วิธีซักผ้าแบบประหยัดพลังงานให้เต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าทุกงานซัก บอกได้คำเดียวว่าคุณแม่บ้านไม่ควรพลาดวิธีซักผ้าแบบประหยัดพลังงานด้วยประการทั้งปวง
วิธีซักผ้าแบบประหยัดพลังงานให้เต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าทุกงานซัก บอกได้คำเดียวว่าคุณแม่บ้านไม่ควรพลาดวิธีซักผ้าแบบประหยัดพลังงานด้วยประการทั้งปวง
เครื่องซักผ้าจัดว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานน้ำและไฟมากที่สุดในบ้าน ยิ่งใครซักผ้าบ่อย ๆ คงได้จ่ายค่าน้ำค่าไฟเพิ่มขึ้นจนเพลินไปเลย ฉะนั้นเพื่อการซักผ้าแบบประหยัดพลังงาน และอนุรักษ์สภาพแวดล้อมไปในตัว เรามาศึกษาเคล็ดลับซักผ้าแบบประหยัดพลังงานกันเลยดีกว่า
1. ซักผ้าแบบประหยัดพลังงาน
ในแต่ละครั้งที่เราซักผ้า ทุกคนคงจะเห็นว่าเราใช้พลังงานน้ำและไฟไปมากมายแค่ไหน ดังนั้นเพื่อเป็นการประหยัดน้ำและไฟ เราควรซักผ้าให้คุ้มที่สุดโดยซักผ้าปริมาณพอดีกับความจุของถังซักทุกครั้ง เลือกระดับน้ำและโปรแกรมซักล้างให้พอดีกับปริมาณผ้า รวมทั้งควรซักผ้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ยกเว้นผ้าที่สกปรกถึงขีดสุดจึงค่อยใช้โปรแกรมซักด้วยน้ำร้อน แล้วก็อย่าลืมถอดถุงกรองฝุ่นในเครื่องซักผ้าออกไปทำความสะอาดบ่อย ๆ ด้วยนะคะ เครื่องซักผ้าจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด ไม่หน่วงเพราะมีคราบสกปรกติดอยู่
2. เลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
น้ำยาซักผ้ารวมทั้งผงซักฟอกส่วนใหญ่มักจะมีสารสังเคราะห์ปนเปื้อนในปริมาณพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่แฝงอยู่, สารเพิ่มความขาว, สารย้อมสี, และกลิ่นสังเคราะห์ ที่เป็นอันตรายกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเราไม่น้อยเลยทีเดียว ฉะนั้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและปกป้องตัวเราเองจากสารปนเปื้อนทั้งหลาย ลองหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดไบโอที่ไม่มีสารสังเคราะห์เหล่านี้ปนเปื้อนบ้างก็ดี และสำหรับคนที่เป็นห่วงในเรื่องของความขาวสะอาดของเสื้อผ้า รับรองว่าผลิตภัณฑ์ซักผ้าไบโอก็มีประสิทธิภาพไม่น้อยหน้าน้ำยาซักผ้าทั่วไปเลยล่ะค่ะ
3. สบู่ซักผ้าอาจดีกว่าผงซักฟอก
