กฎหมายแรงงานเรื่องเวลาทำงาน กฎหมายแรงงานเรื่องการทํางานล่วงเวลา
เราเรียนรู้เรื่องค่าจ้างไปแล้ว ก็ควรจะรู้ต่อไปอีกสักหน่อย เรื่องค่าจ้างสำหรับการทำงานในวันหยุด “ค่าทำงานในวันหยุด “ ค่าจ้างสำหรับการทำงานล่วงเวลา “ค่าล่วงเวลา” และค่าจ้างสำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด “ค่าล่วงเวลาในวันหยุด”
ก่อนอื่นเรามาเรียนรู้ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนนะครับ
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ และฉบับแก้ไขปี ๒๕๕๑ กำหนดไว้ดังนี้
มาตรา ๕
"วันทำงาน" หมายความว่าวันที่กำหนดให้ลูกจ้างทำงานตามปกติ
"วันหยุด"หมายความว่าวันที่กำหนดให้ลูกจ้างหยุดประจำสัปดาห์หยุดตามประเพณีหรือหยุดพักผ่อนประจำปี
"ค่าจ้างในวันทำงาน" หมายความว่าค่าจ้างที่จ่ายสำหรับการทำงานเต็มเวลาการทำงานปกติ
"การทำงานล่วงเวลา" หมายความว่าการทำงานนอกหรือเกินเวลาทำงานปกติหรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละ วันที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันตามมาตรา๒๓ในวันทำงานหรือวันหยุดแล้วแต่กรณี
"ค่าล่วงเวลา" หมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน
"ค่าทำงานในวันหยุด"หมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในวันหยุด
"ค่าล่วงเวลาในวันหยุด" หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด
มาตรา๒๔ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆไป
ใน กรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือ เป็นงานฉุกเฉินหรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงนายจ้างอาจให้ลูกจ้าง ทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น
มาตรา๒๕ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้าง ทำงานในวันหยุดเว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้า หยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉินนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุด ได้เท่าที่จำเป็น
นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดได้สำหรับกิจการ โรงแรมสถานมหรสพงานขนส่งร้านขายอาหารร้านขายเครื่องดื่มสโมสรสมาคมสถาน พยาบาลหรือกิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เพื่อประโยชน์แก่การผลิตการ จำหน่าย และการบริการนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานนอกจากที่กำหนดตามวรรคหนึ่งและวรรค สองในวันหยุดเท่าที่จำเป็นโดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆไป
มาตรา๖๑ ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานให้นายจ้างจ่ายค่าล่วง เวลาให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อ ชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของ อัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้ รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
มาตรา๖๒ในกรณีที่นายจ้างให้ ลูกจ้างทำงานในวันหยุดตามมาตรา๒๘มาตรา๒๙หรือมาตรา๓๐ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงาน ในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราดังต่อไปนี้
(๑) สำหรับลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้าง อีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวน ชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตาม จำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็น หน่วย
(๒) สำหรับลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดให้จ่ายไม่น้อยกว่าสอง เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อย กว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับ ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
มาตรา๖๓ในกรณี ที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาในวัน หยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวัน ทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยใน วันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดย คำนวณเป็นหน่วย
