| ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์และภาวะครรภ์เป็นพิษ โดย นพ.ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
 ความหมาย
 
 ความดันโลหิตสูง หมายถึง เมื่อความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว (ตัวบน) เท่ากับหรือมากกว่า  140 มม.ปรอท และขณะหัวใจคลายตัว (ตัวล่าง) เท่ากับหรือมากกว่า 90 มม.ปรอท  (สูงกว่า 140/90) โดยวัดในขณะพัก และวัดได้ค่าสูงอย่างนี้ 2  ครั้งห่างกันอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
 ความสำคัญ
 เมื่อ มีความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด  จะนำมาซึ่งอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์ อันตรายของมารดา คือ  ทำให้เกิดผลจากการหดตัวมากเกินไปของเส้นเลือดแดง  (ซึ่งทำให้เกิดความดันโลหิตสูง) ทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายส่วนต่าง ๆ  โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญ ได้แก่ สมอง, ไต, หัวใจ ไม่ดี  ทำให้อวัยวะทำงานล้มเหลว (organ failures) การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก  ทำให้มีการเกิดลิ่มเลือด เส้นเลือดอุดตัน และการแข็งตัวของเลือด  (ถ้ามีเลือดออก) ผิดปกติ
 นอกจากนั้น  การมีความดันโลหิตสูงอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก  และหัวใจวายเพราะหัวใจทำงานหนักเกินไป ผลเสียที่จะเกิดกับทารก คือ  ทำให้การเปลี่ยนถ่ายอาหารและของเสียระหว่างมดลูกกับรกไม่ดี  ทำให้การเจริญเติบโตของทารกผิดปกติ  โอกาสเกิดการขาดออกซิเจนในครรภ์มีง่ายขึ้น จึงทำให้ทารกตายในครรภ์  และความเปลี่ยนแปลงทั้งระบบของแม่และทารกทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้มาก ขึ้น
 สาเหตุ ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เกิดได้ 4 ประการคือ
 1. มีความดันโลหิตสูงเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคไต ฯลฯ
 2.  อาการครรภ์เป็นพิษ   คือเกิดความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์และมีไข่ขาวในปัสสาวะ  อาจมีอาการบวมร่วมด้วย มักเกิดขึ้นตอนครึ่งหลังของการตั้งครรภ์  (ถ้าเกิดตอนครึ่งแรก มักว่ามีโรคอย่างอื่นผสมอยู่ด้วย เช่น โรคไต  ครรภ์ไข่ปลาอุก )
 สาเหตุยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน  พบมากกว่าปกติในรายที่เป็นครรภ์แรก, ครรภ์แฝด, มารดาอายุมาก เบาหวาน  ความดันโลหิตสูงชนิดนี้มีอาการต่างกับชนิดแรก คือ มีอาการบวม  และมีไข่ขาวในปัสสาวะร่วมด้วย เมื่อคลอดแล้วอาการกลับเป็นปกติ
 3. เป็นความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แล้วมีอาการครรภ์เป็นพิษมาผสมโรงด้วย
 4.  อาการความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เป็นการชั่วคราว  โดยก่อนหน้าตั้งครรภ์ปกติ เมื่อตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูงอย่างเดียว  เมื่อคลอดแล้วกลับเป็นปกติ อาการ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นแบบไม่รุนแรง  (ความดันโลหิตไม่เกิน 160/110 มม.ปรอท) มักจะไม่มีอาการอะไร  บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะบ้าง ปวดแบบหนัก ๆ ตื้อๆ  บางคนสังเกตว่ามีอาการน้ำหนักขึ้นเร็ว และมากกว่าปกติ  บางคนรู้สึกมีอาการบวม ตึงที่หน้าผากเมื่อตื่นนอนตอนเช้า  และบวมที่ขาหน้าแข้งกดยุบ ตอนสาย ๆ หรือกลางวัน
 ถ้าเป็นชนิดรุนแรง  (ความดันโลหิต 160/110 มม.ปรอท ขึ้นไป) มักจะมีอาการปวดศีรษะเป็นอาการนำ  บางคนก็แค่รู้สึกบวมมากอย่างเดียว หรือเป็นทั้งสองอย่างร่วมกัน  บางคนรู้สึกว่าเด็กดิ้นน้อยลง ถ้าเป็นมากจนรกขาดเลือดอาจทำให้เด็กโตช้า  ตัวเล็กกว่าปกติหรือทารกตายในครรภ์ (เด็กไม่ดิ้น)
