ลมออกหูเกิดจากอะไร และ วิธีแก้ลมออกหู แบบ อาการลมออกหูข้างเดียว


83,299 ผู้ชม


ลมออกหูเกิดจากอะไร และ วิธีแก้ลมออกหู แบบ อาการลมออกหูข้างเดียว

โรคของหู
โรคของหูชั้นนอก
เป็นการอักเสบจากการติดเชื้อบัคเตรี  เชื้อราหรือไวรัส สาเหตุที่สำคัญ คือ น้ำเข้าหู แคะหูด้วยเครื่องมือสกปรก ขี้หูติดอยู่นานๆ เมื่อมีน้ำเข้าหูเกิดการอักเสบได้ง่าย
          อาการสำคัญที่สุดคือปวดหู ผู้ป่วยจะปวดในช่องหู รอบๆ หู หรือปวดร้าวไปทั้งศีรษะ  การอักเสบแบบเป็นฝีจะปวดมาก ถูกต้องใบหูเจ็บมาก มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลซึ่งมีจำนวนน้อยและไม่ข้น นอกจากนี้ยังมีหูตึง คันหู และเป็นไข้  การตรวจจะพบว่าช่องหูบวมแดงหรือเป็นฝี  มีหนองขัง  แก้วหูอาจบวมแดงหรือปกติก็ได้ มีแผ่นหนองแห้งติดอยู่ ถ้าอักเสบจากเชื้อราจะเห็นเชื้อราชัดเจนโดยเห็นเป็นก้านยื่นออกจากแผ่นหนอง และมีสปอร์สีต่างๆ กัน เช่น สีดำ และสีเหลือง การตรวจด้วยกล้องขยาย เช่น  กล้องจุลทรรศน์  จะมองเห็นเชื้อราชัดเจนมาก ผู้ที่มีอาการคันหู ส่องดูหูแล้วแคะออกมาเป็นสะเก็ดสีขาวเป็นขุยนั้นไม่ใช่เชื้อรา เป็นผิวหนังที่ลอกออกมาจากในช่องหูเท่านั้น  หูชั้นนอกอักเสบจากเชื้อบัคเตรีหรือเชื้อรา ยังไม่เคยพบว่าลุกลามเข้าสมองทำให้สมองอักเสบหรือเป็นฝีในสมอง หูอักเสบจากเชื้อไวรัสบางชนิด  เช่น งูสวัดที่หู เชื้อไวรัสอาจลุกลามเข้าหูชั้นในและประสาทสมองที่ ๗  ทำให้มีอาการหูตึง เวียนศีรษะ และปากเบี้ยวได้
          การรักษาโดยทำความสะอาดช่องหู  นับว่าสำคัญที่สุด  อะไรก็ตามที่ติดค้างในช่องหู เช่น ขี้หูก้อนหนอง แผ่นหนอง ผิวหนังที่ลอกออกมา ต้องเอาออกให้หมดโดยการแคะ ใช้เครื่องดูดหรือล้างออกการทำความสะอาดช่องหูทำให้เจ็บปวดได้มากแต่จะหายอักเสบได้เร็ว    ใช้ยาหยอดหูที่มียาปฏิชีวนะ  หรือยาต้านเชื้อราหลังจากทำความสะอาดช่องหูแล้ว   ถ้าไม่ทำความสะอาดช่องหูก็ไม่มีประโยชน์ที่ใช้ยาหยอดหู  เพราะยาเข้าไม่ถึงผิวหนังส่วนที่อักเสบ  ถูกสิ่งสกปรกบังไว้หมดนอกจากนี้ก็ให้ยาแก้ปวด ลดบวม และยาแก้คัน รายที่อักเสบมากหรือเป็นฝีควรให้ยาปฏิชีวนะโดยการฉีด หรือกินก็ได้ ส่วนรายที่เกิดจากเชื้อไวรัสงูสวัดและปากเบี้ยวต้องได้รับการตรวจและรักษาเป็นพิเศษ  โดยมุ่งการรักษาไปที่เส้นประสาทสมองที่ ๗ เพื่อรักษาอัมพาตกล้ามเนื้อใบหน้าซึ้งทำให้มีอาการปากเบี้ยว
โรคของหูชั้นกลาง
         แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ๓ ประเภท คือ
    หูชั้นกลางอักเสบแบบเป็นหนอง  เป็นการอักเสบจากการติดเชื้อของเยื่อเมือกในโพรงหูชั้นกลาง ทำให้เป็นหนองในหูชั้นกลาง แบ่งได้เป็น ๒ ชนิด คือ
                
