่เขาให้ดูตัววันนั้น จึงนั่งลังเลอยู่  และหันไปบอกผู้ใหญ่ว่าไม่ใช่คน  ๆ ที่มาดูตัว  เขาจึงบอกว่าคนที่ดูวันนั้นเป็นน้องคนนี้เป็นพี่แล้วมึงอีเอาหรือไม่  เจ้าบ่าวว่า เดี๋ยวกูอีนุเคราะห์  เออ  นุเคราะห์แล้วเอากาเอา ตกลงแต่งอยู่กินกันดี  จนได้สร้อย ฉายาว่า สีแก้วนุเคราะห์ เป็นคนเจ้าสำนวนดี
 
๖๘...หนีได้ให้รางวัล
 
          เรื่องนี้เกิดขึ้นเมือปี ๒๔๙๘  ตอนไปฝึกอาสารักษาดินแดนที่โรงเรียนวิเชียรชม   จังหวัดสงขลา  กลางวันฝึกกลางคืนหนีเที่ยวแหลมกันบ้างเป็นประจำ  นายเจริญ  ณ สงขลา ท่านเป็นปลัดปีแรกส่งมาเป็นปลัดและเป็นจ่ากองพวกผม  นายพ่วง  สุวรรณลักษณ์ เป็นนายกอง  จ่ากองเด็ดขาดเอางานเอาการแบบทหารเต็มเปอร์เซ็นต์ข้าพเจ้าเวลาพักยึด ๕ นาที เก็บหมวกหนีบใส่กระเป๋ากางเกงหลัง พอนกหวีด ๑ วิ่งไปเข้าแถวลืมกางหมวก  ๓๐ ที่ วิดน้ำหน้าแถว ครั้งเดียวที่หลังไม่เคยลืมกางหมวก และคืนนั้นนายเผ่า ศรีอานนท์ อธิบดีตำรวจจะมาเยี่ยมค่าย ท่านสั่งให้ทุกคนอย่าหนีเที่ยวและกำชับยามถึงสองชั้น คือ ชั้นหน้าห้องนอน กับชั้นหน้าค่าย  ข้าพเจ้าอยากดัง เมื่อจ่ากองไม่ให้หนีก็ลองหนีดูว่าจะหนีได้หรือไม่ ข้าพเจ้าหนีไปเที่ยวแหลมได้  จ่ากองขึ้นไปตรวจพลถึงที่นอนก็รู้ว่าหนี ตามจับข้าพเจ้าโดยท่าถีบจักยานตามไปพบที่แหลม และท่านว่าเก่งหนีมาได้อย่างไรยามมีถึงสองชั้น  ท่านจึงสนิทกับผม และตอนเลือกไปจังหวัด ๑๒ คน ไปอบรมทำหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาที่อุดรค่ายเสณีย์  รณยุทธ ปี ๒๕๐๓  ข้าพเจ้าติดไปด้วย และเพื่อนตั้งให้เป็นหัวหน้าจังหวัด
          พอเป็นหัวหน้าเข้าเพื่อนว่า เห็นไม่เหมือนที่อยู่สงขลาเที่ยวเปลี่ยนไม่เที่ยว เพราะเราจะต้องพาชื่อเสียงจังหวัดด้วยอบรบอยู่ ๑ เดือน วันปิดการอบรม ทั้งภาคใต้ จังหวัดสงขลา ได้ที่ ๑ ในการฝึกครั้งนั้น  กลับมาได้ข้าม ๓ ขั้นรวดเดียว  คือ ตรี โท เอก เป็นนายหมู่ตรี  และต่อมาหลายปีจึงได้เลื่อนยศเป็นนายหมู่โทกองร้อยสองด้านส่งกำลังบำรุง และ ปี ๒๕๔๐ นายอำเภอประกอบ  นพวรรณ  ขอเหรียญราชการชายแดนให้ได้ด้วย  ท่านว่าเป็นศรีของวงค์ตระกูล โดยในหลวง ท่านลง ปรมาภิไธยจึงได้ ผมภูมิใจมากจึงพยายามทำความเจริญกับท้องถิ่นตามกำลังความสามารถ จนได้รางวัลที่ ๓ ของกองอาสารักษาดินแดน พร้อมบัตรเกียติคุณ  เงินสด ๕๐๐ บาทด้วย และบัดนี้จะเขียนนิทานให้ได้ ๑๐๘ นิทานไว้เป็นอนุสรณ์  หลวงวิจิตรวาทการ ท่านว่า ความจริงจะแฝงอยู่ในนิทานฃึ่งจะได้ประโยชน์กับผู้อ่านตามสมควร
 
