สาระน่ารู้เรื่องนวดแผนไทย การนวดไทยนับเป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่าของคนไทยที่มีประวัติและเรื่องราวสืบทอดกันมาช้านาน การนวดหรือหัตถเวชเป็นการรักษาโรควิธีหนึ่ง ซึ่งมีผลทางการรักษาโรคบางโรคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโรคที่ไม่สามารถบำบัดได้ด้วยการใช้ยาฉีดหรือยากิน การนวดจึงมีบทบาทสำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาโรค ดังจะเห็นได้ว่าการนวดมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเชื่อว่าการนวดมีจะเริ่มต้นมาจากการช่วยเหลือกันเองภายในครอบครัว เช่น สามีนวดให้ภรรยา ภรรยานวดให้สามี ลูกนวดให้พ่อแม่ หรือปู่ย่า ตายาย มีการใช้อวัยวะต่างๆ เช่น ศอก เข่า และเท้า นวดให้กันหรือนวดด้วยตนเอง มีการพัฒนาการใช้อุปกรณ์ในการนวด เพื่อช่วยให้ใช้น้ำหนักได้มากขึ้น เช่น นมสาว ไม้กดท้อง จากการนวดช่วยเหลือตนเองภายในครอบครัวจนเกิดความชำนาญและมั่นใจ จึงได้มีการนวดช่วยเหลือความเจ็บป่วยของเพื่อนบ้าน จนได้รับความนิยมและเชื่อถือจากผู้มารับบริการจนเกิดอาชีพหมอนวดในที่สุด สถานการณ์ปัจจุบันการนวดไทยกำลังได้รับความนิยมกว้างไกลทั้งในกลุ่มของคนไทยเองและต่างชาติ มีสถาบันสอนนวดไทยมากมายหลายแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน โรงเรียนสอนนวดของวัดโพธิ์ โรงเรียนอายุรเวท ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล และยังมีโรงเรียนสอนหมอนวดสายตาพิการ และภาคเอกชนอื่นๆ อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ผู้คนตกงานมากมาย กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม พัฒนาการเรียนการสอนเรื่องนวด โดยเปิดสอนวิชานวดไทยแก่ผู้ตกงาน เพื่อนำวิชาไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองในเบื้องต้น เป็นการบรรเทาความเดือดร้อน ในยามบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤต รวมถึงการส่งเสริมสถาบันต่างๆ ที่มีการเรียนการสอนเรื่องนวดไทยให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ผลสรุปล่าสุดพบว่าอาชีพนวดไทยสามารถก่อรายได้ให้แก่ประเทศชาติได้ปีละกว่าพันล้านบาท เพียงแค่มันสมอง 2 มือของคนไทยก็สามารถช่วยชาติได้อีกทางหนึ่ง ปัจจุบันการนวดไทยสามารถจำแนกเป็น 2 แบบ คือการนวดแบบราชสำนัก และการนวดเชลยศักดิ์ การนวดแบบราชสำนัก หมายถึง การนวดเพื่อถวายกษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงของราชสำนัก การนวดแบบราชสำนักพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้เรียนอย่างปราณีตถี่ถ้วนและการสอนมีขั้นตอน จรรยามารยาทของการนวด การนวดต้องสุภาพมาก ใช้อวัยวะได้น้อย และต้องตรงตามจุด จึงกล่าวได้ว่าการฝึกมือและการนวดมีเอกลักษณ์เฉพาะ การนวดเชลยศักดิ์ หมายถึง การนวดแบบสามัญชน มีการสืบทอดฝึกฝนแบบแผน การนวดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเหมาะมากสำหรับชาวบ้านจะนวดกันเอง ใช่สองมือและอวัยวะส่วนอื่นโดยไม่ต้องใช้ยา ในปัจจุบันจึงเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในสังคมไทย นโยบายล่าสุดของรัฐบาลเร่งส่งเสริมให้อาชีพนวดไทยเป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เป็นอาชีพแฝงเกี่ยวกับการขายบริการทางเพศเหมือนที่หลายคนมองกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกไปประกอบอาชีพในต่างประเทศชาติ รับบาลมีการส่งเสริมในเรื่องนี้โดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานฯได้ร่วมมือกัน ให้สถาบันการแพทย์แผนไทยทำหลักสูตรนวด 800 ชั่วโมงขึ้น เพื่ออบรมแก่ผู้ที่ว่างงานและสนใจจะประกอบอาชีพนวด ที่สำคัญรัฐบาลตั้งเป้าจะส่งบุคลากรนวด 800 ชั่วโมง ไปโกยเงินตราต่างชาติเข้าไทย แต่ต้องไปอย่างมีศักดิ์ศรี บนความมีศักดิ์ศรีนี้ก็มีอุปสรรคมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายที่จะมารองรับการประกอบวิชาชีพของคนเหล่านี้ และเป็นการยกระดับให้หมอนวดไทยมีกฎหมายรองรับ โดยให้มีสาขาการนวดไทยในการประกอบโรคศิลปะอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งในปี 2544 ได้มีประกาศของคณะกรรมการวิชาชีพเกี่ยวกับการรองรับผู้มีประสบการณ์ด้านการนวดไทย เพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประเภทการนวดไทย หลังจากที่ประกาศฉบับดังกล่าวออกมา ในเบื้องต้นพบว่า เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อหมอนวดที่จบใหม่ เพราะในกฎหมายระบุคุณสมบัติไว้สูงมากทั้งด้านประสบการณ์และอายุ เช่น ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 10 ปี เป็นครูสอนนวดไม่น้อยกว่า 5 ปี อายุไม่น้อยกว่า 30 ปีเหล่านี้เป็นต้น หากมีการประกาศใช้ประกาศฉบับนี้จะทำให้หมอนวดจำนวนมากต้องว่างานทันที เพราะไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายระบุ ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นในช่วงที่ประกาศฉบับดังกล่าวกระจายไปทั่วประเทศ สถาบันการแพทย์แผนไทยต้องรับโทรศัพท์อย่างโกลาหลเช่นกัน เพื่อหาคำตอบให้แก่เขาเหล่านั้น อย่างไรก็ตามบนข่าวร้ายก็ย่อมมีข่าวดีเกิดขึ้น เพราะล่าสุดคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะได้อนุญาตให้ผู้ที่จบหลักสูตรนวดจากสถาบันต่างๆ ต้องสอบผ่านมาตรฐานหลักสูตรของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานฯ หากความสามารถของหมอนวดผ่านด่านตรงนี้ไปได้ก็จะได้รับการการันตีเรื่องมาตรฐานการนวด สามารถที่จะออกไปเผชิญโลกต่างแดนได้อย่างมีศักดิ์ศรี |