ไม่มีคุณค่าใด ไม่มีสิ่งใดซึ่งยิ่งใหญ่ ไม่มีเมตตาใดที่มีเกียรติมหาศาลไปกว่า การที่เราได้ถูกบังเกิด มาเพื่อทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์
7 กลุ่มของมุอ์มิน ที่ได้รับร่มเงาจากอัลลอฮ์ (ซบ.ฯ)
ไม่มีคุณค่าใด ไม่มีสิ่งใดซึ่งยิ่งใหญ่ ไม่มีเมตตาใดที่มีเกียรติมหาศาลไปกว่า การที่เราได้ถูกบังเกิด มาเพื่อทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ และเป็นวันศุกร์ที่ท่านนบี (ศ็อลฯ) ได้นำมาซึ่งศาสนบัญญัติที่คงไว้ด้วยความเที่ยงตรง และแจ้งข่าวดีถึง ผลตอบแทนแก่ผู้มุ่งมั่นทำดี และศรัทธามั่นในโลก ที่คั่นกลางระหว่างดุนยากับอาคิเราะฮ์ นามว่าโลกแห่งบัรษะคียะฮ์ และในปรภพหน้า ซึ่งมุอ์มินทุกคนได้เชื่อมั่นศรัทธา ในสัจจะของท่านนบี (ศ็อลฯ)
อัลลอฮ์ทรงยืนยันในพระดำรัสของพระองค์ว่า :
(وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى) النجم: ٤-٣
“ไม่ใช่นบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวด้วยอารมณ์ของตัวเอง เว้นแต่มันคือ วะฮีย์ของอัลลอฮ์ ซึ่งถูกประทานมา”
สัจจะหนึ่ง คือ ร่มเงาของอัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีร่มเงาใดที่บ่าวของพระองค์จะพึ่งพาได้ นอกจากร่มเงาของพระองค์เท่านั้น ซึ่งอบูฮู่รอยเราะฮ์ ท่านได้รายงานจาก คำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ)
سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللهُ فِيْ ظِلِّهِ يَوْمَ لاَظِلَّ اِلاَّظِلُّهُ
“ถึงมุอ์มินเจ็ดกลุ่มที่จะได้รับข่าวดี โดยที่อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาได้รับร่มเงาของพระองค์ และไม่มีร่มเงาใดนอกจากร่มเงาที่พระองค์เท่านั้น”
ในวันกิยามะฮ์นั้น ไม่มีเงาแห่งร่มไม้ ไม่มีห้องวีไอพีเพื่อห้องพัก ไม่มีห้องรับรองเพื่อต้อนรับ ความร้อนของดวงอาทิตย์ใกล้ศีรษะ แต่ละคนเท้าเปล่าเปลือย รอคอยอนาคตที่จะมาถึง ตั้งแต่คนแรกของโลกดุนยา ถึงคนสุดท้าย เด็ก-ผู้ใหญ่ ชาย-หญิง ราชา-สามัญชน คนรวย-คนจน คนใหญ่คนโต ทั้งมุอ์มิน และมุชริก
อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า :
)يَوْمَ يَجْمَعُكُمْ لِيَوْمِ الْجَمْعِ ذَلِكَ يَوْمُ التَّغَابُنِ (التغابن: ٩
“วันที่พระองค์ทรงรวมพวกเจ้าเพื่อ เป็นวันรวมเพื่อการสอบสวนและตอบแทน วันดังกล่าวนั้น คือเยามุตตะฆอบุน”
นั่นคือ น้ำเหงื่อของมนุษย์ในวันนั้น ไหลหลากมากล้น ความร้อนของดวงอาทิตย์เฉียดศีรษะ แต่ละคนต่างพบเจอกับ ความเป็นอยู่ของเขาในวันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอะม้าล ที่แต่ละคนได้กระทำไว้ในโลกดุนยา ขณะเดียวกัน มีอยู่เจ็ดกลุ่ม ซึ่งอัลลอฮ์ทรงให้ร่มเงาแก่พวกเขา จนเสร็จสิ้นจากการพิพากษา แล้วนำสู่สวรรค์ด้วยความเมตตาของพระองค์
