USB คืออะไร มีกี่แบบ แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร พร้อมประวัติความเป็นมา


595 ผู้ชม

USB Port คือพอร์ตยอดนิยมเลยก็ว่าได้ หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี และใช้กันอย่างแพร่หลายในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ


USB Port คือพอร์ตยอดนิยมเลยก็ว่าได้ หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี และใช้กันอย่างแพร่หลายในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อถ่ายโอนข้อมูล บันทึกข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Flash Drive, External Hard Disk Drive, หรือใช้สำหรับต่ออุปกรณ์เสริม อย่าง Printer, Scanner, Web Camera, Speaker และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Smart Phone ก็ยังใช้ USB เป็นเป็นพอร์ตหลักสำหรับชาร์จไฟ และถ่ายโอนข้อมูลเช่นกัน อุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ ก็ล้วนแต่ใช้ USB เป็นพอร์ตเชื่อมต่อเกือบทั้งหมด วันนี้ผมก็จะพามาทำความรู้จักกับพอร์ต USB กันครับ ว่ามัน คืออะไร มีแบบไหนบ้าง และมีประวัติการกำเนิดเมื่อไหร่

USB ย่อมาจาก Universal Serial Bus คือ พอร์ตชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์ต่อพ่วง หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ และสามารถถ่ายโอนข้อมูลไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องพิมพ์ (Printer), เมาส์ (Mouse), คีย์บอร์ด (Keyboard), กล้องดิจิตอล (Digital Camera), โทรศัพท์มือถือ (Smart-Phone) และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย

ระบบ USB นั้นนับว่าเป็นระบบที่ทันสมัยมาก เนื่องจากรองรับอุปกรณ์ได้มากมายแล้ว ยังง่ายต่อการติดตั้ง เพราะรองรับ Hot Plug และ Plug and Play จึงทำให้ USB เป็นที่นิยมอย่างมากนั่นเอง

ยูเอสบี ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นพอร์ตเชื่อมต่อแบบมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสามารถทั้งการส่งสัญญาณสื่อสาร และจ่ายพลังงาน โดยเป็นพอร์ตที่เรียกได้ว่ามาแทนที่ Serial Port และ Parallel Port ก็ว่าได้ครับ ปัจจุบันพอร์ตยูเอสบีถูกพัฒนามาแล้วหลายเวอร์ชั่น พร้อมมีประเภท Type ใหม่ๆ มาให้เลือกใช้งานกันมากมาย

หลังเราพอทราบเบื้องต้น ว่า USB คืออะไร แล้ว เรามาดูกันว่ามันมีต้นกำเนิด และประวัติคการพัฒนามาตั้งแต่อดีตอย่างไรบ้าง

USB 1.0 (Universal Serial Bus 1)

เปิดตัวในปี 1996, USB 1.1 ปี 1998 ทั้งคู่มีความเร็วสูงสุดที่ 12 Mbps เท่านั้นเอง ถือว่าช้ามาก เมื่อเทียบกับปัจจุบัน

USB 2.0  (Universal Serial Bus 2)

เปิดตัวในปี 2000 ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 480 Mbps ซึ่งเร็วกว่า USB 1.0 ถึง 40 เท่า ปัจจุบันก็ยังคงมีใช้กันอยู่ เช่น เชื่อมต่อกับเมาส์ หรือคีย์บอร์ด ที่ไม่ต้องการอัตราการถ่ายโอนข้อมูลในปริมาณมาก

USB 3.0  (Universal Serial Bus 3)

เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008  รองรับการถ่ายโอนข้อมูล ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 5Gbps ถือว่าเร็วขึ้น มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า Gbps คืออะไร คำตอบคือเป็นหน่วยความเร็วที่เท่ากับ 1000 Mbps นั่นเอง ดังนั้น ยูเอสบีเวอร์ชั่น 3.0 ใหม่นี้ จึงมีความเร็วเป็น 10 เท่า จาก USB 2.0

ส่วนเวอร์ชั่น USB 3.1 เปิดตัวและใช้งานเมื่อมี 2013 โดยได้รับการอัพเกรดความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ 10 Gbps โดยทั้ง USB 3.1 สามารถแบ่งออกเป็นสองรุ่น ดังนี้