    ๑) หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน  เป็นการอักเสบปัจจุบันหรืออย่างเฉียบพลันจากเชื้อบัคเตรี พบฃบ่อยมากในเด็ก พบมากที่สุดในเด็กอายุประมาณ ๖-๗ ปีพบน้อยในผู้ใหญ่  มักจะเป็นข้างเดียว การอักเสบนี้เกิดตามหลังการอักเสบในคอหรือจมูก  อันเนื่องมา จากต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) อักเสบ ไข้หวัด จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ หัด ไอกรน เชื้อโรคจากคอหรือจมูกลุกลามไปตามท่อยูสเตเชียนเข้าหูชั้นกลางได้ง่าย เพราะท่อนี้ในเด็กมีขนาดโต สั้น  และอยู่ในแนวราบ
                  อาการสำคัญที่สุดคือปวดหู ผู้ป่วยจะปวดลึกๆ และปวดมากจนร้องหรือดิ้น  หรือใช้มือป้องหูถูกต้องใบหูจะไม่เจ็บปวด เด็กที่เป็นหวัดและเจ็บคอ แล้วต่อมามีอาการปวดหู  แสดงว่าหูอักเสบ หากมีไข้หูตึง อาจมีเสียงดังตุ๊บๆ ตามหัวใจเต้น ถ้าตรวจหูจะพบว่าช่องหูชั้นนอกปกติ แก้วหูบวมแดงนูนออกมาลักษณะทึบแบบมีหนองข้างใน  ในรายที่มีหนองไหลจะพบหนองในช่องหู และพบแก้วหูทะลุมีหนองไหลจากหูชั้นกลาง  ถ้าบริเวณหลังหูบวมและกดเจ็บ  แสดงว่าโพรงอากาศมาสทอยด์อักเสบ หากเอกซเรย์จะพบว่าโพรงอากาศมาสทอยด์ทึบแบบมีหนองข้างใน
                
    ๒) หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง  คือโรคที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า โรคหูน้ำหนวก  เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากที่สุด  ทำให้หูพิการได้มาก  และเกิดอาการแทรก-ซ้อนทางสมองถึงแก่ความตายได้   โรคนี้เกิดตามหลังหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่เพียงพอ ส่วนสำคัญที่ทำให้เป็นหูน้ำหนวกเรื้อรังคือแก้วหูทะลุ  ดังที่กล่าวมาแล้วว่า  แก้วหูมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าหูชั้นกลาง ในคนแก้วหูทะลุ เชื้อโรคจากหูชั้นนอกผ่านเข้าหูชั้นกลางได้ง่าย เช่น น้ำเข้าหูก็จะเกิดหนองไหล การเป็นหวัดและเจ็บคอ เชื้อจากคอหรือจมูกเข้าหูชั้นกลางทำให้มีหนองไหลจากหูการตรวจพบแก้วหูทะลุในผู้ใหญ่มักเป็นแก้วหูทะลุที่เป็นมาตั้งแต่เด็กเกือบทั้งหมด   ในวัยหนุ่มสาวหรือผู้ใหญ่ ถ้าแก้วหูทะลุจากหูอักเสบหรือจากอุบัติเหตุส่วนมากจะหายได้เอง
                