กลุ่มที่หนึ่ง :
اِمَامٌ عَادِلٌ
อิหม่ามที่ยุติธรรม ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงมอบให้ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล แล้วเขาคงไว้ซึ่งความอาเด้ล (ยุติธรรม) คราใด ซึ่งเขาได้ตัดสินผู้อยู่ใต้การดูแลรับผิดชอบของเขา เขาก็คงไว้ด้วยความเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่ว่าจะทางด้านการให้ การจัดสรรปันส่วน และอื่น ๆ ให้เป็นไปตามชะรออ์ อย่างแท้จริง
กลุ่มที่สอง :
شَابٌّ نَشَأ فِيْ عِبَادَةِ اللهِ عَزَّ وَجَلْ
คนหนุ่มสาว ซึ่งเขาดำเนินชีวิตคงมั่นอยู่ในการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ วัยหนุ่มวัยสาวนั้น เป็นวัยที่มีกำลังวังชา เป็นวัยซึ่งอารมณ์หรือนัฟซู ที่นำพาไปสู่ความประพฤติที่ไม่ค่อยจะดีนัก ทั้งเขาเหล่านั้น จะต้องต่อสู้กับนัฟซูตัวเอง และการล่อลวงของชัยฏอน เพื่อได้อิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ เอาพลังที่มีอยู่ ไปฏออัต ภัคดีต่อพระองค์ด้วยการงานที่ดี เช่น ละหมาด ทำดีต่อบิดามารดา ลดละสายตาจากการนำสู่การซินา เป็นต้น อัลลอฮ์ได้ทรงเพิ่มฮิดายะฮ์ และตอบแทนด้วยร่มเงาของพระองค์
อัลลอฮ์ทรงกล่าว เล่าถึงชนหนุ่มของชาวถ้ำ (อัศฮาบุ้ลกะฮ์ฟิ่) ว่า :
إِنَّهُمْ فِتْيَةٌ آمَنُوا بِرَبِّهِمْ وَزِدْنَاهُمْ هُدًى الكهف: ١٣
“แท้จริง พวกเขาคือ กลุ่มชายหนุ่มที่เขาทั้งหลาย มีอีหม่านต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มทางนำที่ถูกต้องแก่พวกเขา”
กลุ่มที่สาม :
رَجُلٌ قَلْبُهُ مُعَلَّقٌ فِي الْمَسَاجِدِ
ชายที่หัวใจเขาผูกพันอยู่กับบรรดามัสยิด
กลุ่มที่สี่ :
رَجُلَانِ تَحَابَّا فِي اللهِ اجْتَمَعَا عَلَيْهِ وَتَفَرَّقَا عَلَيْهِ
สองคนซึ่งทั้งสอง รักยิ่งในอัลลอฮ์ ทั้งสองรวมกันและแยกจากกัน บนจุดเริ่มแห่งการฏออัต ภักดีต่ออัลลอฮ์ ครั้นเมื่อรวมกัน ก็เป็นไปเพื่อพระองค์ ด้วยการฏออัตภักดี ทำผิดก็ตักเตือนกัน ไม่ได้รวมกันหรือร่วมด้วยช่วยกัน ในการทำมะอ์ศิยัต เช่น รวมกันเพื่อคุยเรื่องของชาวบ้าน นินทาว่าร้าย ยุแยงตะแคงรั่ว สุมไฟให้เกิดฟิตนะฮ์ ดังนั้น พึงทราบเถิดว่า ความดีกับความชั่วจะมาผสมกัน นั่นไม่ใช่คำสอนคำสั่งจากอิสลาม ไปรวมตัวกัน ณ มัสยิด ซึ่งเป็นบ้านของอัลลอฮ์ เป็นศาสนสถานเพื่อทำการสุญูด ซิกรุ้ลลอฮ์ ใช้เป็นเวทีของการตักเตือนกัน ให้ทำความดี สกัดกั้นกันจากการทำบาป ปรึกษาหารือในการส่งเสริมคุณธรรม แต่แล้ว ยังมีอีกหลายคน เอาบริเวณมัสยิดไว้รวมตัวกัน สร้างความร้าวฉานต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน รวมตัวกันเพื่อคุยเรื่องของชาวบ้าน นินทาว่าร้าย ซึ่งการรวมตัวอย่างนี้ อิสลามไม่ได้สอนสั่ง และมัสยิดก็ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้ไปรวมกันในการทำบาปใดๆ ทั้งสิ้น
