โรคหัดเยอรมัน กับ การตั้งครรภ์ - โรคหัดเยอรมันเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างไร (บอก อาการโรคหัดในคนท้อง ด้วย)


884 ผู้ชม


โรคหัดเยอรมันเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างไร

โรคหัดเยอรมัน กับ การตั้งครรภ์ - โรคหัดเยอรมันเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างไร (บอก อาการโรคหัดในคนท้อง ด้วย)

หัดเยอรมันเป็นตอนท้องอันตราย (รักลูก)

          การติดเชื้อในสตรีตั้งครรภ์ เป็นหนึ่งในภาวะที่อาจส่งผลต่อความพิการหรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ได้ ค่ะโดยการติดเชื้อของทารกอาจเกิดตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์ ผ่านทางรกหรือจากการคลอด โดยผ่านน้ำคัดหลั่งในช่องคลอด หรือเลือดของมารดาขณะคลอด รวมทั้งสามารถผ่านทางน้ำนมแม่หลังคลอด ซึ่งความรุนแรงของการติดเชื้อในทารกนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวเชื้อ ช่วงระยะเวลาที่ติดเชื้อ รวมทั้งภาวะภูมิคุ้มกันทั้งของแม่และทารก ดังเช่น การติดเชื้อหัดเยอรมันที่จะพูดต่อไปค่ะ


หัดเยอรมัน


          เป็นปัญหาของโรคติดเชื้อไวรัส ที่สำคัญแม้ว่าจะมีการให้วัคซีนกันแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังพบการติดเชื้อนี้ในกลุ่มวัยรุ่น วัยเจริญพันธุ์ และแม่ตั้งครรภ์ได้บ่อย นำไปสู่ปัญหาสำคัญ คือ ภาวะทารกพิการโดยกำเนิดจากการติดเชื้อหัดเยอรมัน

          เนื่องจากเชื้อหัดเยอรมันเป็นไวรัสที่ติดจากการสัมผัสโดยตรงต่อสารคัดหลั่ง จากโพรงจมูกและปากของผู้ติดเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 14-21 วัน หลังจากสัมผัสเชื้อโรคโดยระยะเวลาแพร่กระจายเร็วคือ 7 วันก่อนผื่นขึ้น จนถึง 7 วันหลังผื่นขึ้น

อาการโรคหัดในคนท้อง

          ที่ พบบ่อยๆ ได้แก่ มีไข้ต่ำ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะตาแดง คออักเสบ จากนั้นจะมีสภาพผื่นแดงเล็กๆ และมีต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะตรงบริเวณหลังหูและลำคอ  นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 3 ของการติดเชื้อหัดเยอรมันจะไม่มีอาการแสดงใดๆ

          พบแม่ท้องติดเชื้อหัดเยอรมันได้ประมาณร้อยละ 0.1-0.2  การติดเชื้อจากแม่สู่ทารกสามารถติดต่อได้ขณะแม่ตั้งครรภ์ โดยความรุนแรงของโรคและความพิการของทารกขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ขณะที่มีการติด เชื้อ ซึ่งผลของการติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะแม่ตั้งครรภ์ทำให้เกิดการแห้ง ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือพิการโดยกำเนิดได้ แต่มีบางส่วนที่ไม่พบการติดเชื้อและไม่มีความพิการใดๆ

          ความพิการโดยกำเนิดของทารกจะเกิดจะมากที่สุด เมื่อติดเชื้อช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ พบว่าทารกมีโอกาสติดเชื้อถึงร้อยละ 80 และจะพบทารกติดเชื้อในครรภ์ได้น้อยลง เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ถึงประมาณร้อยละ 54 ที่อายุครรภ์ 13-14 สัปดาห์ และร้อยละ 25 เมื่อติดเชื้อหลังไตรมาสที่ 2 เนื่องจากเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น จะเริ่มมีการส่งผ่านภูมิคุ้มกันจากแม่ไปยังลูกได้มากขึ้น

          อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อหัดเยอรมันของทารกในครรภ์มิได้ก่อให้เกิดความพิการในทารกทุกราย ซึ่งความพิการโดยกำเนิดของทารกที่พบ ได้แก่ความผิดปกติทางตา (ต้อกระจก ต้อหิน ตาเล็ก) ความผิดปกติของหัวใจ ความบกพร่องทางการได้ยิน ทารกเติบโตช้าในครรภ์ ม้ามโตมีเกร็ดเลือดต่ำ ภาวะซีด ตับ รวมทั้งความผิดปกติของโครโมโซม “การป้องกันหัดเยอรมันสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน” ซึ่งความผิดปกติที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อหัดเยอรมันในครรภ์ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ

1. กลุ่มที่ปรากฏความผิดปกติขึ้นชั่วคราว   จะสามารถพบได้นานถึง 6 เดือนหลังจากคลอด ได้แก่ ตับ ม้ามโต ตัวเหลือง ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายเกร็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ

2. กลุ่มความผิดปกติถาวร   กลุ่มความผิดปกตินี้ ได้แก่ ความบกพร่องในการได้ยิน  ความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด ความผิดปกติทางตา ความผิดปกติทางสมอง รวมทั้งภาวะปัญญาอ่อน ซึ่งพบได้ร้อยละ 10-20

3. กลุ่มที่ปรากฏความผิดปกติภายหลัง   คือไม่มีอาการแสดงขณะแรกคลอด พบได้ประมาณ 1 ใน 3 ของทารกที่มีการติดเชื้อ แต่จะมีอาการแสดงออกภายหลังใน 10-30 ปี

          ความผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่ ความบกพร่องของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ เบาหวาน และภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต รวมทั้งความบกพร่องในการได้ยินและการมองเห็น ความบกพร่องของหลอดเลือดความดันโลหิตสูง โดยความผิดปกติของสมองมักพบในทารกที่แม่ติดเชื้อตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้ง ครรภ์

การวินิจฉัย

          ภาวะติดเชื้อหัดเยอรมันจากอาการต่างๆ นี้ อาจสังเกตเห็นได้ยาก มีความแม่นยำค่อนข้างต่ำ เนื่องจากอาการแสดงต่างๆ สามารถพบได้ในโรคติดเชื้ออื่นๆ ด้วย ซึ่งแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติสัมผัสโรค หรือมีอาการคล้ายหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ก่อน 16 สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจยืนยันการติดเชื้อหัดเยอรมัน เพื่อช่วยในการตัดสินใจดูแลต่อไป  ในทางปฏิบัตินั้นนิยมใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจระดับของ Immunoglobulin โดยจะส่งตรวจระดับของ Ig M.Specific Antibody ซึ่งสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 5 หลังผื่นขึ้น และคงอยู่ 4-6 สัปดาห์ ก็จะช่วยยืนยันการวินิจฉัยได้  นอกจากนี้ยังมีรายงานการตรวจแยกเชื้อไวรัสโดยตรวจจากน้ำลายและคอได้

การวินิจฉัยภาวะติดเชื้อหัดเยอรมัน

          ในทารกก่อนคลอดมีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีที่สงสัยการติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แล้วผลการตรวจยืนยันในแม่ให้ผลไม่ชัดเจนทำได้โดยการตรวจ IgM ในเลือดลูก การเก็บเลือดจากสายสะดือโดยตรง เนื่องจาก IgM ไม่ผ่านจากแม่สู่ลูก ซึ่งตรวจได้หลังจากแม่ติดเชื้อแล้ว 7-8 สัปดาห์ และเมื่ออายุครรภ์ 20-22 สัปดาห์

          สำหรับการตรวจจากน้ำคร่ำสามารถทำได้ โดยมีโอกาสแท้งน้อยกว่า แต่มีความยุ่งยากในทารกแยกเชื้อไวรัส และความน่าเชื้อถือค่อนข้างต่ำ

          สำหรับการตรวจยืนยันทารกแรกคลอด ที่สงสัยมักทำในกรณีที่แม่มีประวัติติดเชื้อ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ ในแม่ตั้งครรภ์ที่เคยมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อหัดเยอรมันหรือมีอาการแสดง ควรได้รับการตรวจเชื้อทันที

          ในกรณีที่ตรวจพบการติดเชื้อแม่ควรได้รับให้คำแนะนำถึงความเสี่ยง และความพิการโดยกำเนิดของทารก รวมทั้งตรวจยืนยันการติดเชื้อของทารก โดยตรวจเลือดทารกหรือเจาะน้ำคร่ำ หลังแม่ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อจริงกรณีที่มีการติดเชื้อของทารกใน ครรภ์ด้วย แม่ควรได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับโอกาสเกิดความพิการโดยกำเนิดของทารก และการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ หากการติดเชื้อเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก สำหรับการให้ Immunoglobulin หลังจากคุณแม่สัมผัสโรค ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าช่วยลดการติดเชื้อของทารกในครรภ์ จึงไม่แนะนำให้ฉีดในทารกแรกคลอดที่ไม่มีอาการแสดงใดๆ ควรได้รับการแยกจากทารกปกติ เพื่อสังเกตอาการและประเมินความผิดปกติที่อาจเกิดภายหลัง

          การป้องกันหัดเยอรมัน สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือนนะคะ

ที่มา  women.kapook.com

อัพเดทล่าสุด