การแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม การแต่งกายของอิสลาม


2,469 ผู้ชม


การแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม การแต่งกายของอิสลาม 

การแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม การแต่งกายของอิสลาม

คำเตือนในเรื่องกฎต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา

เรียบเรียงโดย

الشيخ د. صالح بن فوزان بن عبدالله الفوزان

ดร. ซอและหฺ อิบนุ เฟาซาน


ภาคที่สอง


การเเจกแจงข้อตัดสินต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งร่างกายของสตรี

          1. สตรีนั้นถูกใช้ให้กระทำสิ่งที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับนางในประการต่างๆแห่งธรรมชาติ อันได้แก่การตัดเล็บการเอาใจใส่ ทั้งนี้เนื่องจากว่าการตัดเล็บนั้นเป็นแบบอย่าง(ซุนนะฮฺ) โดยการเห็นพ้องของบรรดานักปราชญ์ เพราะเป็นประการแห่งธรรมชาติประการหนึ่งที่ปรากฎอยู่ในฮาดิษ และเนื่องจากการขจัดออกนั้นนำมาซึ่งความสะอาดและความสวยงาม และการคงไว้ในลักษณะที่ยาวนั้นนำมาซึ่งการเสียภาพลักษณ์ และการเปรียบเสมือนเสือสิงห์กระทิงแรด และทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกไว้ และห้ามน้ำไม่ให้เข้าใต้เล็บ และมุสลิมะฮฺบางคนถูกทดสอบด้วยการไว้เล็บยาวๆโดยเป็นการเลียนแบบผู้ปฏิเสธ (กาฟิเราะฮฺ) และความไม่รู้ในแบบอย่าง (ซุนนะฮฺ) และมีแบบอย่างให้สตรีขจัดขนรักแร้ทั้งสองและขนในร่มผ้า เป็นการปฏิบัติตามฮาดิษ ที่ปรากฏในเรื่องดังกล่าว และสิ่งที่มีอยู่จากการทำให้เกิดความสวยงามและที่ดีที่สุดนั้นให้มีการกระทำเช่นนั้นในทุกสัปดาห์ หรือ ไม่ปล่อยให้มันล่วงเลยไปมากกว่าสี่สิบวัน


          2. สิ่งที่ถูกใช้และถูกห้ามไม่ให้กระทำในเรื่องผมศีรษะ ขนคิ้วและข้อตัดสินของการอาบชโลมผม และย้อมผมด้วยสี


            เชค มุฮัมหมัด อิบนุ อิบรอฮีม อาลุซเซค ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า...”ส่วนผมของศีรษะสตรีนั้นโกนออกไม่ได้” ดังฮาดิษที่อิมามนะซาอีย์ได้รายงานไว้ในซุนนะฮ์ของท่านด้วยสายรายงานของท่านจากอาลีรอดิยัลลอฮุอันฮฺ และอิมามอัลบัซซัรในหนังสือมุสนัตของท่านด้วยสายรายงานจากท่านอุสมาน และอิบนุญะรีรได้รายงานไว้ ด้วยสายรายงานของท่านจากอิกริมะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ พวกเขากล่าวว่า :

"(ท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามไม่ให้สตรีโกนผมศีรษะของนางออก) และการห้ามนั้นเมื่อมาจากท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มันก็บ่งบอกว่าทำไม่ได้ (หะรอม) ตราบใดที่ไม่มีสิ่งที่ผันแปร"

เมาลา อากีกอรี ได้กล่าวไว้ในอัลมิรกอฮฺ ซัรฮุลมิซกาฮฺ ว่า


“คำพูดของท่านนบีที่ว่า (ห้ามไม่ให้โกนผมศีรษะของนางออก) นั้นก็เนื่องจากผมส่วนหน้าของสตรีนั้นเปรียบเสมือนเคราสำหรับผู้ชายในลักษณะและความสวยงาม...”