    แก้วหูทะลุไม่ทำให้หูตึงมาก ถ้าไม่มีอาการหนองไหลจะไม่รู้เลยว่าแก้วหูทะลุ ดังนั้น ในรายที่หู อักเสบหนองไหลตามหลังการแคะหูหรือน้ำเข้าหู  เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าแก้วหูทะลุ  มักจะลงความเห็นว่าแก้วหูทะลุเนื่องจากการแคะหูหรือน้ำเข้าหูนั้น  ไม่เป็นความจริงทุกราย เพราะบางรายแก้วหูทะลุอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่เด็ก โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังจึงเป็นโรคหูที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เด็ก  และเกิดจากเชื้อบัคเตรีเกือบทุกราย ที่เกิดจากเชื้อราพบได้น้อย
                
    อาการที่พบมากที่สุดคือ หนองไหลออจากช่องหูมาก ข้น และเหนียว  บางครั้งมีกลิ่นเหม็นไม่ปวดหู และมีอาการหูตึงระดับต่างๆ กันตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงมากหรือหูหนวก   อาการเหล่านี้ไม่รุนแรงผู้ป่วยส่วนมากจึงไม่มาตรวจรักษา นับว่าเป็นอันตรายมาก เพราะการปล่อยให้มีหนองในหูชั้นกลางนานๆอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงถึงแก่ความตายได้
                