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีซักผ้าก็ไปได้ไกลเกินกว่าจะมานั่งซักผ้าด้วยสบู่ซักผ้าเหมือนสมัยก่อน แต่เคยได้ยินไหมคะว่ายิ่งเก่ายิ่งเก๋า เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วสบู่ซักผ้านั้นช่วยทำความสะอาดเสื้อผ้าเราได้หมดจด โดยไม่ทิ้งสารตกค้างเป็นคราบแป้งสีขาวเหมือนน้ำยาซักผ้ายุคใหม่ด้วย เนื่องจากสบู่มีส่วนประกอบที่สกัดมาจากธรรมชาติมากกว่าน้ำยาซักผ้าสมัยใหม่ที่ใช้สารสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบหลัก ๆ นั่นเอง และแม้ว่าสบู่อาจจะทำความสะอาดออกจากเนื้อผ้าได้ลำบากมากกว่า แต่ถ้าปลอดภัยและไร้พิษกับสิ่งแวดล้อมก็น่าใช้ไม่เบาเนอะ
4. ประหยัดคูณสองด้วยการซักมือ
ลำพังแค่โยนผ้าลงเครื่องแล้วรอตากหลายคนก็บอกว่าขี้เกียจแล้วขี้เกียจอีก แต่ถ้าคุณลองซักผ้าด้วยมือ นอกจากจะได้ออกกำลังกายสลายแคลอรี่แล้ว การซักผ้าด้วยสองมือของเราเองยังเป็นการถนอมเนื้อผ้าอีกทางหนึ่ง ทำให้เราซักผ้าได้สะอาดหมดจดมากกว่าเครื่องตั้งหลายสิบเท่า ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงานทั้งน้ำและไฟไปได้อีกมากโข อย่างน้อยก็ประมาณ 20% ของพลังงานน้ำและไฟที่ใช้ในบ้านเลยเชียวล่ะ
5. ตากแดดจัด ๆ แทนการอบ
ถ้าเสื้อผ้าของคุณไม่ได้หนามาก แถมสภาพอากาศข้างนอกยังมีลมพัดเบา ๆ พร้อมแสงแดดที่แรงจ้า อย่างนี้คงดีกว่าถ้าจะเมินเครื่องอบผ้าแล้วสะบัดผ้าตากแดดแทนซะเลย ซึ่งก็จะทำให้เนื้อผ้าคลายความยับยู่ยี่ได้จากแรงที่เราสะบัด อีกทั้งการนำผ้าออกไปตากกับแดดจ้า ๆ และแรงลมยังเป็นการเปิดโอกาสให้เนื้อผ้าได้รับการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ผ้าขาวก็จะขาวสว่างมากขึ้น ผ้าสีก็จะหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไหน
6. เครื่องซักผ้าฝาหน้าประหยัดน้ำไฟกว่าเยอะ
คุณ ๆ ทราบกันไหมคะว่า เครื่องซักผ้าฝาหน้าจะช่วยประหยัดพลังงานน้ำได้ถึง 38% พร้อมทั้งลดการใช้ไฟได้มากกว่า 58% เลยทีเดียว ซึ่งก็หมายความว่าเครื่องซักผ้าชนิดฝาหน้าสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่าเครื่องซักผ้าชนิดฝาบนอย่างแน่นอน แต่ถ้าตอนนี้คุณยังใช้เครื่องซักผ้าฝาบนอยู่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแต่ถ้าเมื่อไรต้องซื้อเครื่องซักผ้าเครื่องใหม่ ลองพิจารณาเครื่องซักผ้าชนิดฝาหน้าบ้างก็ได้ แล้วอย่าลืมมองหาเครื่องหมายเบอร์ 5 ด้วยนะจ๊ะ
7. เลือกเครื่องอบผ้าที่คุ้มค่า
จริง ๆ แล้วเครื่องอบผ้าไม่ได้มีความจำเป็นมากนักกับทุกคน เพราะอากาศอย่างบ้านเราไม่ได้ชื้นตลอด สามารถตากผ้าให้แห้งสนิทได้แม้ไม่ต้องผ่านกระบวนการอบ แต่หากใครที่มีความจำเป็นต้องอบผ้าเป็นประจำ ควรเลือกเครื่องอบผ้าที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับความชื้นภายในตัวเครื่อง ซึ่งมีไว้ให้เรากำหนดระดับความชื้น ความแห้งของผ้าที่เราต้องการได้อย่างสะดวก และจะตัดกระบวนการอบผ้าโดยอัตโนมัติ ช่วยประหยัดไฟได้อีกพอสมควร