มาตรา๖๔ในกรณีที่นายจ้างมิได้จัดให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือจัดให้ลูกจ้างหยุดงานน้อยกว่าที่กำหนดไว้ตามมาตรา๒๘มาตรา๒๙และมาตรา๓๐ ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างตาม อัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา๖๒และมาตรา๖๓เสมือนว่านายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวัน หยุด
การทำงานล่วงเวลา ตามกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ว่า คือ
๑) เป็นการทำงานนอกเวลาทำงานปกติหรือ
๒) เป็นการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ หรือ
๓) เป็นการทำงานเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันตามมาตรา๒๓ในวันทำงาน หรือวันหยุดแล้วแต่กรณี
ตามมาตรา ๒๓ กำหนดให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติเวลาเริ่มงานและเวลาเลิกงานในแต่ละวัน ไว้ ตามเวลาทำงานของงานแต่ละประเภท แต่วันหนึ่งไม่เกิน ๘ ชั่วโมงสำหรับงานทั่วไป ฯ เช่น เข้างาน ๐๘.๐๐ เลิกงาน ๑๗.๐๐ น. เป็นต้น
ดังนั้น การทำงานที่เกินเวลาทำงานปกติ หรือทำงานนอกเวลาทำงานปกติ จึงถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา
ในบางกรณีพนักงานมาทำงานในเวลาทำงานปกติไม่ครบ ๘ ชั่วโมง แล้วทำงานล่วงเวลาต่อ เช่น เข้างาน ๑๓.๐๐ น. เลิกงานเวลา ๑๗.๐๐น. และทำงานต่อถึง ๒๐.๐๐ น. ถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลาหรือไม่ ทำได้หรือไม่ คำตอบคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ ๑๗.๐๐ ถึง ๒๐.๐๐น. ถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา เพราะถือว่าเป็นการทำงานนอกเวลาทำงานปกตินั่นเอง สามารถทำได้หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์ มาตรา ๒๔
ข้อสำคัญของการทำงานในวันหยุด และการทำงานล่วงเวลา การทำงานล่วงเวลาในวันหยุด คือกฎหมายห้ามไม่ให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นครั้งคราวไป ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงาน ฉุกเฉินหรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๔ และห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดเว้นแต่ในกรณีที่ลักษณะหรือ สภาพของงานต้องทำติดต่อกัน หากหยุดจะเสียหายแก่งาน ตามมาตรา ๒๕
ในทางตรงกันข้าม ลูกจ้างจะทำงานล่วงเวลาหรือมาทำงานในวันหยุดเอง โดยไม่ได้รับอนุมัติจากหัวหน้างานผู้มีอำนาจหรือนายจ้างได้หรือไม่ คำตอบคือ ทำได้แต่ไม่ได้ค่าจ้าง เนื่องจากเป็นการมาทำงานเองโดยที่นายจ้างไม่ได้สั่ง หรือไม่ได้ตกลงให้มาทำงาน นายจ้างจึงสามารถปฏิเสธการจ่ายค่าจ้างกรณีดังกล่าวได้
แต่ข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องอาจไม่เหมือนกันตลอดไป ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น ประเพณีปฏิบัติอาจมีการลงชื่อทำงานไว้ล่วงหน้าทุกครั้ง โดยการวางแผนการทำงานของหัวหน้างาน ตามแผนการทำงาน และทำงานตามแผนงานที่วางไว้ โดยไม่ต้องรอผลการอนุมัติให้ทำงานล่วงเวลา เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป ย่อมแสดงให้เห็นว่านายจ้างได้ตกลงให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา ตามแผนการทำงานที่หน้างานวางแผนไว้แล้ว ดังนี้ถือว่ามีสิทธิได้รับค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด
ดังนั้นการทำงานในวันหยุด ทำงานล่วงเวลา จึงต้องมีการตกลงกันทุกครั้งไป ลักษณะของการตกลงกันที่ปฏิบัติกันทั่วไปคือ การลงชื่อทำงานล่วงเวลา ลงชื่อทำงานในวันหยุด และหัวหน้างานผู้มีอำนาจ อนุมัติ จึงถือว่ามีการตกลงกันทำงานล่วงเวลา
ข้อยกเว้นที่นายจ้างสามารถสั่งให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม คือ ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไปถ้าหยุดจะเสียหายแก่งานหรือเป็นงาน ฉุกเฉินหรือเป็นงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง เช่น งานขนย้ายสินค้าลงเรือ ซึ่งต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเรือออกตามเวลา งานควบคุมดูแลเครื่องจักรที่ต้องเดินเครื่องตลอดเวลา หรือสายงานการผลิตที่ต้องทำต่อเนื่อง หากหยุดผลิตภัณฑ์อาจได้รับความเสียหาย เป็นต้น
การคำนวณค่าทำงานล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าทำงานล่วงเวลาในวันหยุด มีวิธีการคำนวณคือ