    นอกจากอาการหนองไหล   ยังมีแก้วหูทะลุ   ซึ่งพบได้ทุกรายโดยมีขนาดรูทะลุต่างๆ กัน และพบตรงส่วนไหนของแก้วหูก็ได้ เยื่อบุในหูชั้นกลางหนามาก อาจมีลักษณะเป็นก้อนยื่นออกมาในหูชั้นนอก  นอกจากนี้อาจจะพบก้อนผิวหนังที่งอกเข้าไปอัดแน่นในหูชั้นกลาง  ซึ่งเรียกว่า  คอเลสตีอะโทมา (cholesteatoma) การพบก้อนประเภทนี้นับว่าเป็นหูน้ำหนวกที่มีอันตรายมาก เพราะนอกจากจะรักษาหนองไม่หายแล้วยังงอกเข้าไปในทุกส่วนของหูชั้นกลางทำลายกระดูกนำเสียง ลุกลามเข้าโพรงอากาศมาสทอยด์หลังหู ทำลายกระดูกที่กั้นระหว่างหูกับสมอง ทำให้เชื้อโรคกระจายเข้าสู่สมองเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และฝีในสมอง ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงถึงตายได้  คอเลสตีอะโทมาอาจทำลายกระดูกหลังหูทำให้เป็นฝีหรือเป็นรูหลังหู เส้นประสาทสมองที่ ๗ ซึ่งผ่านบริเวณหูอาจจะถูกกดหรือทำลาย ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตเป็นโรคปากเบี้ยว และถ้ามีการทำลายหูชั้นในจะทำให้หูหนวกและเวียนศีรษะ
    โรคหูน้ำหนวกแบ่งเป็น ๒ ชนิด คือ
                  ก. โรคหูน้ำหนวกชนิดไม่เป็นอันตรายเกิดจากแก้วหูทะลุอย่างเดียว  มีหนองไหลเป็นๆ หายๆ หูตึงไม่มาก การรักษาทางยาจะช่วยให้หูแห้งอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้  โรคนี้รักษาโดยการหยอดยาเมื่อมีหนองไหล  ระวังไม่ให้น้ำเข้าหู ไม่แคะหูและล้างหู ผู้ป่วยที่ระมัดระวังดีอาจไม่ต้องผ่าตัดปิดรูทะลุและไม่เกิดอันตรายตลอดชีวิต
                  ข. โรคหูน้ำหนวกชนิดเป็นอันตรายเกิดจากแก้วหูทะลุ มีคอเลสตีอะโทมา  และมีการอักเสบเรื้อรังในโพรงอากาศมาทอยด์ มีน้ำหนวกไหลไม่หยุดไหลทุกวัน และมีกลิ่นเหม็นมาก ฉีดยา กินยาหรือหยอดยาแล้วหนองก็ไม่หยุดไหล  หูตึงมากน้อย
    แตกต่างกัน  ส่วนมากจะตึงมากหรือหูหนวก มีอาการเวียนศีรษะ  เป็นฝีหรือรูทะลุหลังหู และปากเบี้ยวหากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามเข้าสมองเป็นอันตรายถึงตายได้  ควรรักษาโดยการผ่าตัดทุกราย
    2.   หูชั้นกลางอักเสบแบบไม่เป็นหนอง : หูชั้นกลางอักเสบชนิดน้ำใส 
    3.  หูตึงจากกระดูกงอกที่กระดูกโกลน  เกิดเนื่องจากมีกระดูกงอกที่บริเวณช่องรูปรีแล้วยึดฐานของกระดูกโกลนให้ติดแน่น และสั่นสะเทือนได้ยากเสียง จึงผ่านเข้าหูชั้นในได้น้อย  ทำให้หูตึงแบบการนำเสียงเสีย ยังไม่ทราบสาเหตุของโรค พบในหญิงมากกว่าชาย โดยเริ่มมีอาการหูตึงตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว จาก การตรวจรักษาผู้ป่วยหูตึงอายุ ๒๐-๕๐ ปี พบว่าอาการหูตึงจะเป็นทีละน้อยๆ ทั้ง ๒ ข้าง โดยจะตึงมากข้างใดข้างหนึ่ง  บางรายมีอาการลมออกหูหรือเวียนศีรษะเมื่อตรวจหูจะไม่พบสิ่งผิดปกติ  แต่เมื่อตรวจการได้ยินจะพบว่า เป็นหูตึงชนิดแบบนำเสียงเสีย ถ้าตรวจวัดการทำงานในช่องหูชั้นกลางจะพบว่ากระดูกนำเสียงถูกยึดแน่น  และรีเฟล็กซ์ของกระดูกโกลนให้ผลลบ อาการหูตึงจะมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ารักษาด้วยการผ่าตัดซึ่งทำโดยตัดกระดูกโกลนทิ้ง แล้วใส่ของเทียม เช่น ลวดท่อเหล็ก ท่อพลาสติก ให้ทำหน้าที่แทนกระดูกโกลนผู้ป่วยจะหายหูตึงและได้ยินเป็นปกติได้ ส่วนผู้ป่วยที่ต้องการรักษาทางยา โดยไม่ยอมผ่าตัดจะไม่หายเป็นปกติ แต่ถ้าใช้เครื่องช่วยฟังจะช่วยได้มาก
โรคของหูชั้นใน
          หูชั้นในมีอวัยวะทำหน้าที่รับเสียงและควบคุมการทรงตัว การที่หูชั้นในไม่ทำหน้าที่ตามปกติ จึงมักจะมีอาการหูตึง หูหนวก ลมออกหู และเวียนศีรษะควบคู่กันไป  อาการอย่างหนึ่งอาจจะเด่นชัดกว่าอาการอีกอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะส่วนที่เสียไป โรคฃที่พบได้บ่อย คือ
    หูตึงในคนสูงอายุหรือหูคนแก่  เกิดเนื่องจากการเสื่อมสภาพของอวัยวะรับเสียงและประสาทหูไปตามอายุ มีอาการหูตึงทั้งสองข้างเท่าๆ กัน  การรับฟังเสียงสูงจะเสียมากกว่าการรับฟังเสียงต่ำ  บางรายมีลมออกหู  ส่วนมากจะไม่เวียนศีรษะ โรคนี้ยังไม่มีทางรักษา ถ้าหูตึงเกิน ๔๐ เดซิเบลจะเริ่มมีปัญหาในการพูดจากัน จึงควรใส่เครื่องช่วยฟัง
    