๖๘...เรื่อง เย็บปาสาคู
 
          ข้าพเจ้าปลูกสาคูไว้มาก  ยางก็ตัด แต่ปีนั้นจากราคาตับ ๖ บาทอยู่พอปีนั้นฝนตกชุกชาวปาดังต้องการจากไปใส่ห้องอาหารมากมาสั่งทางบ้านคลองทรายเขาก็ตัดยากจึงมาขึ้นราคาให้ข้าพเจ้าเป็นตับ ๑๐ บาท ของข้าพเจ้าไม่น้ำพอตัดได้จึงตัดมาเย็บทุกคืนหัวค่ำหว่างหลับ หัวรุ่งไปตัดยาง
          พ่อตาข้าพเจ้าเย็บไม่สวยจะเย็บมั่งก็อายข้าพเจ้าจึงพูดกับแม่ยายว่า กูน่าจะเย็บมั่งนึกเพลินขึ้นมาสาคูนี่ คลองนวมถ้ามี ถ้ามึงไปเป็นเพื่อนเย็บป่าสาคูก็ได้กลางวันมัน ถ้าไม่เปลื่องไฟ
 
๖๙...หมันไม่ ๗ รู
 
          พ่อตาข้าพเจ้าเป็นคนพูดซ้ำ ๆ (อั้ง) ปีนั้นเณรเดชหลังจากบวชก็แต่งงาน แต่งกันได้ไม่ถึงเดือนก็เลิกหันหลังหาหันเจ้าสาวก็กลับบ้าน  วันนั้น พ่อตาแกยืนอยู่หน้าบ้าน  เณรเดชเดินผ่านมา ท่านถามเณรเดชว่า  ไซ้รหมันไม่ไม่รู้มันเห่อโลกเดชถึงได้เลิกกัน  เณรเดชตอบไม่ได้ เดินอมยิ้มไปเลย
          ที่ท่านถามเช่นนั้นก็มีเหตุ**เพราะธรรมดาคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน ไม่ถึงเดือนเลิกกันหมันมีสาเหตุอันใดเล่า คงไม่มี ที่พ่อตาถามเช่นนั้นน่าจะตรงประเด็น
          หมันไม่ไม่รู้หมันเห่อโลกเดช
 
๗๐...กลัวหนำโหะ
 
          เรื่องพ่อตาข้าพเจ้าเหมือนกัน เย็น นั้นแกเดินกลับจากไร่สมัยนั้นเดินไปมาด้วยเท้า      เดินมา กลางทางสวนกับน้าทิ่ง แกเพิ่งได้เมียใหม่พาไปนอนหนำไร่ที่ควนทางไปทุ่งบางใจ  พ่อแกหลบมานั่งบ่น งุม งำ ๆ  ว่าหลานทิ่งมันได้เมียใหม่ พาเมียขึ้นไปนอนไร่ ไม่โร้หนำหมันชับ ชับ มาย เพราะหนำหลายปีแล้ว แกเป็นทุกข์แทน
 
๗๑...อย่าหรับหรับกู
 
          วันนั้นข้าพเจ้าพาควายฝูงข้ามคลองไปเฝ้าข้างเปลวต้นหว้า เพราะป่ายางน้าสินหญ้ามาก พ่อตาพูดกับข้าพเจ้าว่าหมึงพาควายไปแลที่นั่น หมึงอย่าหรับหรับกู เพราะท่านกลัวผี อย่าให้ท่านไปเปลี่ยนแถวเปลว แกไม่เล่นด้วย
 
๗๒...หล่นพานรถไฟ
 
          สมัยก่อนตัดถนนบางควาย คลองรำ ชาวบางควายใช้คิ้วถนนทางรถไฟสัญจรไปมา ทั้งเดินทั้งรถจักรยาน (รถถีบ) ทางรถไฟสมัยนั้นถีบรถได้สบาย พ่อตาแกไปเลี้ยงควายทุ่งสะพานเหนือใกล้บางควาย  ก็ใช้รถถีบกับเขาด้วย แต่พอขึ้นบนรถไฟจะต้องยกขึ้นรุน ก่อนยกขึ้นจะต้องแลหน้าแลหลัง แลรถไฟเสียก่อน  วันนั้นพ่อแกลืมแลรถไฟยกรถขึ้นรุนบนถนน รถไฟก็ล่อหัวมา  แกตกใจล้อรถเหยียบตีนพอดี  ล้มทั้งรถทั้งคนกระโดดลงไปยืนอยู่ใต้สะพานรถไฟ ก็พ้นสบายไปเลย แกเข็ดเล็กน้อย แบกรถขึ้นมาใหม่
 