ค่า ทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ ทั้งลูกจ้างรายวันและลูกจ้างรายเดือน มีสิทธิได้รับค่าทำงานล่วงเวลาไม่น้อยกว่า ๑.๕ เท่า ของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่า หนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ ตามมาตรา ๖๑ เช่น
ค่าจ้างต่อวัน วันละ ๓๐๐ บาท ทำงานล่วงเวลา ๓ ชั่วโมง จะได้รับค่าทำงานล่วงเวลา คือ ๓๐๐ หาร ๘ = ๓๗.๕ x ๑.๕ x ๓ ช.ม. = ๑๖๘.๗๕ บาท พนักงานจะได้รับค่าทำงานล่วงเวลา จำนวน ๑๖๘.๗๕ บาท
การทำงานในวันหยุด หากเป็นพนักงานรายวัน พนักงานจะได้รับค่าจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสองเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ
หากเป็นพนักงานรายเดือน พนักงานจะได้รับค่าจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อ ชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ตัวอย่างเช่น
พนักงานรายเดือน เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ทำงานในวันหยุด จะได้รับค่าจ้าง คือ ๑๐,๐๐๐ หาร ๓๐
เท่า กับ ๓๓๓.๓๓ บาท (ทำงานทั้งวัน) หากทำงานไม่ครบ ทำเพียง ๔ ชั่วโมง ให้เอาจำนวนชั่วโมงทำงานปกติหารค่าจ้างต่อวัน จะได้อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง x จำนวนชั่วโมงที่ทำ จะเป็นค่าจ้างที่ได้รับ ตามตัวอย่างคือ ๓๓๓.๓๓ หาร ๘ x ๔ = ๑๖๖.๖๖ บาท
พนักงานรายวัน วันละ ๓๐๐ บาท จะได้รับค่าทำงานในวันหยุด คือ ๓๐๐ x ๒ = ๖๐๐ บาท (ทำงานทั้งวัน) หากทำงานไม่ครบ ทำเพียง ๔ ชั่วโมง ให้เอาชั่วโมงทำงานปกติหารค่าจ้างต่อวัน จะได้อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง x จำนวนชั่วโมงที่ทำ x ๒ เท่า จะเป็นค่าจ้างที่ได้รับ ตามตัวอย่างคือ ๓๐๐ หาร ๘ x ๒ x ๔ = ๓๐๐ บาท
หากสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ ในกระทู้ หรือ E-mail หรือโทรศัพท์โดยตรงได้ครับ
พบกันในโอกาสต่อไปครับ
ไสว ปาระมี
--------
กฎหมายแรงงาน/เวลาพักของการทำล่วงเวลา
ทำโอหลัง 2 ทุ่ม เราต้องทำชดเชยเวลาที่พักตอน 5 โมงด้วยหรอครับ คือที่บ.ไทยยามากิ เขาให้ทำอย่างเช่น ถ้าโอปกติเลิก 2 ทุ่มเราก้อต้องเลิกงาน 2 ทุ่ม 20 เขาบอกว่าทำชดเชยเวลาที่พัก 20นาที ตอน 5 โมงเย็น ยังงัยช่วยตรวจสอบให้ต้วยนะครับ บ.ไทยยามากิ ถ.มาลัยแมน ต.วังตะกู อ.เมือง จ.นครปฐม
คำแนะนำทนายคลายทุกข์
ใน กรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาต่อจากการทำงานปกติ ไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง นายจ้างต้องจัดให้มีเวลาพักไม่น้อยกว่ายี่สิบนาทีก่อนที่ลูกจ้างเริ่มทำงาน ล่วงเวลา ซึ่งในเวลาพักระหว่างการทำงานไม่ให้นับรวมเป็นเวลาทำงาน ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน มาตรา 27 วรรคสามและวรรคสี่ ดังนั้น เมื่อเวลาทำงานปกติของคุณเลิก 17.00 น. แล้วนายจ้างและคุณตกลงทำงานล่วงเวลา นายจ้างต้องจัดให้มีการพักไม่น้อยกว่า 20 นาทีก่อนเมื่อคุณเริ่มทำงานล่วงเวลา นายจ้างต้องจัดให้มีการพัก 20 นาที (คือเลิกงาน 17 นาฬิกา พัก 20 นาที) เริ่มทำงาน 17.20 นาฬิกา ตกลงทำงานล่วงเวลา 3 ชั่วโมง การทำงานล่วงเวลา จะครบ ณ เวลา 20.20 นาฬิกา เพราะเวลาพักระหว่างการทำงานไม่ให้นับรวมเป็นเวลาทำงาน การกระทำของนายจ้างถือว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
https://www.decha.com/main/showTopic.php?id=4736
เวลาทำงานปกติ
ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับปี 2551à
กฎหมายคุ้มครองแรงงานมุ่งประสงค์ให้ความคุ้มครองลูกจ้างในสองประการหลัก ได้แก่ คุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้างประการหนึ่งและคุ้ม ครองรายได้ของลูกจ้างอีกประการหนึ่ง ในส่วนการคุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน การกำหนดเวลาทำงานปกติ ในการทำงานของลูกจ้าง ตอบสนองความคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เพราะยิ่งลูกจ้างทำงานมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการประสบอันตรายและเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานมากขึ้น เท่านั้น
1. การกำหนดเวลาทำงานปกติในอดีต
แต่เดิมตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ฉบับลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 3 กำหนดเวลาทำงานปกติ โดยถือตามประเภทของอุตสาหกรรม และส่วนใหญ่กำหนดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ กล่าวคือ