    หูตึงจากยา  ยาบางชนิดมีพิษต่อเซลล์ขนรับเสียงในอวัยวะรูปหอยโข่ง  เดิมที่พบคือยาควินินที่ใช้รักษาโรคมาลาเรีย ปัจจุบันพบจากยาปฏิชีวนะหลายอย่าง เช่น สเตร็ปโตไมซิน ไดไฮโดรสเตร็ปโตไมซิน คานาไมซิน นิโอไมซิน  และเจนทาไมซินฯลฯ  การได้รับยาจำนวนน้อย  และในระยะเวลาสั้นไม่ทำให้หูตึง  จะเกิดหูตึงเมื่อได้ยามากและในเวลานาน  ในคนสูงอายุหรือผู้ป่วยโรคไต   หากหูตึงแล้วไม่มีทางรักษาแต่ถ้าอยู่ในระยะหูตึงน้อย  หากหยุดยา  หูจะตึงอยู่ในระดับนั้นไม่เสียมากขึ้น การป้องกันไม่ให้หูตึงจึงสำคัญที่สุด  โดยไม่ใช้ยาประเภทนี้  หรือใช้ยาด้วยความฃระมัดระวัง และตรวจสอบการได้ยินระหว่างการให้ยาด้วย
    
    หูตึงจากเสียง  เสียงที่ดังมากเกินไปและดังอยู่เป็นเวลานานจะทำลายเซลล์ขนในอวัยวะรูปหอยโข่ง ทำให้หูตึง หูตึงประเภทนี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นหูตึง ณ ความถี่สูงที่ ๔,๐๐๐ เฮิรตซ์ ถ้าได้รับเสียงดังต่อไปนี้นานเป็นปี  เช่น  เสียงในโรงงาน  เสียงเรือหางยาว เสียงสามล้อเครื่อง และเสียงยิงปืน จะทำให้หูตึงเพิ่มมากขึ้น ณ ความถี่ต่างๆ เช่น หูตึงที่ความถี่ ๓,๐๐๐  ๒,๐๐๐ หรือ ๖,๐๐๐ เฮิรตซ์ เป็นต้น อาการร่วมที่พบบ่อย คือ ลมออกหู  หูตึงจากเสียงเป็นโรคที่รักษาไม่หายและพิการตลอดชีวิต การป้องกันจึงดีที่สุด โดยใส่เครื่องป้องกันเสียงครอบหูไว้ถ้าจะต้องทำงานในที่ที่มีเสียงดังมาก
    
    โรคเมนิแอร์ (meniere's disease)
    
    หูชั้นในอักเสบ  เกิดจากเชื้อบัคเตรี  หรือไวรัส  มีการทำลายเซลล์ขนในอวัยวะรูปหอยโข่งอย่าง มากมาย เป็นผลให้หูหนวก ไม่มีทางรักษา
    
    เนื้องอกประสาทหู  เส้นประสาทสมองที่ ๘ เป็นเส้นประสาทของหูชั้นใน พบเป็นเนื้องอกบ่อยที่สุดในบรรดาประสาทสมองทั้งหมด อาการสำคัญในระยะแรก  คือ หูตึง ต่อมามีเวียนศีรษะ เนื้องอกที่โตมากขึ้นจะกดเส้นประสาทสมองเส้นอื่นๆ และเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการอื่นๆ อีกมาก เครื่องมือพิเศษที่ใช้ตรวจมีหลายชนิด   โดยเฉพาะเครื่องวัดการได้ยินคอมพิวเตอร์จะสามารถวินิจฉัยได้ในขณะที่ก้อนเนื้องอกยังมีขนาดเล็ก สามารถผ่าตัดเอาออกได้โดยมีอันตรายน้อย
    
    อุบัติเหตุต่อหูชั้นใน  เกิดจากการถูกตี รถชน หรือถูกยิง ทำให้กะโหลกศีรษะแตก ซึ่งถ้าแตกร้าว ไปที่หูชั้นใน จะทำลายหูชั้นในทำให้หูหนวกและเวียนศีรษะได้
    