          การตัดผมออกนั้นหากว่าเกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นที่ไม่ใช่การตกแต่งเช่นไม่มีความสามารถที่จะซื้อน้ำยาหรือแชมพูเพื่อรักษา หรือยาวมากและทำให้เกิดความยากลำบาก ก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด ในการที่จะตัดออกเท่าที่มีความต้องการ เหมือนกับที่ภรรยาบางคนของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บางคนได้กระทำหลังจากที่ท่านได้จากโลกนี้ไป เนื่องจากพวกนางได้ละทิ้งการตกแต่ง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไว้ผมยาวอีกต่อไป

           แต่ถ้าหากจุดประสงค์ของสตรีในการตัดผม นั้นคือแบบการเลียนแบบพวกผู้หญิงที่ปฏิเสธการศรัทธา (กาฟิเราะฮฺ) หรือผู้หญิงชั่วหรือการเลียนแบบผู้ชาย อันนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้าม โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆอันเนื่องมาจากการห้ามไม่ให้เลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย และการห้ามไม่ให้เลียนแบบพวกผู้ชาย และหากว่าจุดประสงค์จากการกระทำนั้นเพื่อการตกแต่งตามหลักฐานที่ปรากฏแก่ฉัน แล้วมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ท่านเชคฺ มุฮัมหมัดอะมีน อัชชังกีฏี้ รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ใน อัฏวาอุลบายาน ว่า :

“ แท้จริงประเพณีที่มีการปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศด้วยการที่สตรีตัดผมศีรษะของนางสั้นจนเกือบติดหนังศีรษะนั้นเป็นแบบอย่างของพวกฝรั่ง ที่ค้านกับสิ่งที่เหล่าบรรดาสตรีของชาวมุสลิมและเหล่าสตรีของชาวอาหรับก่อนอิสลามได้ยึดถือ มันจัดอยู่ในวิถีทางอันนอกลู่นอกทางอย่างหนึ่งในศาสนา กริยา มารยาท ลักษณะ และอื่นๆที่แพร่กระจายไปทั่ว”

 หลังจากนั้นท่านได้ตอบปัญหาเกี่ยวกับฮาดิษที่ว่า

          บรรดาภรรยาของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้นตัดผมของพวกนางออกจนกระทั่งถึงบริเวณสองติ่งหู ว่าบรรดาภรรยาของท่านนบีนั้น แท้ที่จริงแล้วพวกนางได้ตัดผมของพวกนางให้สั้นหลังจากที่นบีได้จากโลกนี้ไปเพราะว่าพวกนางได้ทำการตกแต่งในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และการตกแต่งอย่างหนึ่ง ที่สวยงามที่สุดของพวกนางก็คือ ผมของพวกนางส่วนหลังจากที่ท่านได้จากโลกนี้ไปแล้ว สำหรับพวกนางนั้นมีข้อชี้ขาด สำหรับพวกนางโดยที่ไม่มีสตรีคนใดจากเหล่าสตรีของชาวโลกทั้งมวลมามีส่วนร่วมกับพวกนางด้วย ในข้อตัดสินดังกล่าว และนั้นคือ การที่พวกนางนั้นไม่มีความหวังที่จะได้แต่งงานอีกเลย และหมดหวังจากการแต่งงานโดยสิ้นเชิง พวกนางนั้นก็เหมือนพวกสตรีที่มีอิดดะหฺที่ถูกกักไว้ด้วยสาเหตุท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จนกระทั่งนางจากโลกนี้ไป พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า...


“และไม่มีสิทธิ์สำหรับพวกเจ้าในการที่จะทำร้ายทูตของอัลลอฮฺ และแต่งงานกับบรรดาภรรยาของเขา ภายหลังจากเขาเป็นอันขาด แท้จริงในการนั้น ณ ที่อัลลอฮฺเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงนัก” (ซูเราะหฺ อัลอะหฺซาบ 53)


 “และการไม่มีความหวังที่จะได้แต่งงานอีก โดยตลอดนั้น อาจจะเป็นสาเหตุของการอนุญาติให้ทำการละทิ้งการตกแต่งโดยที่ไม่อนุญาติให้ในสาเหตุอื่นจากที่กล่าวมา” (อัฏวาอุลบายาน เล่มที่ 5)


           ดังนั้นจึงจำเป็นต่อสตรีที่จะต้องระวังรักษา เอาใจใส่ต่อผมและถักมันให้เป็นหลายเปียด้วยกัน และไม่อนุญาติให้นางม้วนมาไว้บนศีรษะ หรือที่มุมหนึ่งของท้ายทอย
 เชคคุลอิสลามอิบนุไตยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในมัจมั๊วะฟะตะวาเล่มที่ 22 หน้าที่ 145 ว่า “เหมือนกับที่พวกโสเภณีบางคนถักผมของนางเป็นส่วนเดียว ปล่อยไปอยู่ระหว่างสองไหล่”

