ปวดท้องประจําเดือน สาเหตุ ปวดท้องประจําเดือน แก้
ปวดประจำเดือน หรือ ปวดท้องประจำเดือน
อาการปวดท้องประจำเดือน เป็นภาวะที่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยทนทรมานมาแล้ว ที่แตกต่างกันก็คือปวดมาก หรือน้อยเท่านั้น หากเป็นอาการปวดท้องประจำเดือนแบบธรรมชาติทั่วไปไม่มากก็ไม่เป็นไร แต่หากปวดมาก และปวดนานเป็นประจำ ทราบหรือไม่ว่า อาจเป็นอาการปวดเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ข้างในโดยที่เราไม่รู้ตัว และหากละเลยทนปวดอยู่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
รศ.นพ.สุวิทย์ บุญยะเวชชีวิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูติ-นรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการปวดท้องประจำเดือนหรือปวดท้องเมนส์ว่า ภาวะปวดท้องประจำเดือน หรือปวดระดู (Dysmenorrhea) เป็นอาการปวดท้องน้อยที่สัมพันธ์กับการมีระดู เป็นปัญหาที่พบบ่อยของสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ ปวดระดูชนิดปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea) หรือเรียกว่า แบบธรรมชาติ เป็นภาวะปวดท้องน้อยจากมดลูกหดเกร็งระหว่างมีระดู โดยไม่มีโรคร้ายใด ๆ ซ่อนอยู่
ทุกครั้งที่มีประจำเดือนมดลูกจะสร้างสารตัวหนึ่งชื่อ พรอสตาแกลนดินส์ มีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัวเป็นพัก ๆ เพื่อไล่เลือดออกมา แต่มีผลต่อระบบเส้นเลือดบีบตัว กล้าม เนื้อบีบตัว และลำไส้บีบตัวผิดปกติ ซึ่งการบีบตัวของอวัยวะในช่องท้องก็ทำให้มีอาการ เช่น มดลูกบีบตัวไล่เลือดออกมา ทำให้มีการปวดบีบเหมือนโดนอะไรบีบจะมีอาการมากหรือน้อยแตกต่างกันไป และมีอาการเส้นเลือดบีบตัวที่สมอง ทำให้ปวดหัวเหมือนเป็นไมเกรน หรือบางคนมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย เนื่องจาก ลำไส้ทำงานผิดปกติ ทำให้มีกลุ่มอาการของการมีประจำเดือนเกิดขึ้น และเป็นธรรม ชาติที่ผู้หญิงทุกคนต้องทรมานกับอาการดังกล่าว และกลุ่มอาการพวกนี้มักจะมีในช่วงวัยรุ่นและมีแค่ 1 ปีแรก หลังจากนั้นส่วนใหญ่จะปวดลดลง ซึ่ง อาการจะปวดมากที่สุดในวันแรกของการมีระดูตรงท้องน้อยหรืออาจปวดร้าวกระจายไปบริเวณหลังหรือต้นขา และทุเลาลง หรือ 1-2 ชั่วโมงก่อนมีประจำเดือน
ส่วน ปวดระดูชนิดทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea) เป็นภาวะปวดท้องน้อยจากมดลูกหดเกร็งที่เกิดจากพยาธิสภาพภายในอุ้งเชิงกราน สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจทางคลินิก คืออาการจะตรงข้าม กับแบบธรรมชาติ เช่น ตอนสาว ๆ ไม่ปวดแต่กลับเพิ่งมาปวดตอนอายุมากขึ้น เป็นทีละหลาย ๆ วัน และปวดมากขึ้นทุกเดือน ๆ จนทำงานไม่ได้ต้องลางาน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาจจะมีประจำเดือนไหลมากขึ้นผิดปกติ มี ไข้สูง มีหนองไหลออกมาทางช่องคลอด ซึ่งแสดงว่าเป็นสัญญาณอันตรายอาจจะมีโรคอื่นซ่อนอยู่ข้างใน ได้แก่ โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในบางกรณีที่เป็นมากอาจพบ มีถุงน้ำที่รังไข่ (โรคช็อกโกแลตซีสต์) โรคเนื้องอกของกล้าม เนื้อมดลูก โรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
ส่วนใหญ่โรคที่พบบ่อย คือ “โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่” (Endometriosis) เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูก ไปอยู่ที่ตำแหน่งอื่นของร่างกาย โดยปกติจะไปอยู่ที่อุ้งเชิงกราน นอกตัวมดลูก คือ ในแต่ละเดือนผู้หญิงเมื่อมีประจำเดือนมดลูกจะบีบตัวเพื่อไล่เลือดประจำเดือนออกมา แต่จะมีบางส่วนที่ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างในมดลูก ถ้าฝังอยู่นิดหน่อยจะกลายเป็นพังผืด แต่ถ้าฝังอยู่มากตรงรังไข่เลือดรวมกันเป็นก้อนกลายเป็นถุงน้ำและมีเลือดคลั่งอยู่ข้างในมีสีน้ำตาล เรียกว่า โรคช็อกโก แลตซีสต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น เนื้อดีแต่มีสิทธิเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นถ้าโตมาก ๆ เกิน 4 ซม. ต้องผ่าออก เพราะมี โอกาสเป็นมะเร็งสูงและวันดีคืนดีอาจแตกและเกิดการอักเสบในช่องท้องถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตามทุกคนมีภาวะเลือดประจำเดือนไหลย้อนได้ แต่ว่ามีบางคนร่างกายสามารถกำจัดเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไปฝังตัวผิดที่เหล่านี้ได้ แต่บางคนไม่สามารถกำจัดได้ ทำให้เกิดโรคนี้ขึ้น ซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงคือ คนที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยและหมดประจำเดือนช้า คนที่อายุมากเพราะสะสมเลือดที่คั่งค้างไว้นานกว่า ในบางรายอาจมีปัญหามีบุตรยากร่วมด้วย
สำหรับการรักษาถ้าหากมีอาการปวดท้องประจำเดือนไม่มากนักอาจรักษาเริ่มแรกโดยการรับประทานยาระงับปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือยา ที่ต้านฤทธิ์พรอสตาแกลนดินส์ ก็จะสามารถบรรเทาอาการปวดและ ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการปวดได้ แต่ถ้าหากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปวดแบบมีโรคซ่อนอยู่อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นให้ มาพบแพทย์อย่ากลัวการตรวจภายใน เพราะโรคที่ซ่อนมากับอาการปวดท้องระดูนั้นสามารถรักษาให้หายได้ โดยการรับประทานยาหรือถ้าจำเป็นก็ต้องผ่าตัด สำหรับในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และอาจกลัวการตรวจภายในนั้นสามารถใช้วิธีอัลตราซาวด์ตรวจทางหน้าท้องได้ไม่ต้องตรวจภายใน หากแต่งงานมีลูกแล้วก็สามารถตรวจโดยการตรวจภายในและอัลตราซาวด์ได้ซึ่งในสตรีที่แต่งงานแล้วจะแนะนำให้ทำเป็นประจำทุกปี และสามารถตรวจมะเร็งปากมดลูกในคราวเดียวกัน
อย่ามัวทนปวดอยู่เพราะอาการปวดนั้นเราไม่สามารถทราบได้ว่ามีโรคร้ายซ่อนอยู่หรือไม่ ถ้าสงสัยให้รีบมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะโรคที่ซ่อนอยู่ทำให้เราทนทุกข์ทรมานจนต้องขาดเรียนหรือหยุดงานส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงและอาจมีอาการรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์