๗๓...เหลียวไปไหนล้มไปนั่น
 
          เรื่องพ่อตาขบขันหลายเรื่อง ท่านหัดรถถีบภายแก่จึงไม่ชำนาญเหมือนคนหนุ่ม  ถีบมาพบคน เขาจะถามว่าไปไหนมาไหน แกถ้าไม่พูดด้วยเขาหาว่าโกง ถ้าพูดจะต้องหันหน้าไปด้วยขณะถีบรถ หันไปไหนรถก็เล้ล้มไปนั่นทุกที
 
๗๔...นั่งหัวเทียม ๆ กับกู
 
          เรื่องสมัยเมื่อแม่ชีเห้งมาอยู่หลาป่าช้าต้นหว้า คนบ้านใกล้เคียงนับถือมาก พ่อแกเป็นคนกลัวผี  นั่งได้เดี๋ยวหนึ่งเสียงสกเส็กๆ ข้างแก  แกหยับขนหัวพอง  จึงลืมตาดู  กูนึกว่าไอไหรโถกเอาไอดำมานั่งหัวเทียม ๆ กับกูด้วย
          อ้ายดำเป็นหมาตัวผู้ของข้าพเจ้าตัวโต สมัยน้าสิทธิ์ยิงโจร อ้ายดำตัวนี้ไปกับข้าพเจ้าด้วยคืนนั้น  คนเดินผ่านไปนับสิบอ้ายดำเข้าไปเห่าในป่าข้างทาง  ข้าพเจ้าจึงส่องไฟไปดู โจรปล้นน้าสิทธิ์ นอนเจ็บหนักอยู่คนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเรียกกู่ นายบ้านชื่นและเพื่อนบ้านเดินวกกลับมา
 
๗๕...เรื่องขนทรายเข้าวัด
 
          วัดบ่อเกตุอาจารย์เพิ่งสร้างใหม่ ทุกวันพระชาวบ้านพาโคมไปตักทรายคลอง ทูนหรือหิ้วมาใส่ในลานวัดหน้ากุฏิพระ  พี่หลวงเพิ่มพูดว่า คนโบราณเขาว่าหากผู้ใดทำบาปไว้กับสัตว์ เช่น ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ให้ขนทรายเข้าวัด ทำบุญล้างบาปได้
          พ่อตาได้ยินดังนั้น แทนที่ขนที่ลูกโคม  ท่านเอาปี๊ปมัดท้ายรถถีบจะได้เที่ยวละมาก ๆ เพราะท่านทำบาปไว้มาก อดีตเป็นพรานป่าล่าเนื้อ พี่หลวงเพิ่มนึกขำ
 
๗๖...เรื่องควายฟันยางเจ้ายางผิด
 
          เรื่องมีว่าข้าพเจ้าเลี้ยงควายฝูงที่นาน้าเณรแดง ทองน้อย  หญ้าขึ้นเต็มนา  เพราะแกปลูกยางข้างนา  ข้าพเจ้าไม่กล้าพาควายฝูงไป
          วันนั้นแกมาสั่งให้ข้าพเจ้าปล่อยควายไปให้นาเตียนมั่ง กูอีเฝ้าสวนยางกูเอง  ข้าพเจ้าดีใจ ปล่อยไปควายอิ่มทุกตัวเพราะหญ้ามาก   อยู่มาวันหนึ่งตรงวันพระน้าเณรแดงพาข้าวไปวัด นึกขึ้นได้รีบกลับมา ควายฟันยางเสียหลายต้น แล้วข้าพเจ้าไปถึงลุงแดงคนซื่อน่าเอ็นดู ท่านว่าท่านผิดเองที่ไปวัดไม่ได้บอก
 
๗๗...เรื่องตะเกียงเดินได้
 
          เรื่องเณรเจื้อมเหมือนกัน  เมื่อยังอยู่หนำข้างนาหนำเรียบ ไม้ไผ่ฝาก็กั้นไม้ไผ่ ใส่หลังคาจาก  เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันชอบเล่น   เพราะเป็นคนใจเย็น ไม่รู้ขี้โกรธใคร  ไอ้โหมเณร....รุ่นกัน ๒-๓ คน คิดกันไปดอมเณรเจื้อม พอเข้าไปดอม เห็นคู่ผัวเมียเพิ่งหลับ จึงเอื้อมมือไปเลื่อนตะเกียงป๋องมันก๊าซ จากที่เดิม  เณรเจื้อมลืมตาขึ้น เรียกเมียให้ดูว่าตะเกียงเดินได้ แรกเดี๋ยวเบ่อตั้งตรงนี้ พี่ไปตั้งตรงนู่น  พวกดอมกลั้นหัวเราะไม่อยู่ก็พากันวิ่งกลับบ้าน
 
