หากมีผู้วัดดัชนีความสุขและความหวังของนักธุรกิจไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2550) มาถึงปลายปีนี้อย่างต่อเนื่อง คงจะเห็นตัวเลขบ่งชี้ความสุขและความหวังของนักธุรกิจไทยตกต่ำลงเรื่อยๆ ...
ปัญหาของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงพรวดพราดในปีที่แล้ว ทำให้ค่าครองชีพเขยิบสูงตามไปด้วย ซึ่งก็มีผลทำให้เจ้าของกิจการทั้งหลายต้องตั้งงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อปรับค่าครองชีพให้แก่พนักงาน
นอกจากปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นปัญหาสากลที่ทุกประเทศต้องเผชิญแล้ว ในแต่ละประเทศก็มีปัญหาภายในของตนเอง ซึ่งมีผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคม อย่างในประเทศไทยเองนั้น ที่เห็นๆ กันอยู่ก็คือ ปัญหาความขัดแย้งทางด้านการเมือง การขาดเสถียรภาพของรัฐบาล ปัญหาการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ทั้งหมดนี้ช่วยกันกระหน่ำฉุดให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบ้านเราสาละวันเตี้ยลง
ขณะนี้เราอยู่ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 แล้ว แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แต่ผลของ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis)” ที่สถาบันทางการเงินระดับยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาต้องล่มสลายลง ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกและตลาดหลักทรัพย์ต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลายองค์กรโดยเฉพาะในภาคการผลิต (Manufacturing) ที่ได้รับผลกระทบจากยอดสั่งซื้อที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ถึงกับออกมาประกาศเลิกจ้างงานเพิ่ม และบางบริษัทก็ประกาศปลดพนักงานกันเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ทั้งนี้เหล่าบริษัทที่ประกาศปลดพนักงานนั้นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น
นี่ขนาดบริษัทใหญ่ๆ ยังประกาศปลดพนักงานเลย แล้วบริษัทพวก SME จะเป็นอย่างไร? บริษัทเล็กๆ มิพากันล้มหายตายจากไปหมดหรือ? คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้เขียนรู้สึกวิตกกังวล และอยากจะหาคำตอบให้กับนักธุรกิจและคนไทยทั่วๆ ไปว่าจะมีช่องทางทำมาหากินกันอย่างไร? ควรลงทุนทำธุรกิจด้านไหนดี?
ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้รู้บางท่าน และได้ค้นคว้าหาข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้ ธุรกิจประเภทอะไรที่น่าจะเป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินและสร้างงานได้บ้าง ปรากฏว่าได้พบข้อมูลที่น่าสนใจจากบล็อกหนึ่ง คือ The Been Verified Com Blog ซึ่งเปิดประเด็นการพูดคุยเรื่อง “What to Look for in 2009 or What Companies Will Survive the Coming Economic Storm” (จะคาดหวังอะไรจากปี 2009...หรือบริษัทอะไรที่จะอยู่รอดปลอดภัยจากพายุเศรษฐกิจ)
บล็อกนี้ได้เปิดโอกาสให้บรรดาชาวบล็อกทั้งหลายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งโดยมากจะเป็นชนชาว Gen X และ Gen Y เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นพวกชอบ “เล่นเน็ต” อยู่แล้ว แต่ชาวบล็อกบางคนที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในบล็อกนี้ไม่ใช่ “ขาแชต” ประเภทไม่มีอะไรทำ บางคนบอกว่าเขาสร้างธุรกิจทางอินเทอร์เน็ตจนมีรายได้ถึงปีละกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็ยังมี! เพราะฉะนั้น ลองมาฟังความเห็นของพวกคนรุ่นใหม่กันบ้างน่าจะดี
ชาวบล็อกชื่อ “Josh” ได้สรุปว่าการทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับองค์กรและบุคคลที่กำลังมองหา “Blue Ocean” (มหาสมุทรสีน้ำเงินที่เป็นตลาดที่คู่แข่งยังมีไม่มาก) โดยธุรกิจที่มองว่าน่าจะประสบความสำเร็จในปี 2009 คือ
1.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการสร้างรายได้ (Help people / businesses make money.)
2.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการประหยัดเงิน (Help people / businesses save money.)
3.ธุรกิจที่ช่วยบุคคลหรือองค์กรในการเข้าถึงแหล่งเงินหรือแหล่งทุน (Help people / businesses access money.)
เมื่อได้ไตร่ตรองดูข้อวิเคราะห์ของชาวบล็อกคนนี้แล้ว ผู้เขียนก็เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำเพราะพิษต้มยำกุ้งเมื่อ 10 ปีมาแล้วนั้น องค์กรที่ทำรายได้ดีและมีลูกค้ามากคือ สถาบันการศึกษา MBA และสถาบันฝึกอบรมต่างๆ ที่ให้การฝึกอบรมผู้บริหารและบุคลากรในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
- การบริหารวิกฤต
- การบริหารการเปลี่ยนแปลง
- การปรับโครงสร้างองค์กร ฯลฯ
นอกจากสถาบันการศึกษาและสถาบันฝึกอบรมที่มีรายได้ดี จากการฝึกอบรมให้ผู้บริหารและพนักงานรู้จักบริหารวิกฤต เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และเปลี่ยนองค์กรให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว องค์กรที่ “เมกมันนี’ จากวิกฤตเศรษฐกิจก็คือ บริษัทที่ปรึกษาทั้งหลายที่ให้คำปรึกษาในเรื่องเหล่านี้ คือ
- การปรับโครงสร้างองค์กร (กรณีที่บริษัทยังพอไปไหว)
- การขายกิจการ การปิดกิจการ การควบรวมกิจการ (กรณีที่บริษัทอยู่ไม่ไหวแล้ว)
- การปลดพนักงาน ฯลฯ
ในอดีตธุรกิจดังกล่าวข้างต้นมักจะดำเนินกิจการในรูปบริษัทหรือองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นยุคดิจิตอล โอกาสของผู้ที่ต้องการทำธุรกิจขนาดเล็กนั้นมีมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจทางอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันนี้ถ้าท่านใช้เวลาท่องเน็ตสักพักหนึ่งก็จะเห็นว่ามีผู้เสนอบริการต่างๆ มากมายผ่านอินเทอร์เน็ต
ผู้เขียนจึงอยากเสนอทางเลือกนี้ให้แก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างรายได้ยามเศรษฐกิจถดถอยให้ลองศึกษาทางเลือกนี้ดู ทั้งนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำแต่ธุรกิจด้านฝึกอบรมหรือให้คำปรึกษาก็ได้หากท่านไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ เพราะว่าชาวบล็อกอย่าง Josh ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น คนก็มักจะประหยัดมากขึ้น ซึ่งการประหยัดหมายถึงประหยัดทั้งเงินและเวลา Josh คาดการณ์ว่าจะมีคนอยู่กับบ้านแล้วเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทั้งเพื่อหางานทำ หาเพื่อน ดูหนัง เล่นเกม ขายของเก่า ฯลฯ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าหากมีผู้ทำธุรกิจ จัดหางาน ขายเกม ขายหนัง ธุรกิจหาเพื่อน (หาแฟน) ธุรกิจให้คำแนะนำเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดไฟหรือน้ำ เหล่านี้ย่อมสร้างรายได้แน่นอน
ที่มา https://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=1209