  • USB 3.1 Gen 1 หรือ SuperSpeed USB, USB 3.1 Gen 1 SuperSpeed USB 5Gbps มันก็คือชื่อเรียกใหม่ของ USB 3.0 โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 5 Gbps
  • USB 3.1 Gen 2 หรือ SuperSpeed USB+ (Plus), USB 3.1 Gen 2 SuperSpeed USB 10Gbps จะมีความเร็วสูงสุดที่ 10 Gbps

และ USB 3.2 เป็นรุ่นที่ต่อยอดมาจาก USB 3.1 เริ่มใช้เมื่อปี 2017 รองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่ 20Gbps แต่ใน USB 3.2 จะถูกแบ่งแยกออกไปอีก ตามลักษณะการทำงานดังนี้

  • USB 3.2 Gen 1×1 หรือ USB 3.2 Gen 1×1 SuperSpeed 5Gbps เปลี่ยนมาจากชื่อเดิมคือ USB 3.1 Gen 1 หรือ USB 3.2 นั่นเองครับ มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ 5Gbps เท่าเดิม สามารถใช้ได้ทั้ง USB-A, USB-C และ Micro USB
  • USB 3.2 Gen 1×2 จะหมายถึงรุ่นที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ 10Gbps เท่ากับ USB 3.1 gen 2 แต่จะมีลักษณะของพอร์ตเป็น USB-C เท่านั้น
  • USB 3.2 Gen 2×1 หรือ USB 3.2 Gen 2×1 SuperSpeed+ 10Gbps เปลี่ยนมาจากชื่อเดิมคือ USB 3.1 Gen 2 มีความเร็วอยู่ที่ 10Gbps เท่าเดิม ใช้ได้ทั้ง USB-A, USB-C และ Micro USB
  • USB 3.2 Gen 2×2 หรือ USB 3.2 SuperSpeed+ 20Gbps จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดที่ 20Gbps เลย แต่ว่าจะมีแค่อินเทอร์เฟส (Interface) แบบ USB-C เท่านั้น USB 3.2 Gen 2 นี้กลายเป็นมารตฐานพอร์ตทีได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากเป็นพอร์ตที่ สามารถส่งสัญญาณภาพ เสียง และถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูงพร้อมกันในพอร์ตเดียวได้ และยังสามารถชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ รวดเร็วอีกด้วย

แต่ก็อาจจะงงๆ และสับสนกับชื่อเรียกหน่อย เพราะมีเยอะหลายอย่าง ทั้งที่เป็นเทคโนโลยีเดียวกันอย่าง USB 3.0, USB 3.1 Gen 1 หรือ USB 3.2 Gen 1 เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้มันก็คือ USB SuperSpeed 5Gbps นั่นเอง

ต่อไปเวลาจะซื้อคอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊คใหม่ ก็ควรศึกษาสเปก USB ด้วย ว่าเป็น USB SuperSpeed ความเร็วเท่าไหร่ หากต้องการที่รองรับการต่อจอเสริมด้วย ก็ต้องเป็น USB 3.2 Gen 2×2 หรือ USB 3.2 Gen 2×2 SuperSpeed 20Gbps หรืออาจจะต้องมีเครื่องหมาย DisplayPort ติดอยู่ข้างพอร์ตด้วยถึงจะสามารถใช้ต่อกับจอภาพได้

บางรุ่นอาจจะระบุในสเปกเป็น USB-C SuperSpeed 10Gbps (Alt Mode DisplayPort 1.4, Power Delivery up to 100W) อะไรประมาณนี้ครับ

USB 4.0  (Universal Serial Bus 4)

เปิดตัวเมื่อปี 2019 รอบรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูง ยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดแล้วในปัจจุบัน (ปี 2022) ซึ่งมาในรูปแบบของ USB Type-C (USB-C)

เป็นการนำความสามารถของ USB3.0 และ USB 3.2 มาพัฒนารวมกัน แต่ความสามารถของ USB 4 นั้นมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงเป็นสองเท่าของ USB3.2 นั่นคือ จาก 20Gbps เป็น 40Gbps กันเลย