           เชค มุฮัมหมัดอิบรอฮีม ผู้ชี้ขาดปัญหาศาสนาของประเทศซาอุดิอาระเบีย รอฮิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ส่วนสิ่งที่สตรีของบรรดามุสลิมบางคนได้กระทำในสมัยนี้เกี่ยวกับการแยกผมศีรษะไว้ด้านหนึ่ง และเอาผมมารวมไว้ที่ท้ายทอยอีกด้านหนึ่งหรือเอามาไว้บนศีรษะ เหมือนที่พวกสตรีฝรั่งทำ และอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เนื่องจากในการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการเลียนแบบสตรีที่เป็นผู้ปฏิเสธ และมีรายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ ในฮาดิษที่ยาว กล่าวว่า ท่านร่อซูลซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวาซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า ...

(สองพวกของชาวนรก ที่ฉันไม่ได้เห็นพวกเขาทั้งสอง พวกหนึ่งมีแซ่อยู่กับพวกเขาเหมือกับหางวัว พวกเขาใช้ตีผู้คนทั้งหลาย และพวกสตรีที่สวมใส่แต่เปล่าเปลือย เอนไปเอนมา ศีรษะของพวกนางเหมือนกับโหนกอูฐ พวกนางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และดมกลิ่นของมัน ทั้งๆที่กลิ่นของมันนั้นจะดมได้ในระยะทางเท่านั้นเท่านี้) มุสลิมรายงาน 

         นักปราชญ์บางคนได้ขยายความวจนะของท่านที่ว่า (เอนไปเอนมา) ว่าพวกนางนั้นหวีผมในลักษณะเอน ซึ่งมันเป็นหวีของหญิงโสเภณี พวกนางจะหวีเช่นนั้นให้พวกอื่น และนี่เป็นหวีผมของพวกหญิงฝรั่ง และพวกที่ดำเนินตามพวกนางจากพวกผู้หญิงของบรรดามุสลิม (มัจมั๊วฟาตาวาของ เชคฺ เล่มที่ 2 หน้าที่ 47 และ อัล อีฏอหฺ วัตตับยีน ของเชคฺ หะมู้ด อัต-ตุวัยญีรี หน้าที่ 85)

          เช่นเดียวกันสตรีมุสลิมะหฺนั้นถูกห้ามไม่ให้โกนศีรษะ หรือตัดออกโดยไม่มีความจำเป็น นางจะถูกห้ามไม่ให้ต่อผม หรือเอาผมอื่นมาเสริม เนื่องจากมีปรากฏใน ซอเหี้ยหฺ บุคอรี และ มุสลิมว่า...

 “ท่านรอซูลลุลลอฮฺ ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งหญิงที่ต่อผมให้คนอื่น และหญิงที่ขอให้คนอื่นมาต่อผมให้”

          อันเนื่องมาจากการกระทำดังกล่าวมีการปลอมแปลงอยู่ และในการต่อผมที่เป็นที่ต้องห้ามนั้น คือ การสวมใส่บารูกะหฺ (ผมปลอม) ที่เป็นที่ทราบกันในสมัยนี้ อิมามบุคอรี มุสลิม และท่านอื่นๆได้รายงานว่า...มุอาวิยะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวคำปราศรัย ขณะที่ท่านได้มายังมาดีนะฮฺ และได้เอาผมมาพันหนึ่ง หรือม้วนหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ทำไมพวกสตรีของท่านทั้งหลาย ถึงเอาสิ่งเช่นนี้มาไว้บนศีรษะของพวกนาง ฉันได้ยินท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า...

“ไม่มีสตรีคนใดที่เอาผมมาไว้บนศีรษะของนางจากผมของคนอื่น นอกจากมันเป็นการปลอมแปลงเท่านั้น” และคำว่า “บารอกะฮฺ”นั้น คือผมปลอมที่เหมือนผมจริง และการใส่มันนั้นเป็นหลอกลวง

          ข. ห้ามสตรีมุสลิมะฮฺ ไม่ให้ขจัดขนคิ้วทั้งหมด หรือบางส่วนออกด้วยวิธีใดก็ตาม อันได้แก่การโกน หรือการตัด หรือการใช้เครื่องมือหรือน้ำยา หรือขจัดทั้งหมดหรือบางส่วนออก เพราะอันนี้คือการถอนที่ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ผู้ที่ได้กระทำซึ่งก็มีรายงานว่า ท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งหญิงที่ถอนขนคิ้ว และหญิงที่ให้ผู้อื่นถอนขนคิ้วให้ และอันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ ที่ไชตอนพยายามให้ลูกหลานของอาดำกระทำ โดยที่มันได้กล่าวเหมือนกับที่อัลลอฮฺได้ทรงบอกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ว่า


