ประโยชน์และสรรพคุณของน้อยหน่า


4,190 ผู้ชม

ใบน้อยหน่ายังสามารถนำมารักษาโรคหิด แก้เหาเกาะบนศีรษะได้อีกด้วย นับเป็นผลไม้และสมุนไพรที่มีคุณค่าเป็นอย่างมาก...


ประโยชน์และสรรพคุณของน้อยหน่า

น้อยหน่า (Sugar Apple, Custard Apple, Sreet Sop) เป็นพืชผลไม้จำพวกต้น ที่มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคอีสานเรียก หมากเขียบ ส่วนภาคเหนือเรียก มะนอแน่ หรือปัตตานีเรียก ลาหนัง และเขมรเรียก เตียบ เป็นต้น ซึ่งต้นน้อยหน่านั้นเป็นพืชผลไม้ที่เราคนไทยต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยเป็นพืชที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ในอเมริกากลางและใต้ อย่างได้ประเทศไทยเราก็พบน้อยหน่านี้ได้โดยเฉพาะในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน พร้อมเนื้อสีขาวและเมล็ดสีดำจำนวนมากภายใน แต่เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์และมีรสชาติอร่อย จึงทำให้เป็นที่นิยมบริโภคของคนทั่วไป และปลูกกันมากเรียกว่าเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

ลักษณะทั่วไปของน้อยหน่า
สำหรับต้นน้อยหน่านั้นจัดเป็นไม้ยืนต้น โดยมีความสูงของลำต้นประมาณ 3 – 5 เมตร ออกใบเป็นใบเดี่ยว โดยเป็นแบบเรียงสลับกันอยู่คล้ายรูปใบหอก ส่วนดอกก็ออกเป็นดอกเดี่ยวเช่นเดียวกันกับใบ มีสีเหลืองอมเขียว มักออกตามซอกใบและห้อยลงมา เรียงตัวกันเป็นชั้น 2 ชั้น แบ่งเป็นชั้นละ 3 กลีบ มีทั้งหมด 6 กลีบ มีลักษณะค่อนข้างหนาและอวบน้ำ และผลออกเป็นกลุ่ม โดยเป็นผลทรงกลมสีเขียว ภายในเป็นเนื้อสีขาวรสหวานรับประทานอร่อย และมีเมล็ดภายในจำนวนมาก

ประโยชน์และสรรพคุณของน้อยหน่า
ใบ – นำมาบดใช้พอกแก้อาการฟกช้ำบวม รวมทั้งแก้โรคกลากเกลื้อน ช่วยฆ่าพยาธิตามผิวหนัง หรือขับพยาธิ และช่วยฆ่าเชื้อโรคภายในร่างกาย ให้รสเฝื่อนเมา
เปลือกผลดิบ – นำมาฝนกับเหล้าเพื่อทาแผล และแก้อาการจากงูกัด ให้รสเฝื่อนเมา
เมล็ด – นำมาตำผสมกับน้ำมันมะพร้าวใช้ทาเพื่อฆ่าพยาธิผิวหนัง และฆ่าเหา หรือหิด ให้รสเมามัน
เปลือกต้น – ช่วยในการสมานบาดแผล ให้รสฝาดเฝื่อน
ราก – ช่วยในการระบายอุจจาระธาตุ ให้รสเฝื่อน

ประโยชน์และสรรพคุณของน้อยหน่า

นอกจากนี้ ใบน้อยหน่ายังสามารถนำมารักษาโรคหิด แก้เหาเกาะบนศีรษะได้อีกด้วย นับเป็นผลไม้และสมุนไพรที่มีคุณค่าเป็นอย่างมาก แต่มีข้อควรระวังโดยหากใช้น้ำสกัดจากเมล็ดอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ จึงต้องระวังอย่าให้เข้าตา และในคนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจหลีกเลี่ยงหรือรับประทานแต่น้อย เพราะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นได้นั่นเอง

ที่มา  เกร็ดความรู้


อัพเดทล่าสุด