Thunderbolt

อีกพอร์ตยอดนิยม ที่หลายคนอาจสงสัยว่ามัน คืออะไร พอร์ต Thunderbolt นั้น เกิดขึ้นจากการออกแบบร่วมกันของ Intel และ Apple ทำให้เกิดพอร์ตเชื่อมต่อที่มีความเร็วสูง ซึ่งถูกเรียกว่า Thunderbolt นั่นเอง คนที่ใช้ Apple Mac อยู่ก็จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี Thunderbolt 1 – 2 นั้น จะถูกออกแบบของพอร์ตมาให้รูปแบบของ mini-DisplayPort ส่วน Thunderbolt 3 – 4 รุ่นใหม่นี้จะมาในรูปแบบของ USB-C ซึ่งมันก็คือพอร์ตมาตรฐาน USB ใหม่ ที่ได้รับความนิยม และใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ทางฝั่งของ Apple อย่างเดียวเท่านั้น

ปัจจุบัน USB 4 นี้จะมาในรูปแบบของพอร์ต USB Type-C ซึ่งแน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊ค หลายๆ แบรนด์ ก็เริ่มนำ USB 4 มาใช้กันมากขึ้นแล้ว ซึ่งในปี 2022 นี้จะมีชื่อเรียกว่า Thunderbolt 4 สำหรับคอมพิวเตอร์ และโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ เริ่มนำ Thunderbolt 4 มาใช้เช่นกัน เนื่องจากเป็นพอร์ตที่มีความสามารถสูง เพียงพอร์ตเดียวสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ ถ่ายโอนข้อมูล แสดงผลภาพ เสียง และส่งกระแสไฟไปพร้อม ๆ กันในพอร์ตเดียวได้

ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเห็นพอร์ต Thunderbolt 4 นี้ใส่เข้ามาใน Notebook แบบ Ultrabook พกพา ที่เป็น CPU Intel Gen 11 อย่าง Intel Evo Platform เป็นต้น และแน่นอนว่าเทคโนโลยี Thunderbolt จะมีแค่รุ่นที่ใช้ CPU ของทาง Intel เท่านั้น เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีของทาง Intel พัฒนาร่วมกับ Apple เราจึงไม่เห็น Thunderbolt Port ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือโน้ตบุ๊ครุ่นที่ใช้ CPU AMD นั่นเอง

หลังรู้ว่า USB คืออะไร พร้อมประวัติความเป็นมาและการพัฒนาการแต่ละเวอร์ชั่น เรามาดูกันต่อ ว่ามันมีกี่แบบ ต่างกันยังไง

USB ในปัจจุบันนั้น ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ด้วยกัน คือ Type A, Type B และ Type C ซึ่งแต่ละกลุ่ม ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป และหัวพอร์ตแต่ละแบบก็จะไม่เหมือนกันอีกด้วย โดยแต่ละแบบ มีลักษณะและชื่อเรียกตามด้านล่างนี้

USB Type-A

คือรูปแบบพอร์ตหลักที่นิยมใช้ในคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบ Type A นี้ ถือว่าเป็นพอร์ตแบบมาตรฐานที่ใช้กันมายาวนานตั้งแต่รุ่นแรก ๆ ตั้งแต่ USB 1.0 – 3.0 ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้กันอยู่ โดย USB-1.0 – 2.0 นั่นด้านในจะเป็นสีขาว หรือสีดำ มี Connector 4 PIN ส่วน USB A 3.0 (3.0, 3.1, 3.2) นั้นจะมี Connector 9 PIN

แต่ผู้ผลิตในบางแบรนด์ที่แยกสีของพอร์ต USB-A เป็นสีต่าง ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบเห็นในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าแต่ละสี คืออะไร ดังที่เห็นตามภาพด้านล่างนี้

  • สีแดง ใช้แทน USB 3.1 Gen 2 หรือ USB 3.2
  • สีเหลือง หรือเขียว = ใช้แทน USB 2.0 หรืออาจจะเป็น USB 3.0 ความเร็วไม่เกิน 5Gbps
  • สีส้ม = แทน USB 3.0 ความเร็วสูงสุดที่ 5Gbps

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการผลิตของแต่ละแบรนด์ แนะนำให้อ่านศึกษารายละเอียดในคู่มือของอุปกรณ์นั้นๆ จะชัวร์ที่สุดครับ

USB Type-B

Type-B คืออะไร? คำตอบคือ จะเป็นหัวอีกด้านของ USB-A ซึ่งมีไว้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ นั่นเอง USB Type B นี้ก็จะมีอยู่หลายแบบด้วยกัน ดังนี้