    หูหนวกจากกรรมพันธุ์  ถ่ายทอดมาทางสายเลือด ทำให้เด็กเกิดมาหูหนวก บางครอบครัวที่มีพ่อแม่หูหนวก บุตรทุกๆ คนอาจหูหนวกทั้งหมดก็ได้
หูพิการแต่กำเนิด
แบ่งได้เป็น ๒ พวก คือ
    ความพิการของหูชั้นนอกหรือชั้นกลาง เช่น ใบหูเล็กมากหรือไม่มีใบหู  ใบหูเป็นติ่ง มีรูบริเวณหน้าหู ช่องหูตีบแคบหรือตีบตันจนไม่มีช่องหู และอาจมีความพิการของกระดูกนำเสียงอันหนึ่งอันใดผู้ป่วยจะหูตึงแบบการนำเสียงเสีย ในปัจจุบันนี้สามารถฃผ่าตัดรักษาหูตึงชนิดนี้ได้เป็นบางรายเท่านั้น ในรายที่ผ่าตัดไม่ได้หรือไม่ยอมผ่าตัด  ควรใส่เครื่องช่วยฟังส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีช่องหูหรือหูตีบตันทั้งหมด หูจะไม่หนวก แต่จะมีหูตึงแบบการนำเสียงเสีย ประมาณ ๖๐  เดซิเบล สามารถพูดและเรียนหนังสือได้ ทั้งนี้เพราะเสียงที่ดังเกิน ๖๐  เดซิเบล  จะผ่านกะโหลกศีรษะเข้าหูชั้นในโดยตรงได้โดยไม่ต้องอาศัยช่องหู  แก้วหูและกระดูกหู ผู้ป่วยจำนวนมากที่มารักษาต้องการผ่าตัดทำใบหูใหม่เพื่อความสวยงามเท่านั้น การผ่าตัดทำใบหูใหม่ทำยากและไม่ค่อยทำกันในบ้านเรา   ในต่างประเทศมักทำเป็นใบหูปลอมติดขาแว่นตา เมื่อออกจากบ้านใส่แว่นตาก็มีใบหูเรียบร้อย  ดูไม่ออกว่าเป็นใบหูปลอม บางรายผ่าตัดฝังใบหูปลอมติดไว้เลย  สำหรับในบ้านเรายังไม่มีใบหูปลอมแบบนี้ เพราะคนไทยมีสีผิวหนังแตกต่างกันมาก ไม่มีใบหูปลอมที่ทำสีให้เหมือนผิวหนังคนไทยได้ทุกๆ คน
    ความพิการของหูชั้นใน  จากการตรวจหูจะพบว่าใบหู ช่องหูชั้นนอก แก้วหู และกระดูกหูทั้ง ๓ ชิ้น เป็นปกติ แต่หูชั้นในไม่เจริญเติบโต โดยเฉพาะอวัยวะรูปหอยโข่งเจริญเติบโตบางส่วนหรือไม่เจริญเลย   ทำให้หูตึงมากหรือหูหนวก   สาเหตุเกิดจากกรรมพันธุ์   มารดาเป็นโรคบางอย่างระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะโรคหัดเยอรมัน นับว่าเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดต่อหูชั้นใน  มารดาจะตั้งครรภ์ระยะไหน กี่เดือนก็ตาม ถ้าเป็นหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสเข้าหูชั้นในของเด็กในครรภ์   และทำลายเซลล์ขนโดยตรงทำให้เกิดมาหูหนวก  ซึ่งมีทางแก้ไข  นอกจากนี้ ยังมีโรค และเชื้อไวรัสอีกหลายชนิดที่อาจทำให้เด็กหูพิการได้
    เด็กหูตึงประเภทนี้ ต้องได้รับการตรวจและวินิจฉัยโดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือในการหัดฟังเสียงและฝึกพูดโดยใส่เครื่องช่วยฟัง  และฝึกพูดโดยนักฝึกสอนการพูด (ดูหัวข้อการฝึกพูด) ถ้าหูหนวกสนิทต้องให้ฝึกใช้ภาษาใบ้

Source: https://health.phahol.go.th

รู้สึก วิงเวียน รู้สึกหมุน อ่อนแรง  อย่านิ่งนอนใจ ชี้เสี่ยงเป็นได้

 

