โรคภูมิแพ้ คือ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ยาแผนโบราณรักษาโรคภูมิแพ้


1,421 ผู้ชม


โรคภูมิแพ้ คือ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ยาแผนโบราณรักษาโรคภูมิแพ้   

โรคภูมิแพ้ คือ อะไร

โรค ภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกิดจากร่างกาย ของเรามีปฏิกิริยา ตอบโต้กับสิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไป กล่าวคือ ร่างกายของคน ที่เป็นโรคภูมิแพ้ แทนที่จะสร้างภูมิต้านทานโรค กลับไปสร้าง ภูมิชนิดที่ ก่อให้เกิด อาการภูมิแพ้แทน ภูมิชนิดนี้ เรียกว่า ไอ-จี-อี หรือ IgE สารที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ เราเรียกว่า สารก่อนภูมิแพ้ อันได้แก่ ฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เกสรดอกหญ้า ฝุ่น ซากแมลงสาบ และขนแมว ขนสุนัข เป็นต้น

โรคภูมิแพ้ คือ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ยาแผนโบราณรักษาโรคภูมิแพ้

โรค ภูมิแพ้ มีหลายชนิด ได้แก่ ภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ประกอบด้วย โรคภูมิแพ้ทางจมูก และโรคหืด ภูมิแพ้ทางผิวหนัง ภูมิแพ้ทางตา ภูมิแพ้แบบรุนแรงอาจถึงช็อคได้ (เรียกว่าภาวะช็อคจากภูมิแพ้)โรคภูมิแพ้ มีหลายชนิด ได้แก่ ภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ประกอบด้วย โรคภูมิแพ้ทางจมูก และโรคหืด ภูมิแพ้ทางผิวหนัง ภูมิแพ้ทางตา ภูมิแพ้แบบรุนแรงอาจถึงช็อคได้ (เรียกว่าภาวะช็อคจากภูมิแพ้)

แหล่งข้อมูล https://www.oknation.net

สู้ภูมิแพ้ด้วยสมุนไพรก้นครัว


ข้อมูลจาก https://www.samunpri.com
        โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ฮิตติดอันดับ ของคนในสังคมทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ ที่ได้ผู้ว่าฯ
โรคภูมิแพ้ คือ วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ยาแผนโบราณรักษาโรคภูมิแพ้		คน ใหม่กันแล้ว กล่าวกันว่า แปดในสิบคนที่เดินเข้าร้านขายยา มักจะต้องซื้อยาที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ มีผู้คนมากมายที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคนี้ อย่างไม่รู้จบ ต้องอยู่ภายใต้การกินยา และหาหมออย่างยาวนาน เวียนเข้าเวียนออก ต้องทนทุกข์จากผลข้างเคียงของยาแก้แพ้ เช่น การง่วงนอน ปากคอแห้ง หรือการเต้นของหัวใจถูกรบกวน นอกจากนี้อาการข้างเคียงของยา ที่ทำให้จมูกโล่งก็สร้างความทุกข์ระทมไม่แพ้กัน คือ การที่มีอาการใจสั่น กระวนกระวาย มีอาการทางจิตประสาท นอนไม่หลับ ทางออกของโรคภูมิแพ้ ในมุมมองของการรักษาแผนปัจจุบัน ก็คือ การหลีกเลี่ยงสารที่แพ้กับการกินยา และหาหมอ

        ก่อนอื่นเราคงมารู้จักเจ้าภูมิแพ้กันสักหน่อย ภูมิแพ้เกิดจากความไม่สมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันเป็นกลไกที่ซับซ้อนพอสมควร ถ้าจะลองอธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรคพวกแบคทีเรีย รา ไวรัส หรือเนื้อเยื่อ ที่ชอกช้ำจากการบาดเจ็บ
        ระบบภูมิคุ้มกัน จะกระตุ้นให้เซลหลั่งสารเคมีบางชนิด เพื่อทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น มีการทำให้เซลเม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ต่อสู่กับเชื้อโรคพร้อมรบ กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมาบริเวณนี้ให้มากขึ้น อุณหภูมิบริเวณนี้จะมากขึ้น และมีอาการบวม ที่เราเรียกอาการนี้ว่า อาการอักเสบ (inflammation)
ทีนี้เมื่อใดที่สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวหายไป แล้วแต่เจ้าระบบภูมิคุ้มกันยังทำงานอยู่ หรือเจ้าภูมิคุ้มกันเกิดขยันเกินเหตุ เห็นสารปกติธรรมดาที่มีอยู่รอบตัวเป็นสิ่งแปลกปลอม ทีนี้แหละยุ่ง เพราะการอักเสบก็ยังคงดำรงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในหู คอ จมูก และระบบทางเดินหายใจ ก็จะเหมือนอยู่ใต้เปลวไฟ คือ มีอาการบวม แดง ร้อน หายใจลำบาก ซึ่งจะลุกลามเป็นผลให้เกิดการหายใจลำบาก กลายเป็นโรคหอบหืดไปเลย