 การวินิจฉัย
 คน ที่มีความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนตั้งครรภ์ มักวินิจฉัยได้ตั้งแต่การซักประวัติ  และการตรวจความดันโลหิตครั้งแรกที่มาฝากครรภ์  ถ้าเริ่มเป็นขณะตั้งครรภ์ก็จะตรวจพบเมื่อมาฝากครรภ์ครั้งต่อ ๆ มา  หรือเมื่อมีอาการที่กล่าวข้างบน มาพบแพทย์  แล้วแพทย์ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูง
 เกณฑ์การบอกว่ามีความดันโลหิต สูง จะวินิจฉัยเมื่อความดันโลหิต เท่ากับหรือมากกว่า 140/90 มม.ปรอท  (แพทย์บางคนที่ระวังมากหน่อยก็จะตั้งเกณฑ์ที่ 130/85 มม.ปรอท) โดยวัดขณะพัก  2 ครั้ง ช่วงห่างกันอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือ  คนไข้บางคนที่ความดันโลหิตปกติค่อนข้างต่ำอยู่ (เช่นเดิมปกติ 100/60  มม.ปรอท)
 เราก็ให้เกณฑ์ว่าเมื่อความดันโลหิตเพิ่มขึ้นจากเดิม  เมื่อตอนหัวใจบีบตัว 30 มม.ปรอท และเพิ่มจากเดิมเมื่อหัวใจคลายตัวมากกว่า  15 มม.ปรอท (เช่น ขึ้นเป็น 130/75 มม.ปรอท ขึ้นไป)
 การจะวินิจฉัย ว่ามีอาการครรภ์เป็นพิษ ก็ดูจากการตรวจหาไข่ขาว (albumin)  ปนออกมากับปัสสาวะเท่ากับหรือมากกว่า 300 มก.ต่อปัสสาวะ 100 มล.  หรือตรวจโดยใช้แผ่นตรวจปัสสาวะมีไข่ขาว 1+ (มากที่สุด 4+) ขึ้นไป
 ใน ขณะเดียวกันแพทย์จะตรวจหาโรคบางอย่างของร่างกาย  ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ที่ทำให้เป็นสาเหตุเบื้อง ต้นของอาการครรภ์เป็นพิษนี้ด้วย เช่น การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก  การตั้งครรภ์แฝด ความผิดปกติบางอย่างของทารกในครรภ์ (Hydropfetalis)  การมีโรคไต เบาหวาน เอสแอลอี (SLE) รูมาตอยด์ เป็นต้น  เพื่อรักษาที่ต้นเหตุด้วย
 แพทย์จะต้องคอยดูว่าอาการที่เป็นนี้เป็น ชนิดอ่อน ๆ (อาการไม่มาก) หรือ ชนิดรุนแรง  เมื่อเป็นชนิดอ่อนในตอนแรกกก็อาจเปลี่ยนแปลงเป็นชนิดรุนแรงในเวลาต่อมาได้  และเมื่อเป็นชนิดรุนแรงก็จะมีภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น ที่เกิดกับแม่ คือ  มีอาการชัก (เรียกว่า Eclampsia) แล้วทำให้มีเส้นโลหิตแตกในสมอง สมองบวม  ปอดคั่งเลือดและหัวใจวายถึงเสียชีวิตได้
 นอกจากนี้ยังมีผลแทรกซ้อน ทำให้ตับบวม ทำงานผิดปกติถึงขั้นตับวาย  หรือมีผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือดทำให้มีการแข็งตัวของเส้นเลือดฝอย ตามอวัยวะต่าง ๆ และมีผลให้เกิดภาวการณ์แข็งตัวของเลือดผิดปกติตามมา  ภาวะแทรกซ้อนต่อทารกคือทำให้เจริญเติบโตช้า ไม่แข็งแรง คลอดก่อนกำหนด  และเสียชีวิตในครรภ์
 ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนทำให้เกิดความรุนแรง ถึงชีวิตของแม่และทารกได้ รวมทั้งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด  หรือจำเป็นต้องให้มีการคลอดก่อนกำหนดเพื่อยุติการตั้งครรภ์  เพื่อยุติความรุนแรงของโรค  (หลังคลอดอาการครรภ์เป็นพิษจะดีขึ้นได้เองเกือบทั้งหมด)
 การรักษา
 เริ่ม ที่การเฝ้าระวังในขณะมีการตั้งครรภ์ โดยการตรวจความดันโลหิต  การตรวจปัสสาวะและชั่งน้ำหนักทุกครั้งที่มาตรวจ  มีการดูแลเฝ้าระวังเป็นพิเศษในคนที่มีโรคหรือภาวะต่าง ๆ  ที่มีความเสี่ยงจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้นได้ง่ายกว่าคนอื่น  ในรายที่มีความดันโลหิตสูง หรือภาวะครรภ์เป็นพิษในระดับไม่รุนแรง  มักให้การรักษาโดยการให้พักผ่อนเป็นหลัก  อาจต้องให้นอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อควบคุมโรคและเฝ้าระวังการกลายไปเป็นขั้น รุนแรง