๗๘...เรื่องใครดีเข้ามา
 
          เรื่องนี้เกิดขึ้นในวัดยางทองสมัยนาคน้องแฉล้ม น้องไวย์ ประกอบบุญ และเพื่อนนาคซน ๆ อีกรวมม ๔-๕ คน  คืนนั้นอาจารย์ไปอยู่บ่อเกตุ เชื่อแน่แล้วว่าท่านคงจำวัดที่นั่น  พวกนาคจึงเอาไก่มาต้มกินที่หอไตร  หอไตรมีบันไดปูทางขึ้นมหึมา กำลังกินกับแกล้มสนุกกันอยู่  นาคคนหนึ่งหันลงไปทางบันไดปูนหน้าหอไตร เห็นหลบวูบบังบันได จึงบอกเพื่อนว่าคนดอม  พวกนาคกำลังคึกคะนองทั้ง ๕ คนก็วิ่งกรูลงมา  คนที่มาดอมวิ่งไปทางทิศใต้ของวัด นาคทั้งห้าวิ่งตามไปกระชั้นชิด  ผู้วิ่งหนีไปจนโรงเรียน วิ่งไม่ได้จึงอ้ามือยกขึ้นสุดฉาก  ร้องว่าใครดีเข้ามา
          ถูกเอาท่านอาจารย์ กลับมาปาใดไม่รู้  ต่างคนต่างวิ่งแตกกระจัดกระจายย  รุ่งเช้าขึ้นพวกนาคดับแต่งพอกพระ (ข้าวถวายพระ)  พวกนาคที่ไม่ร่วมด้วยเมื่อกลางคืนก็ถามเรื่องว่า เรื่องไหรเมื่อคืนเสียงวิ่งตามกันคึกคัก
          เณรแหล็มจึงเล่าความ  แต่หันไปดูหน้าหลังเสีย ก่อนเห็นอาจารย์อาบน้ำอยู่บ่อกลางวัด จึงตั้งต้นเล่า แฉล้ม มันรวบรัดตัดตอนไม่ค่อยเป็น เล่าจนอาจารย์อาบน้ำเสร็จ  เรื่องขั้นสุดท้ายหมันทำท่ายกมือขึ้นสุดฉาก ปากก็ร้องว่าใครดีเข้ามา อาจารย์ก็ขึ้นบนครัววพอดี  แฉล้มเอามือลงไม่ทัน
 
๗๙...ลองเอาไปเหนาะมั่ง
 
          เรื่องมีว่าหน้าค่ำฤดูสะตอเป็นลูก  โจรลักสะตอแถมลักแกมเล่น  เก็บลูกสะตอหิ้วเต็มมือ อยู่  เจ้าของไปถึงโจรก็แบ่งลูกตกยื่นให้  เอาสูลองเอาไปเหนาะกินมั่งท่าจะไม่แก่ดีที
          เจ้าของสะตอยืนงง เอามือไปรับลูกตอมากำไว้ โจรก็จากไป  เรื่องนี้คล้าย ๆ กับเรื่องงมพร้าค่าติดหลุดกัน  เรื่องนี้ก็เหมือน ไม่รู้ใครเป็นโจรใครเป็นเจ้า
 
๘๐...เรื่องให้แล้วไม่เอา
 
          เรื่องพี่เณรจันทร์ตัดกล้วยทุกรถถีบไม่หมด เหลือเครืองามอยู่หนึ่งเครือก็พอดีคนรู้จักกันถีบรถผ่านมาเรียกให้หยุด  ฝากกล้วยให้เมียด้วย  คนพาของฝากพอมาถึงหน้าบ้านพี่แก่นก็หยุดเรียกให้มาเอากล้วย  พี่แก่นบอกว่า มีแล้วไม่ต้องเอา คนรับฝากก็พาพ้นไปขายตลาดคลองรำเสียก็หมดเรื่อง
          แต่เรื่องยังไม่หมด  พี่เณรจันทุกกล้วยกลับถึงบ้านถามนางเมียว่าไหนกล้วยที่กูฝากเขามาให้หมึง  เมียตอบว่าผู้รับมาเรียกให้แล้ว  ฉานไม่ออกไปเอาเพราะไม่ได้นึกว่ากล้วยเรา นึกว่ากล้วยเขาเรียกให้เรา ก็ไม่เอาเพราะมีแล้ว
 

อัพเดทล่าสุด