- งานอุตสาหกรรม ไม่เกินสัปดาห์ละ 48 ชั่วโมง
- งานขนส่ง ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง
- งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ไม่เกิน สัปดาห์ละ 42 ชั่วโมง
- งานพาณิชยกรรมและงานอื่นๆ ไม่เกินสัปดาห์ละ 42 ชั่วโมง
จะเห็นได้ว่า การกำหนดเวลาทำงานปกติโดยใช้เกณฑ์ต่อสัปดาห์อาจไม่คุ้มครองลูกจ้างตามความ เป็นจริงเพราะนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานต่อวันมีชั่วโมงการทำงานมากเกิน สมควรได้
2. การกำหนดเวลาทำงานปกติในปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อออกพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การกำหนดเวลาทำงานปกติของลูกจ้าง นอกจากใช้เกณฑ์ชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์แล้ว ยังใช้เกณฑ์ชั่วโมงการทำงานต่อวันมาใช้ด้วย โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 23 กำหนดให้นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติ(regular working times) ประกาศแจ้งให้ลูกจ้างทราบ ถึงเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกินเวลา ทำงานของแต่ละประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง และสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งต่อมากระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 ข้อ 1 กำหนดให้งานทุกประเภทมีเวลาทำงานปกติไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง
ผลจึงเป็นว่า โดยทั่วไปนายจ้างต้องประกาศกำหนดเวลาทำงานปกติ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน ในทุกประเภทงานวันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง สัปดาห์หนึ่งรวมแล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น บริษัทเค็มสุด จำกัด อาจกำหนด เวลาทำงานปกติของบริษัทฯ ระหว่าง 8.30 นาฬิกา ถึง 17.30 นาฬิกา พักระหว่าง 12.30 นาฬิกา และ 13.30 นาฬิกาได้
สำหรับงานอื่นบางงานนอกจากนี้ มีข้อยกเว้นไว้เป็นการเฉพาะ ได้แก่
< งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง พระราช บัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 23 กำหนดให้นายจ้างจัดให้มี มีเวลาทำงานปกติ วันละไม่เกิน 7 ชั่วโมงและสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับ 2 ข้อ 2 กำหนด
< งานขนส่งทางบก กฎกระทรวง ฉบับที่ 12 ข้อ 2 กำหนดให้นายจ้างกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานวันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง ทั้งนี้กรณีลูกจ้างทำหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะ ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างเริ่มต้นทำงานในวันถัดไปก่อนครบระยะ 10 ชั่วโมง หลังจากสิ้นสุดการทำงานในวันทำงานที่ล่วงมาแล้ว
< งานปีโตรเคมี ตามกฎหมายว่าด้วยปัโตรเลียม รวมทั้งงานซ่อมบำรุงและงานให้บริการเกี่ยวเนื่องกับงานดังกล่าว เฉพาะที่ทำในแปลงสำรวจและพื้นที่ผลิต กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 1 (1) ซึ่งแก้ไขโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 13 ข้อ 1 กำหนดว่านายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 12 ชั่วโมงได้ แต่สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง
ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงาน นายจ้างไม่อาจกำหนดเวลาทำงานปกติ คือกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดในการทำงานแต่ละวันไม่ได้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 23 วรรคสอง ผ่อนปรนให้นายจ้างกำหนดเป็นชั่วโมงทำงานปกติ(regular working hour) โดยไม่ต้องกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน แต่กำหนดเป็นจำนวนชั่วโมงทำงานที่ลูกจ้างต้องทำงานเป็นปกติในแต่ละวันแทนก็ ได้ แต่การกำหนดชั่วโมงทำงานปกตินี้ก็ต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวันและเกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น นายจ้างประกอบกิจการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ ต้องรับสัตว์น้ำจากเรือประมงที่เข้าเทียบท่าในช่วงเช้ามืด