   “และแน่นอนยิ่งฉันจะใช้พวกเขา แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระองค์อัลลอฮฺทรงสร้าง” (ซูเราะหฺ อัลนิซาอฺ 119)


          และในซอเหี้ยหฺ มีรายงานจากอิบนิมัสอูด รอดิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า... “อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งหญิงที่สักและผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นสัก ให้พวกผู้หญิงที่ถอนขนคิ้ว และพวกผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นถอนขนคิ้วให้ และพวกผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นทำฟันให้ เพื่อความสวยงาม ที่เปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลลอฮฺ” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า...

  “แล้วฉันจะไม่สาปแช่งผู้ที่รอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่ง ในขณะที่มันมีอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺอัซซาวาญัล กระนั้นหรือ?” ซึ่งหมายถึงคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า...


 “และอันใดที่รอซูลได้นำมาให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงรับ และอันใดที่เขาได้ห้ามพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าก็จงหยุดยั้งเสีย” (ซูเราะหฺ อัล-ฮัซรฺ 7)


 อิบนิกะซีร ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านเลขที่ 2 หน้าที่ 359 พิมพ์ที่ ดารุล อัลดาลุส

          หากสตรีจำนวนมากในทุกวันนี้ได้รับการทดสอบด้วยข้อเสียที่อันตรายนี้ ที่มันเป็นบาปใหญ่อันหนึ่ง จนกระทั่งการถอนขนคิ้วได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นประจำวันอย่างหนึ่ง และไม่เป็นที่อนุญาติสำหรับนาง ในการที่จะไปเชื่อฟังสามีของนาง เมื่อเขาใช้ให้นางกระทำการดังกล่าว เพราะว่าอันนั้นเป็นการฝ่าฝืน


         ค. ห้ามสตรีมุสลิมะฮฺไม่ให้ทำช่องฟันของนางเพื่อความสวยงาม ด้วยการที่นางเอาตะไบเล็กๆมาถูไถเพื่อให้เกิดช่องฟันเล็กๆ ระหว่างฟัน โดยมีความมุ่งหวังในความสวยงามแต่เมื่อฟันนั้นมีความผิดปรกติ และต้องการให้มันเป็นปรกติ  เพื่อขจัดความผิดปรกตินี้ หรือ หนอนกิน และต้องการให้มีการแก้ไข เพื่อขจัดสิ่งดังกล่าวให้หมดไป อันนั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะว่าการกระทำอย่างนี้มันเป็นการแก้ไขและขจัดความผิดปรกติอ  และนั่นจะเกิดขึ้นด้วยการกระทำของแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะทาง


          ฆ. ห้ามสตรีไม่ให้ทำการสักที่ร่างกายของนาง เพราะว่าท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัมนั้นได้สาปแช่งหญิงที่สัก และหญิงที่ให้ผู้อื่นสักให้ และอันนี้เป็นการกระทำที่ถูกห้าม และบาปใหญ่ชนิดหนึ่ง เพราะว่าท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม ได้สาปแช่งผู้ที่กระทำดังกล่าว หรือให้ผู้อื่นกระทำให้ และการสาปแช่งจะไม่เกิดขึ้นนอกจากในสิ่งที่เป็นบาปใหญ่เท่านั้น


         ง. ข้อชี้ขาดการอาบสีของสตรี ย้อมผม และการประดับด้วยทองคำ 


           1. การอาบสี  อิหม่ามนะวะวี ได้กล่าวไว้ใน อัลมัจมั๊วอฺ เล่มที่ 1 หน้าที่ 324 ว่า:  “ ส่วนการอาบสีมือและเท้าทั้งสองด้วยใบเทียนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการส่งเสริมสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว เนื่องจากฮาดิษต่างๆที่เป็นที่ทราบกันในเรื่องดังกล่าว... ”.  ท่านชี้ให้เห็นสิ่งที่อบูดาวุด ได้รายงานไว้ว่า ...หญิงคนหนึ่งได้ถามอาอีซฺะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮา ถึงการอาบสีด้วยใบเทียน นางก็กล่าวว่า  “ ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าฉันไม่ชอบมัน แล้วแท้ที่จริง ความรักของฉันในตัวท่านร่อซูล ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม และท่านนั้นเกลียดกลิ่นของมัน ”  (อัน-นะซาอี รายงาน)