นัยของคำว่า “รักในอัลลอฮ์” คือ เขาจะไม่หลอกลวงกัน ไม่อธรรมต่อกัน ไม่แทงข้างหลัง แต่ให้เขารักษาและทนุถนอมความรัก และความเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รวมกันหรือแยกกัน ต้องเพื่ออัลลอฮ์ รวมกันทำดีนั้นเป็นเรื่องดี หากรวมกันแล้ว มีแต่ไม่ดีก็อย่าได้รวมกันเลย แยกกันดีกว่า เพราะถ้ารวมกันเราแตก แยกกันเราอยู่ แยกกันดีกว่า ถ้ายิ่งรวมก็ยิ่งบาป คนที่รักกันจริงในอัลลอฮ์ เขาเหล่านั้น จะไร้ทุกข์ไร้โศก มีตำแหน่งสูงส่ง ณ ที่อัลลอฮ์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่นบี ไม่ใช่เราะซู้ล ไม่ใช่ผู้สละชีวิตในสมรภูมรบเพื่อศาสนา
ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :
إنَّ مِنْ عِبَادِ اللهِ لَأُنَاسًا مَا هُمْ بِأَنْبِيَاءَ وَلاَ شُهَدَاءَ يَغْبِطُهُمُ الْأَنْبِيَاءُ وَالشُّهَدَاءُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِمَكَانِهِمْ مِنَ اللهِ قَالُوْا: يَا رَسُوْلَ اللهِ! تُخْبِرُنَا مَنْ هُمْ؟! قَالَ : هُمْ قَوْمٌ تَحَابُّوْا برُوْحِ اللهِ عَلَى غَيْرِ أَرْحَامٍ بَيْنَهُمْ وَلاَ أَمْوَالٍ يَتَعَاطَوْنَهًا فَوَاللهِ إِنَّ وُجُوْهَهُمْ لَنُوْرٌ وَإنَّهُمْ عَلَى نُوْرٍ لاَ يَخَافُوْنَ إِذَا خَافَ النَّاسُ وَلاَ يَحْزَنُوْنَ إِذَا حَزِنَ النَّاسُ “الحديث”ابودادود
“แท้จริง มีผู้คนกลุ่มหนึ่งจากบ่าวของอัลลอฮ์ พวกเขาไม่ใช่นบี ไม่ใช่ชุฮะดาอ์ บรรดานบี เหล่าชุฮะดาอ์ ต่างปรารถนาเฉกเช่นพวกเขาในวันกิยามะฮ์ ซึ่งพวกเขามีตำแหน่งสูง ณ ที่อัลลอฮ์ เหล่าศ้อฮาบะฮ์ถามว่า โอ้ท่านเราะซู้ล เขาเหล่านี้คือใครกัน? ท่านตอบว่า เขาเหล่านี้ คือกลุ่มชนที่รักยิ่งในอัลลอฮ์ ทั้งที่มิใช่เครือญาติใกล้ชิด ระหว่างพวกเขา และไม่ใช่เพื่อทรัพย์ ที่เขาทั้งหลายจะจับต้องมัน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงใบหน้าพวกเขามีรัศมี อันแจ่มจรัส แท้จริงพวกเขา มีรัศมีเหนือรัศมี ไม่มีความหวาดกลัวเหนือพวกเขา เมื่อผู้คนได้หวาดกลัว ไม่มีความเศร้าโศก เมื่อผู้คนอื่นเศร้า"
กลุ่มที่ห้า :
رَجُلٌ دَعَتْهُ امْرَأَةٌ ذَاتُ مَنْصَبٍ وَجَمَالٍ فَقَالَ: إِنِّيْ أَخَافُ اللهَ
“ชายที่หญิงสวยตำแหน่งดี เชื้อเชิญยั่วยวนสู่ความชั่วกับนาง เขาปฏิเสธโดยตอบว่า ฉันกลัวอัลลอฮ์”