ซึ่งเวลาเข้าเทียบท่าไม่แน่นอน จึงกำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการทำงานที่ชัดเจนไม่ได้ กรณีนี้นายจ้างอาจกำหนดเป็นชั่วโมงทำงานปกติในแต่ละวัน วันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมง นับแต่เริ่มลงมือทำงาน และทำงานสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 48 ชั่วโมงได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีสถานประกอบการจำนวนหนึ่งที่ต้องการทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง เช่น ในงานบริการ นายจ้างต้องการกำหนดให้ลูกจ้างทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 9 ชั่วโมง ถือว่าขัดต่อมาตรา 23 เพราะแม้ว่าจะมีเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์ไม่เกิน 48 ชั่วโมงก็ตาม แต่การทำงานต่อวันเกินกว่า 8 ชั่วโมงไม่ได้
ต่อมากระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 2 มายกเว้น โดยกำหนดให้งานที่ใช้วิชาชีพ วิชาการ งานด้านบริหารและงานจัดการ งานเสมียนพนักงาน งานอาชีพเกี่ยวกับการค้า งานอาชีพด้านบริการ งานที่เกี่ยวกับการผลิตหรืองานที่เกี่ยวข้องกับงานดังกล่าว นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติในวันหนึ่งๆเกินกว่า 8 ชั่วโมงได้ แต่เมื่อรวมเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์แล้ว ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นได้ว่างานที่กำหนดในกฎกระทรวงครอบคลุมการทำงานแทบทุกประเภท จึงมีสถานประกอบการจำนวนหนึ่งที่กำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมต่อสัปดาห์แล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 13 ข้อ 2 ยังกำหนดให้นายจ้างที่กำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง นอกจากนายจ้างมีหน้าที่จ่าย ค่าจ้างสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมงแล้ว ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติสำหรับชั่วโมงที่เกินกว่า 8 ชั่วโมงให้แก่ลูกจ้างที่ไม่ใช่รายเดือน เช่น ลูกจ้างรายชั่วโมง ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงาน เช่น นายจ้างงานบริการกำหนดเวลาทำงานดังกล่าวมาข้างต้น แม้นายจ้างสามารถกำหนดเวลาวันละ 9 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วันโดยอาศัยกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 ข้อ 2 ได้ก็ตาม แต่สำหรับลูกจ้างที่มิใช่ลูกจ้างรายเดือน เช่น ลูกจ้างรายวัน ฯลฯ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างปกติต่อชั่วโมง สำหรับการทำงานชั่วโมงที่ 9 ให้แก่ลูกจ้างประเภทนี้ด้วย แต่ถ้าเป็นลูกจ้างรายเดือน นายจ้างให้ทำงานวันละ 9 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วันได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน 1.5 เท่า สำหรับการทำงานชั่วโมงที่ 9 ได้
3. การกำหนดเวลาทำงานปกติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่
ในปี 2551 ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 กำหนดเวลาทำงานปกติแตกต่างไปจากเดิม โดยมาตรา 23 ใหม่กำหนดว่า
“ ให้นายจ้างประกาศเวลาทำงานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันได้ไม่เกินเวลาทำงาน ของแต่ละประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกินแปดชั่วโมง ในกรณีที่เวลาทำงานวันใดน้อยกว่าแปดชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำ งานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละเก้าชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง ต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบสองชั่วโมง
ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไป รวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นตามวรรคหนึ่งเกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อ ชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างรายวันและลูกจ้างราย ชั่วโมงหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตาม จำนวนผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผล งาน
ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการ ทำงานแต่ละวันได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกินแปดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง”