                แย่แล้ว แย่แล้ว!! คุณมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า ???  รู้สึก วิงเวียน โลกหมุนได้ทั้งใบทั้งๆ ที่หลับตา และเมื่อลืมตาขึ้นก็ยังไม่หยุดหมุน... หรือเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเคลื่อนไหวทั้งที่จริงแล้วคุณกำลังยืน นั่ง หรือนอนอยู่กับที่โดยไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย  และ เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างที่กำลังทำมีการเคลื่อนไหวมากกว่าที่เราขยับจริงแล้ว ละก็ นั่นเป็นสัญญาณเตือนบ่งบอกให้คุฯรู้ว่า ระบบการทรงตัวของร่างกายในหูชั้นใน ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยรักษาการทรงตัวของร่างกาย รักษาการมองเห็นให้คงที่ ควบคุมการเคลื่อนไหวของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว และนี่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังเป็น “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” แล้ว

 

              “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” เป็น โรคที่แรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ของเหลวที่อยู่ภายในส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับ การได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและความสมดุล จึงทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะขึ้น เมื่อแรงดันมากขึ้นผู้ป่วยจะรู้สึกตึงๆ ในหูข้างที่ผิดปกติ

            โรค แรงดันน้ำในช่องหูชั้นในผิดปกติ ส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ในกลุ่มที่ทราบสาเหตุจะเรียกว่า กลุ่มอาการมีเนีย ได้แก่ โรคซิฟิลิส หูน้ำหนวก เป็นต้น เพราะฉะนั้นโรคนี้จึงรักษาไม่หายขาด เพียงแต่สามารถรักษาอาการเวียนศีรษะให้หายเป็นปกติได้เท่านั้น อาการผิดปกติอาจเกิดขึ้นกับหูเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ ระยะแรกๆ มักเป็นข้างเดียว แต่เมื่อเป็นนานๆ เข้า โอกาสที่หูข้างที่สองจะเป็นร่วมด้วยก็มีมากขึ้น

            ส่วนอาการของโรคที่ พบบ่อยๆของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะเริ่มต้นกันด้วยอาการเวียนศีรษะที่รู้สึก เหมือนกำลังหมุนไปพร้อมๆกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ลักษณะอาการคือจะเกิดขึ้นในทันทีทันใด อาจจะเป็นอยู่นานกว่า 20 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง อาการดังกล่าวมักเป็นรุนแรง แต่ไม่ทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต เมื่อหายเวียนศีรษะ ผู้ที่เป็นจะมีความรู้สึกเหมือนเป็นปกติ

ต่อมาเป็นอาการ หูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ถ้าเป็นระยะแรกๆ จะสูญเสียการได้ยินแค่ชั่วคราว หลังจากหายเวียนศีรษะแล้ว การได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะบ่อยๆ หรือเป็นมานาน อาการหูอื้อมักจะเป็นถาวร บางครั้งอาจถึงขั้นหูหนวกไปเลยก็เป็นได้

อาการที่มีเสียงดังในหูและ อาการตึงๆ ภายในหูคล้ายกับมีแรงดัน ผู้ป่วยจะมีเสียงดังในหูข้างที่ผิดปกติ และจะเกิดแรงดันของน้ำอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนี้อาจเป็นได้ตลอดเวลา หรือเป็นเฉพาะขณะที่เวียนศีรษะ

 

แล้วเมื่อเป็นแล้วควรทำอย่างไร..... 


               
ง่ายๆ เพียงมีการควบคุมอาหาร ลดอาหารที่มีรสชาติเค็ม โดยจำกัดเกลือ ขอแนะนำนะค่ะว่าให้เติมเกลือลงในอาหารวันละไม่เกิน 2 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชาเท่านั้น   ส่วนการรักษาโดยการใช้ยาเรามีหลายชนิดมาแนะนำเช่นกันค่ะไม่ว่าจะเป็น  ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน   ยาลดอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียน ควรใช้ในขณะที่มีอาการเท่านั้น   ยากล่อมประสาทและยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและนอนหลับได้เป็นปกติ และ   ยาขยายหลอดเลือด เพื่อช่วยลดอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน
       