        การยอมจำนนต่อโรคนี้ ด้วยการยอมอยู่ภายใต้อาณัติยา และหมอดู เหมือนมันจะเป็นคนขี้แพ้ไปเสียจริงๆ ลองมาดูกันว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง
ก่อนอื่น ต้องรีบหาว่าสาเหตุของภูมิแพ้มาจากไหน เริ่มจากที่นอนหมอนมุ้งของเราก่อน ว่ามันเป็นที่สะสมของฝุ่น ตัวไรหรือไม่จับตากแดดจัดบ่อยๆ สักอาทิตย์และหนก็ดี
อาหารที่เรากินเข้าไป ก็เป็นปัจจัยหนึ่งของการแพ้ เพราะฉะนั้นสำรวจว่าเราแพ้อาหารอะไร คือเวลากินอะไรเข้าไปแล้วเป็นผื่นคัน มีอาการจับหอบก็หลีกเลี่ยง หรือในรายที่ไม่ได้แพ้อาหารเราก็ควรกินอาหารที่เสริมให้ระบบย่อยอาหารทำงาน เป็นปกติ ก็จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น นั่นคือ ไม่ปล่อยให้มีของเสียสะสมในลำไส้ มีการขับถ่ายที่เป็นปกติ โดยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใย เพื่อช่วยกวาดของเสียทิ้งออกไปกับการถ่ายอุจจาระ


        นอกจากการกินอาหารที่มีกากแล้ว อาหารที่เป็นสมุนไพรหลายชนิด สามารถช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ อาทิ หอมหัวแดง หอมแดงเป็นสมุนไพรในครัวเรือน ที่คนสมัยก่อนใช้รักษาโรคหวัด โดยกินหอมหัวเล็กวันละ ?-1 หัว จะทำให้ร่างกายสดชื่นมีความต้านทานโรคหวัด แต่ต้องระวัง เพราะตำราจีนห้ามกินมากเกินไป คือ ตั้งแต่ 3 หัว (หัวขนาดเท่านิ้วมือ) ต่อวันเป็นประจำทุกวัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการมึนงง หลงลืมง่าย รากผมไม่แข็งแรง 
        ปัจจุบันพบว่า สารในหอมหัวแดงมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ชื่อ quercitih ซึ่งมีสูตรโครงสร้างทางเคมี คล้าย cromolyn sodium ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้รักษาโรคภูมิแพ้ และอาการหอบหืด โดยตัวของสารในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์นั้น มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นเสมือนเชื้อเพลิง ที่ทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น การกำจัดอนุมูลอิสระ ด้วยการรับประทานผักที่มีสีแดง สีส้มก็จะช่วยรักษาอาการแพ้ได้

          การรับประทานขมิ้นชันเป็นประจำ ก็จะช่วยให้โรคภูมิแพ้ดีขึ้น ขนาดที่รับประทานถ้าเป็นการป้องกัน ก็ใช้ผงขมิ้นชันประมาณ 500-1000 มิลลิกรัม (1-2 แคปซูล) วันละ 2-3 ครั้ง แต่ถ้ามีอาการ ควรรับประทานเพิ่มขึ้น เป็นประมาณ 2 กรัม (ประมาณ 4 แคปซูล) วันละ 3 ครั้ง
        จากรายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมไปถึงมีฤทธิ์ต้านฮิสตามีน ปัจจุบันในตำราสมุนไพรจากต่างประเทศ ก็ยอมรับขมิ้นเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ต่อคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และหอบหืด นอกจากสมุนไพรสองชนิดที่กล่าวมา ในแวดวงสมุนไพรยังมีการแนะนำให้ใช้ ชาเขียว ขิง ชะเอม น้ำมันปลา ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสาระ และลดการอักเสบในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แต่สมุนไพรทั้งสองชนิด คือหอมแดงและขมิ้นชัน สามารถพึ่งตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะขมิ้นแทบจะกล่าวได้ว่า การที่คนใต้ของเรานิยมใส่ขมิ้นลงไป ในอาหารในชีวิตประจำวันนั้น ก่อให้เกิดความชำนาญ ในการคัดเลือกสายพันธุ์ และความชำนาญในการเพาะปลูก ทำให้ขมิ้นชันที่ภาคใต้ให้สารสำคัญสูงมาก พบว่าขมิ้นชันเมืองไทยมีสาร cur*****in และ cur*****in oil สูงกว่าประเทศอื่นๆ

        ประเทศไทยควรส่งเสริม ให้มีการควบคุมปริมาณสารสำคัญ ในผลิตภัณฑ์ขมิ้นในท้องตลาด เพื่อการพัฒนามาตรฐานสมุนไพรไทย คนกินขมิ้นชันจะได้ไม่ผิดหวัง
การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคภูมิแพ้นั้น เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวนิดเดียวตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ทุกคนสามารถพึ่งตนเองได้ หัวหอมก็อยู่ในครัว ขมิ้นชันก็พอหาซื้อได้ไม่ยาก จะปลูกเองก็ไม่ยาก อายุประมาณ 1 ปี ก็สามารถเก็บมาใช้ได้ ถ้าเรามาช่วยกันสะสมประสบการณ์ การใช้สมุนไพรรักษาโรคภูมิแพ้ สักวัน เราจะเป็นแหล่งภูมิรู้ทางสมุนไพรที่มากมาย เหมือนกับที่คนใต้สะสมความรู้ ในการคัดเลือกพันธุ์ขมิ้นชันนั่นเอง

แหล่งข้อมูล https://www.samunpri.com

  

อัพเดทล่าสุด