มีรายงานจากอาอีซฺะฮฺ รอดิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า... “หญิงคนหนึ่งได้ส่งสัญญานจากหลังม่าน ในขณะที่มีหนังสืออยู่ในมือของนาง ไปยังท่านรอซูล ซ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านนบีก็ได้ยื่นมือของท่านไปหา และท่านกล่าวว่า “ฉันไม่ทราบว่าเป็นมือของผู้ชาย หรือ ผู้หญิง” นางกล่าวว่าเป็นมือของผู้หญิง และท่านก็กล่าวว่า “หากเธอเป็นผู้หญิง เธอก็จักต้องเปลี่ยนเล็บของเธอ” หมายถึง: การเปลี่ยนด้วยใบเทียน (อบูดาวุด และ อันนะซาอี นำออกรายงาน) แต่ทว่านางจะต้องไม่ย้อมเล็บของนางด้วยสิ่งที่ติดแข็งและทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดได้


          2. การย้อมผมศีรษะของสตรี หากว่าเป็นผมหงอก นางนั้นก็ควรจะย้อมด้วยสีอื่น ที่ไม่ใช่สีดำ เนื่องจากการห้ามของท่านนบี ซ็อลลัลลอฮุอาลัยฮิวาซัลลัม ไม่ให้ย้อมด้วยสีดำโดยทั่วไป


อิหม่าม นะวะวีย์ ได้กล่าวไว้ใน ริยาฎุซซอลิฮีน หน้าที่ 626 บทว่าด้วยเรื่อง การห้ามผู้ชาย และผู้หญิงไม่ให้อาบสีผมของเขาทั้งสองด้วยสีดำ และได้กล่าวไว้ใน มัจมั๊วอฺ เล่มที่ 1 หน้าที่  324 ว่า...


         “และไม่มีความแตกต่างใดๆ ในการห้ามไม่ให้อาบด้วยสีดำ ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง และนี่คือแนวความคิดของเรา” ส่วนการย้อมผมสีดำของสตรีนั้น เพื่อให้มันเปลี่ยนเป็นสีอื่นนั้น สิ่งที่ฉันมีความเห็นก็คือว่าสิ่งนี้ไม่เป็นที่อนุญาติ เพราะว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าสีดำของผมนั้นมันเป็นความสวยงาม มันไม่ถือเป็นสิ่งผิดปรกติที่จะต้องเปลี่ยนแปลง และอีกอย่าง การกระทำดังกล่าว มันเป็นการเลียนแบบพวกผู้หญิงที่ปฎิเสธ ( กาฟิเราฮฺ )


           3. อนุญาตให้สตรีใช้เครื่องประดับที่ทำมาจากทองและเงิน ตามที่มีปฏิบัติกันและอันนี้เป็นสิ่งที่บรรดาผู้รู้เห็นพ้องต้องกัน แต่ทว่าไม่เป็นที่อนุญาติสำหรับนาง ในการที่จะนำเอาสิ่งประดับของนางมาแสดงแก่พวกผู้ชาย ที่ไม่ได้เป็นมะฮฺร็อม หากแต่จำเป็นที่นางจะต้องปกปิดมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ออกจากบ้านและต้องเผชิญกับการมองของพวกผู้ชาย เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันเป็นการสร้างความวุ่นวาย และนางนั้นจะถูกห้าม ไม่ให้พวกผู้ชายได้ยินเครื่องประดับของนาง ที่ขาของนางภายใต้เสื้อผ้า ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ว่า...


“และอย่าได้ให้พวกนางตีเท้าของพวกนาง เพื่อให้มีการรู้ถึงสิ่งที่พวกนางปกปิดไว้จากเครื่องตกแต่งของพวกนาง”. ( ซูเราะฮฺ อันนูร 31)


 แล้วจะเป็นเช่นไรเล่าเมื่อมีการกระทำให้ได้ยินเสียงเครื่องประดับที่เปิดเผย

 

จากหนังสือ "คำเตือนในเรื่องกฎต่างๆที่เกี่ยวข้องกับบรรดาหญิงผู้ศรัทธา"

Source: www.islammore.com

อัพเดทล่าสุด