               หาก ยังไม่ดีขึ้นก็ควรที่จะไปรับการรักษาจาก แพทย์เพื่อที่จะรับการพิจารณาและทำการผ่าตัดต่อไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดของการรักษาคุณควรที่จะรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และทำร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ เพียงแค่นี้โรคต่างๆก็ไม่สามารถมาเคาะประตูหน้าบ้านของคุณได้แล้ว

 เรื่องโดย : นางสาว มณีรัตณ แช่มมณี Team Content www.thaihealth.or.th

-----------

คำว่า ลมออกหู เป็นภาษาของผู้ป่วย น่าจะสื่อไปในความหมายของ tinnitus หรือ hearing problem หรืออย่างอื่นที่รบกวนการได้ยิน อันตรายหรือไม่ น่าจะดูจากอาการร่วมด้วย เช่น มีเวียนศีรษะ การได้ยินลดลงอย่างทันทีทันใด หรือเคยประสบอุบัติเหตุ ฯลฯ
 
          อีกอย่างที่ต้องนึกถึงคือ มีอาการของไข้หวัด น้ำมูกไหลบ่อย ๆ รึเปล่าเพราะอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีอาการนี้ได้จากการที่ท่อปรับความดันในหลอดคอกับหูชั้นกลาง ( Eustacian tube ) ทำงานได้ไม่ดี ต้องรีบรักษาโรคหวัด,จมูกอักเสบ ให้หายแล้วอาการน่าจะดีขึ้น อีกอย่างคือการทำ Valsava Maneuver คือให้ผู้ป่วยบีบจมูกทั้งสองข้างแล้วเป่าลมโดยอย่าให้ลมรั่วออกปาก ( แก้มจะป่อง) เพื่อปรับความดันในช่องหู ถ้าไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงก็มาตรวจกับหมอได้ค่ะ

- พอดีอ่านข้างต้นที่ว่าคุณหมอบางท่านบอกว่า  เลือดไปเลียงสมองไม่พอ  หรือเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอก็เลยคิดว่าน่าจะมีส่วนเป็นไปได้ เพราะสังเกตตัวเองว่าลองรับประทานอาหารพวกปลาผัก(คึ่นช่าย)แครอท บีทรูทอาการก็ดีขึ้นไม่อื้อเลยบอกต่อเผื่อใครที่มีอาการหูอื้อและมีเสียงวี้ ๆในหูจะลองรับประทานดูบ้างจะดีขึ้นเหมือนกันไหม

-   ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยหูอื้นมาประมาณเดือน กว่า ๆ โดยไม่มีสาเหตุ ตื่นเช้ามาหูก็อื้อแล้วอาการก็เวียนหัว ชาด้านหน้าและด้านหลังหู ได้ยินเสียงน้อยลง และมีเสียงในหูตลอดเวลา นอนไม่หลับทรมาณมาก ไปหาหมอเฉพาะทางด้านหูก็ไม่หายคะ

    แถมหมอบอกว่าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาไม่หาย ต้องกินยาไปเรื่อย ๆ หมดกำลังใจค่ะไม่รู้จะทำอย่างไร มาวันนึงเจอพี่คนที่ทำงานเดียวกันก็เล่าให้เขาฟังว่าหูอื้อไม่หายสักทีพี่เข าเลยแนะนำต้นยาสมุนไพรของคนโบราณที่ ปู่ย่า ตายายเขาได้บอกต่อ ๆ กันมาว่ารักษาโรคหูอื้อให้หายได้

   ต้นไม้สมุนไพรนั่นชื่อว่า " ผักเสี้ยนผี" ค่ะ ซื่งผักนี้จะขึ้นอยู่ตามทุ่งนา พี่เขาเก็บมาให้ดิฉัน ดิฉันก็เลยลองใช้ผักนี้ลองรักษาดูได้ผลค่ะ ดิฉันใช้อยู่ประมาณ 3-4 วันอาการหูอื้อลมออกหูก็หายค่ะ ดิฉันเลยมาโพสเป็นอุทิศผลบุญให้กับเจ้าของยานี้ เพื่อใครที่อยากหายเหมือนดินฉันจะลองนำผักนี้มาใช้บ้าง

อัพเดทล่าสุด