  • Type-B 2.0 (4 PIN), Type-B 3.0 (9 PIN)

พอร์ต USB Type-B นี้จะเป็นหัวใหญ่ และจะใช้กับเครื่องพิมพ์ (Printer), สแกนเนอร์ (Scanner) หรือใช้สำหรับจอภาพบางรุ่นที่มีพอร์ต Up Stream แบบ USB Type-B

  • mini USB 2.0 (5 PIN), Micro USB 2.0 (5 PIN), Micro USB 3.0 (10 PIN)

สำหรับกลุ่ม Type-B แบบ mini และ Micro นั้นจะเป็นแบบหัวเล็ก ส่วนใหญ่มักจะใช้กับอุปกรณ์ ที่มีขนาดเล็ก เช่น ฮาร์ดไดรฟ์แบบพกพา (External Hard drive), โทรศัพท์มือถือ (Smartphone), หูฟังบลูทูธ, เมาส์ปากกา และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ปัจจุบัน อุปกรณ์ใหม่ ๆ เริ่มเปลี่ยนไปใช้พอร์ตใหม่อย่าง USB-C กันเกือบทั้งหมดแล้ว ที่ยังเห็น USB-B แบบ mini-B, Micro-B เดิมนี้อยู่นั่น ส่วนมากจะเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าที่ผลิตออกก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ USB-C ครับ

USB Type-C

เป็นรูปแบบของพอร์ต USB ใหม่ล่าสุดแล้วในปัจจุบัน มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูง สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้แรงมาก เริ่มนำมาใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น MacBook, Smartphone และ Notebook PC บางรุ่นในปี 2015 ซึ่ง USB-C นี้ถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของพอร์ต USB เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันสามารถเสียบ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทั้งสองด้านเหมือนกับพอร์ต Lightning ของ Apple เลยครับ ทำให้ง่ายต่อการใช้ ต่อการใช้งาน และพอร์ตนี้จะมาแทน USB-B แบบเดิมนั่นเอง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า USB-C ที่ใส่เข้ามาในอุปกรณ์ต่าง ๆ จะใช้เทคโนโลยีเดียวกันทั้งหมด สินค้าบางรุ่น บางแบรนด์ อาจจะใช้เทคโนโลยี USB 2.0, 3.0 SuperSpeed 5Gbps, 3.1 SuperSpeed 10Gbps หรือ 3.2 SuperSpeed 20Gbps ทำให้อัตราการถ่ายโอนข้อมูลมีความเร็วที่แตกต่างกัน ซึ่งการนำส่งข้อมูลนั้น ความเร็วที่ได้จะยึดจากฝั่งอุปกรณ์ที่รองรับได้ต่ำกว่า

USB-C ยังยังรองรับคุณสมบัติการจ่ายไฟสูงถึง 100 Watt (วัตต์) หรือสูงสุด 20V 5A  โดยจะมีชื่อเรียกของเทคโนโลยีนี้ว่า Power Delivery หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า  “PD” ซึ่งเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2012

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า USB-C ของแต่ละแบรนด์นั้น ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเดียวกันทั้งหมด ซึ่งก็รวมถึงสาย USB ด้วย หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถจ่ายไฟได้มากถึง 240W (48V 5A) กันเลย

ดังนั้น ก่อนจะซื้อมาใช้ต้องเช็คให้ดีก่อนว่า ทั้งสาย และพอร์ตเชื่อมต่อของอุปกรณ์ที่ใช้อยู่นั้น รองรับด้วยหรือไม่

ในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ต่างๆ รุ่นใหม่ก็เริ่มใช้ USB-C เป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ว่าอุปกรณ์นั้นๆ คืออะไร ก็ตาม นั่นรวมไปถึง PC, Notebook, Smartphone, Tablet, iPad, MacBook และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่จะรองรับเทคโนโลยี PD กันแทบจะทั้งหมดแล้ว นั่นหมายความว่า จะทำให้ท่านสะดวกต่อการใช้ชีวิตมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น สามารถพกที่ชาร์จ และสายที่รองรับเทคโนโลยี PD Charger ที่มีกำลังวัตต์สูงๆ เพียงตัวเดียว ก็สามารถชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์พกพาทั้งหมดได้ครับ

อัพเดทล่าสุด