คนกลัวอัลลอฮ์จริง ไม่กล้าทำบาปเช่นนี้ คนกลัวอัลลอฮ์ ก็จะไม่ลงนรกด้วย
ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :
مَن يَضْمَنُ لِيْ مَا بَيْنَ لَحْيَيْهِ وَمَا بَيْنَ رِجْلَيْهِ أضْمَنُ لَهُ الْجَنَّةَ البخاري
“ผู้ใดค้ำประกัน ยืนยันแก่ฉันได้ กับสิ่งที่อยู่ระหว่าง สองเครา (ปาก) ของเขา และสิ่งที่อยู่ระหว่างสองขา (อวัยวะเพศ) ของเขา ฉันจะค้ำประกัน ยืนยันสวรรค์ให้แก่เขา”
กลุ่มที่หก :
رَجُلٌ تَصَدَّقَ بِصَدَقَةٍ فَأَخْفَاهَا؛ حَتَّى لَا تَعْلَمَ شِمَالُهُ مَا تُنْفِقُ يَمِينُهُ
“คนที่บริจาคด้วยเศาะดะกอฮ์แล้ว เขาไม่เปิดเผยมันให้ใครทราบ ถึงขั้นว่า มือซ้ายไม่รู้ สิ่งที่มือขวาเขาเศาะดะกอฮ์ไป”
ซึ่งเขาไม่ได้หวังชื่อเสียง หรือหาเสียง หรือคำเยินยอสรรเสริญใดๆ ทั้งสิ้น คนอย่างนี้ เศาะดะกอฮ์ ของเขาคือ กำแพงกั้นขวางไฟนรก และได้รับการทดแทนจากอัลลอฮ์ ในดุนยาอีกด้วย
อัลลอฮ์ตรัสว่า :
(وَمَا أَنْفَقْتُمْ مِنْ شَيْءٍ فَهُوَ يُخْلِفُهُ وَهُوَ خَيْرُ الرَّازِقِينَ) سبأ: ٣٩
“และสิ่งที่พวกท่านบริจาค จากสิ่งหนึ่ง อัลลอฮ์จะทรงทดแทนให้คืน ภายหลังในดุนยานี้ และตอบแทนผลบุญในอาคิเราะฮ์ อัลลอฮ์ผู้ทรงให้ริสกีทั้งหลาย”
กลุ่มที่เจ็ด :
رَجُلٌ ذَكَرَ اللَّهَ خَالِيًا فَفَاضَتْ عَيْنَاهُ
“ผู้ที่เขาได้ซิเกร ได้รำลึกถึงอัลลอฮ์ ยามที่เขาอยู่คนเดียวจิตใจ ไม่พะวงอื่นใด แล้วน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา จากสองดวงตาของเขา (เพราะกลัวอัลลอฮ์)”
ท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า :
عَيْنَانِ لا تَمَسُّهُمَا النَّارُ: عَيْنٌ بَكَتْ مِنْ خَشْيَةِ اللهِ وَعَيْنٌ بَاتَتْ تَحْرُسُ فِيْ سَبِيْلِ اللهِ الترمذي
ดวงตาทั้งสอง จะไม่สัมผัสไฟนรก ดวงตาที่ร่ำไห้เพราะ กลัวอัลลอฮ์ และดวงตาที่อดหลับอดนอน ด้วยการเฝ้าระวังรักษา ปกป้อง ในหนทางของอัลลอฮ์
ท่านอิหม่าม อัลมะนาวีย์ กล่าวว่า :
سَوَّى بَيْنَ الْعَيْنِ الْبَاكِيَةِ وَالْحَارِسَةِ؛ لِاسْتِوَائِهِمَا فِيْ سَهْرِ الْلَيْلِ لِله، فَالْبَاكِيَةُ بَكَتْ فِيْ جَوْفِ الْلَيْلِ خَوْفاً للهِ، وَالْحَارِسَةُ سَهَرَتْ خَوْفاً عَلَى دِيْنِ اللهِ
ย่อมมีความเท่าเทียมกัน ระหว่างดวงตาที่ร่ำไห้ และที่เฝ้าคอยระวังศัตรู เพราะดวงตาทั้งสองนี้ เท่าเทียมกันในการอดหลับอดนอน ในยามค่ำคืนเพื่ออัลลอฮ์ ตาที่ร่ำไห้ในยามค่ำคืน เพราะกลัวอัลลอฮ์ และตาที่อดตาหลับขับตานอน เพื่อป้องกันอันตรายจากศัตรูของศาสนา ก็เพราะกลัวอันตราย กับศาสนาของอัลลอฮ์ เช่นกัน
พึงตระหนักรู้เถิด ว่าเราเป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มนี้หรือไม่ ?