จะเห็นได้ว่า การกำหนดเวลาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานปี 2551 เปลี่ยนหลักเกณฑ์ในเรื่องเวลาทำงานปกติไม่มากนัก กล่าวคือ กฎหมายปี 2551 ยังคงกำหนด เวลาทำงานปกติ โดยนายจ้างจะต้องประกาศแจ้งเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน วันหนึ่งไม่เกิน 8 ชั่วโมงและสัปดาห์หนึ่งไม่เกิน 48 ชั่วโมง สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง หากนายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวัน ได้เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกิน 8 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมงเช่นเดียวกันกับกฎหมายปี 2541
ส่วนที่แตกต่างเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ก็คือ ในกรณีที่เวลาทำงานวันใด นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานน้อยกว่า 8 ชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำ งานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละ 9 ชั่วโมง กระทรวงแรงงานได้ออกคำชี้แจงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ยกตัวอย่างไว้ว่า หากนายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติไว้วันละ 8 ชั่วโมง แต่เมื่อให้ลูกจ้างทำงานได้ 6 ชั่วโมง จะเริ่มทำงานชั่วโมงที่ 7 เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมไฟฟ้าดับ จนเป็นเหตุให้เครื่องจักรไม่สามารถทำงานต่อไปได้ กรณีเช่นนี้ นายจ้างอาจให้ลูกจ้างเลิกงานในวันนั้น(ทำงานในวันนั้นเพียง 6 ชั่วโมง) และอาจตกลงกับลูกจ้างให้นำชั่วโมงการทำงานที่เหลืออยู่อีก 2 ชั่วโมง ไปรวมกับเวลาทำงานปกติในวันรุ่งขึ้นได้อีก 1 ชั่วโมง และในวันทำงานปกติถัดไปได้อีก 1 ชั่วโมง
ในกรณีที่มีการนำเวลาส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่น นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าตอบแทนสำหรับชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ ให้แก่ลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมง และลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน ทำนองเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงฉบับ 13 ข้อ 2 นั่นเอง กรณีนี้กระทรวงแรงงานได้ยกตัวอย่างไว้ในคำชี้แจงว่า
บริษัทหอยขม จำกัด นายจ้างกำหนดเวลาทำงานปกติตั้งแต่ 08.00 นาฬิกา ถึง 17.00 นาฬิกา เวลาพักระหว่าง 12.00 นาฬิกา ถึง 13.00 นาฬิกา ปรากฏว่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 เวลา 16.00 นาฬิกา เกิดเหตุฝนตกหนัก น้ำท่วม ไฟฟ้าดับ จนเป็นเหตุให้เครื่องจักรไม่สามารถทำงานได้ บริษัทฯจึงให้ลูกจ้างกลับบ้านทันที และหากนายจ้างตกลงกับลูกจ้างที่จะนำชั่วโมงการทำงานที่เหลืออีก 1 ชั่วโมง ไปรวมกับเวลาทำงานปกติของวันรุ่งขึ้น ดังนี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานในชั่วโมงที่ 9 ของวันรุ่งขึ้น ไม่น้อยกว่าอัตรา 1.5 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงให้แก่ลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมงและลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงาน แต่ลูกจ้างรายเดือนไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้
4. บทสรุป
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป มีความวิตกกังวลค่อนข้างมากในหมู่ฝ่ายจัดการของสถานประกอบกิจการ ปัญหาใหญ่ที่สุด คือ ความชัดเจนของกฎหมายใหม่ เนื่องจากกฎหมายใหม่ยังมีถ้อยคำที่ต้องอาศัยการแปลความหรือตีความค่อนข้าง มาก กฎหมายลูก ได้แก่ กฎกระทรวงและประกาศกระทรวงแรงงาน ที่จะต้องออกตามความในมาตราที่มีการแก้ไขยังไม่ออกมาใช้บังคับ จึงยังมีความคลุมเครือในระดับหนึ่ง ผู้เขียนแนะนำให้ท่านฝ่ายจัดการลองอ่านคำชี้แจงของกระทรวงแรงงานหนาประมาณ 50 หน้าดูก่อน จะได้เค้ารางของการแปลความกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ได้ไม่มากก็น้อย หากมีความชัดเจนในเรื่องนี้เมื่อใด ผู้เขียนขออาสาจะนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านรับทราบในโอกาสต่อไป
à พงษ์รัตน์ เครือกลิ่น
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 8