8. เสริมประสิทธิภาพความสะอาดจากธรรมชาติ
เราสามารถลดปริมาณการใช้น้ำยาซักผ้าได้ครึ่งต่อครึ่งเมื่อผสมเบกกิ้งโซดาประมาณ ½ ถ้วยตวงสำหรับเครื่องซักผ้าฝาบน และ ¼ ถ้วยตวงเมื่อใช้เครื่องซักผ้าฝาหน้า ซึ่งเบกกิ้งโซดาจะเข้าไปเสริมพลังแห่งการซักล้างให้มีประสิทธิมากขึ้น รวมทั้งลดกลิ่นเหม็นอับในเสื้อผ้าได้อีกต่างหาก หรือใครสะดวกจะใช้น้ำส้มสายชูผสมเกลือ และน้ำมะนาวเพื่อช่วยขจัดคราบฝังแน่น และเพิ่มเม็ดสีเสื้อผ้าให้แจ่มว้าวด้วยก็ได้
9. ซักแห้งอย่างเดียว ทำเองที่บ้านก็ได้
เนื้อผ้าบางชนิดควรได้รับการดูแลที่ดีเยี่ยม โดยระบุให้ซักแห้งได้อย่างเดียวเพื่อถนอมใยผ้าและสีของผ้า แต่คุณแม่บ้านไม่จำเป็นต้องส่งไปซักรีดที่ร้านหรอกนะคะ เพียงแค่ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเย็น แล้วนำผ้ามาซักโดยขยี้เบา ๆ หรือจะทำแค่จุ่มแช่ผ้าไว้ก็ได้ แต่ทั้งนี้ควรทดสอบกับเนื้อผ้าส่วนเล็ก ๆ ก่อนว่าเบกกิ้งโซดาไม่ได้ทำให้ผ้าซีดแต่อย่างใด
10. น้ำยาปรับผ้านุ่ม ความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น
สำหรับคนที่ติดนิสัยใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มทุกครั้งหลังซักผ้า อาจไม่ทราบว่าในน้ำยาผรับผ้านุ่มก็มีสารสังเคราะห์ที่เป็นอันตรายกับสุขภาพโดยอาจทำให้ผิวเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกับผิวที่บอบบางเหมือนผิวเด็ก ฉะนั้นก็สามารถฟันธงได้เบา ๆ เลยว่า น้ำยาปรับผ้านุ่มไม่ได้มีความจำเป็นกับงานซักผ้าของคุณแต่อย่างใด ทว่าหากคุณแม่บ้านรู้สึกตงิด ๆ ที่ไม่ได้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม ลองเปลี่ยนมาผสมน้ำส้มสายชูกลั่นบริสุทธิ์ลงไปในน้ำยาซักผ้าสัก ½ - ¼ ถ้วยตวงดูก็ได้ค่ะ แค่นี้เสื้อผ้าของคุณก็จะไร้กลิ่นอับกลิ่นเหงื่อ และขาวใสพร้อมสัมผัสที่นุ่มนิ่มไม่แพ้คุณสมบัติของน้ำยาปรับผ้านุ่มเลยเชียว
ตราบใดที่เรายังต้องใส่เสื้อผ้าอยู่ งานซักผ้าก็คงไม่หนีหายไปจากเราอย่างแน่นอน ฉะนั้นเพื่อช่วยลดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน ลองนำเคล็ดลับของเราไปปรับใช้บ้างก็ดีนะคะ
คุณอาจกำลังสนใจสิ่งนี้
วิธีขจัดคราบน้ำตาเทียนจากผ้ายีนส์ง่าย ๆ ไม่ต้องซัก
กายภาพมือแบบง่ายๆ ก่อนจะเป็น นิ้วล็อค
แม่บ้านต้องอ่าน! ไม่ต้องกวาดพื้นเป็นสัปดาห์ พื้นยังสะอาดได้ เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ!
ของดี 15 สรรพคุณ น้ำซาวข้าว ประโยชน์ล้ำค่า เสียดายแย่ ถ้าเททิ้งโง่มาตั้งนาน!! เครื่องซักผ้า น้ำรั่ว-น้ำซึมซ่อมเองได้ง่ายๆ แถมใช้งบเพียงแค่ 20 บาท งานนี้รีบกดแชร์เก็บไว้ด่วน (มีภาพ)