 ในขณะเดียวกันก็จะเฝ้าระวัง  ติดตามดูความเจริญเติบโตของทารกและภาวะที่อาจจะเป็นอันตรายต่อทารก เช่น  การตรวจความดันโลหิตบ่อย ๆ เก็บปัสสาวะสำหรับตรวจ 24 ช.ม. เจาะเลือด  ตรวจอัลตราซาวนด์ดูการเจริญเติบโตทารก และนัดหมายบ่อยขึ้น
 ในรายที่ เป็นขั้นรุนแรง ก็จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อลดความดันโลหิต และ/หรือ  ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตราย  และอาจต้องพิจารณาให้มีการคลอดไม่ว่าโดยธรรมชาติหรือผ่าตัดคลอดแล้วแต่สภาพ ของแม่และทารกว่ามีความเร่งด่วนหรือไม่  แพทย์จะพิจารณาถึงความปลอดภัยทั้งของแม่และทารกเป็นหลักในการรักษา
 นั่น คือ ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนมากที่อาจเป็นอันตราย ก็ต้องให้มีการคลอดเกิดขึ้น  แต่ถ้ายังไม่มีภาวะแทรกซ้อนการรอจนครบกำหนด จะมีความปลอดภัยมากกว่า  โดยมีขั้นตอนการตรวจรักษาต่าง ๆ หลายวิธี  การมีภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อทารก  ถ้ามีการวินิจฉัยได้รวดเร็วและรีบแก้ไขก็อาจทำให้ลดอันตรายต่อทั้งมารดาและ ทารกได้
 นอกจากการให้พักผ่อนให้มากที่สุดแล้ว  อาจมีการให้ยาลดความดันโลหิต การให้ยาป้องกันการชัก  การเฝ้าระวังภาวะผิดปกติต่อทารก เช่นการติดตามดูลักษณะการเต้นของหัวใจ  และการเคลื่อนไหวของทารกว่าปกติหรือจะเป็นอันตรายแล้ว เป็นต้น
 ใน รายที่เป็นยังไม่รุนแรง อาการอาจจะดีขึ้นเองได้  แพทย์จะให้มาติดตามดูเป็นระยะ ๆ อย่างใกล้ชิด แต่ในรายที่เป็นรุนแรง  อาการมักจะไม่ดีขึ้นถึงขนาดให้กลับบ้านได้  แต่อาจจะสามารถรักษาประคับประคองจนทารกโตพอที่จะให้คลอดได้โดยปลอดภัย
 การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเพื่อการป้องกันและรักษา
 1.  ผู้ป่วยสามารถช่วยแพทย์ให้นึกถึงหรือคอยระวังให้เป็นพิเศษได้  โดยการบอกประวัติการเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบเมื่อไปฝากครรภ์  โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคไต โรคเอสแอลดี (SLE) โรคข้อรูมาตอยด์  ความดันโลหิตสูง ธัยรอยด์เป็นพิษ โรคอื่นๆที่ต้องรักษาเรื้อรังนาน ๆ
 2.  การฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มแรกที่ทราบว่าตั้งครรภ์  เพื่อให้ได้มีข้อมูลการตรวจพื้นฐานเบื้องต้นก่อนมีอาการ (  ปัจจุบันคนไทยมีการตรวจร่างกายก่อนแต่งงานและก่อนตั้งครรภ์กันมากขึ้น  นับว่ามีประโยชน์มาก)
 3.  ให้สังเกตว่าตัวเองขณะตั้งครรภ์ว่ามีอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ หรือไม่  น้ำหนักตัวขึ้นเร็วเกินไปหรือเปล่า มีอาการกดบุ๋ม  (บริเวณผิวหน้าแข้งส่วนที่ติดกับกระดูก) หรือไม่
 4. ไปฝากครรภ์สม่ำเสมอ ทุกครั้งที่ไปฝากครรภ์จะมีการชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต ตรวจปัสสาวะดูน้ำตาลและไข่ขาวด้วย
 5.  ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษแล้ว  ต้องเคร่งครัดตามคำแนะนำแพทย์ พักผ่อนให้มาก ๆ  ปฏิบัติตัวเกี่ยวกับโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น
 6.  อาการที่จะบอกว่าโรคประจำตัวรุนแรง คือ อาการปวดศีรษะตื้อ ๆ เครียด ๆ  ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่รุนแรง อุบัติการณ์ ของโรคนี้มีประมาณ 3-5%  ของผู้ตั้งครรภ์ มักมีอาการหรือมีอาการมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น  มักพบในระยะครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ (20 สัปดาห์ไปแล้ว)  ถ้าตรวจพบได้ตอนเริ่มต้นเป็น จะลดภาวะแทรกซ้อนและลดอันตรายได้
 |